นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแล้ว?
หวังซีอดไม่ได้แลกเปลี่ยนสายตากับฉังเคอครั้งหนึ่ง มีเสียงร้อนใจของหมัวมัวผู้นั้นดังขึ้นที่ข้างหูว่า “คุณหนูสี่ คุณหนูหวัง ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว! ฮูหยินผู้เฒ่าเอาอีกแล้วเจ้าค่ะ ร้องห่มร้องไห้ไปทั้งบ่าย ใครปลอบก็ไม่เป็นผล นายหญิงสามให้บ่าวรอยู่ที่นี่ หากเห็นท่านทั้งสองกลับมา ให้แจ้งท่านทั้งสองสักครั้งว่าอย่าเพิ่งไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่า หากพรุ่งนี้เช้าฮูหยินผู้เฒ่าถามขึ้นมา ให้พวกท่านบอกไปว่าตอนไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่านั้นถูกโหวฮูหยินขวางเอาไว้นอกห้อง”
ทั้งสองคนประหลาดใจยิ่งนัก
หมัวมัวผู้นั้นเดินนำทั้งสองเข้าเรือนชั้นในไปด้วย กระซิบกล่าวไปด้วยว่า “คุณหนูทั้งสองท่านออกไปตัดอาภรณ์ข้างนอกมิใช่หรือ ไม่รู้ว่าผู้ใดปากมาก เอาไปเล่าให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟัง ฮูหยินผู้เฒ่าจึงจับมือคุณหนูซือเอาไว้ร้องไห้ออกมาในทันที พูดอะไรทำนองว่าคุณหนูซือช่างน่าสงสาร ใกล้จะออกเรือนแล้วแท้ๆ แต่อาภรณ์ตัวใหม่สักชุดก็ยังไม่มี”
หวังซีกับฉังเคอได้ยินเช่นนั้นต่างก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว
งานแต่งของซือจูเป็นสมรสพระราชทาน จะขาดของผู้ใดไปก็ได้แต่ไม่มีทางขาดของของนางไปอย่างแน่นอน
การส่งนางออกเรือนไปอย่างมีเกียรติและราบรื่น ก็ถือว่าคนจวนหย่งเฉิงโหวทั้งบนและล่างต่างร่วมแรงร่วมใจกันทำความเข้าใจและยอมรับแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวเช่นนี้ออกจะเกินไปสักหน่อย
แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงเป็นหวังซีที่เฉลียวฉลาด เอ่ยถามว่า “เป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าคิดจะเรียกร้องอะไรให้คุณหนูซืออีกแล้วใช่หรือไม่”
งานแต่งของฉังเคอกับตระกูลเวินกำหนดลงมาเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ดีใจแล้วนายหญิงสามก็รู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เวลาคุยกับนายหญิงรองจึงไม่ระมัดระวังตัวอย่างเมื่อก่อน นำเรื่องที่ตระกูลเวินส่งผ้าทอเค่อซือลายบุปผาสกุณาสีแดงสดมาให้สองพับออกมาเล่า ยังกล่าวด้วยว่า บุตรเขยกตัญญูต่อข้าถือเป็นความปรารถนาดีของเขา แต่ข้าหาใช่คนไร้วิสัยทัศน์ ข้าตกลงกับพี่สะใภ้ใหญ่แล้วว่า จะแลกผ้าทอเค่อซือสีแดงสดสองพับนั้นกับผ้าสีน้ำเงินสองพับที่นางมี ถึงเวลาจะได้ตัดชุดเพ่ยจื่อและกระโปรงจีบหม่าเมี่ยนให้อาเคอของพวกข้าสวมใส่ตอนออกไปข้างนอก
นายหญิงรองนำถ้อยคำดังกล่าวไปเล่าที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่า ตอนแรกฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่รู้สึกอะไร กลับเป็นตานหมัวมัวคนข้างกายของซือจูที่ได้ยินแล้วร้องไห้ออกมา พูดอะไรทำนองว่าหากเป็นเมื่อก่อน ผ้าทอเค่อซือนับเป็นอะไรไปได้ แต่บัดนี้ วัตถุดิบที่ใช้ตัดอาภรณ์สำหรับออกเรือนของซือจูนั้นอย่างดีที่สุดก็เป็นแค่ผ้าแพรสีแดงสดและผ้าดิ้นทองจากเจียงหนานเท่านั้น
ฮูหยินผู้เฒ่าก็เลยอยากให้โหวฮูหยินนำผ้าทอเค่อซือออกมาให้หนึ่งพับ
โหวฮูหยินยอมที่ไหนกัน
เดือนสิบสองนี้คุณชายสี่ฉังบุตรชายแท้ๆ ของนางจะแต่งภรรยา ว่าที่บุตรสะใภ้ก็มาจากครอบครัวฐานะดี แค่สินเจ้าสาวก็มีร้านค้าเจ็ดถึงแปดร้าน นางตั้งใจจะใช้เป็นของขวัญมอบให้บุตรสะใภ้คนใหม่
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงร้องโวยวายขึ้นมา บอกว่าเพราะแต่เดิมโหวฮูหยินมาจากตระกูลต้อยต่ำ บัดนี้เห็นตระกูลซือตกต่ำ ก็เผยธาตุแท้ออกมาโดยการรังเกียจคนจนประจบประแจงคนรวย ทำเอาโหวฮูหยินโกรธจนนอนอยู่ในห้องไปสองวัน สุดท้ายเพราะถูกหย่งเฉิงโหวตำหนิถึงได้นำผ้าทอเค่อซือสองพับนั้นไปให้ที่เรือนหยกวสันต์อย่างไม่เต็มใจเรื่องถึงจบ
หมัวมัวผู้นั้นได้ยินหวังซีถามเช่นนี้แล้ว ก็ยกนิ้วโป้งให้หวังซีอย่างอดไม่อยู่ กล่าวว่า “ยังคงเป็นคุณหนูหวังที่หลักแหลม ไม่แปลกที่นายหญิงสามของพวกข้าจะพูดอยู่บ่อยครั้งว่าให้คุณหนูสี่ของพวกข้าเรียนรู้จากท่านให้มาก”
กล่าวถึงตรงนี้นางก็หยุดฝีเท้าลง มองไปรอบๆ ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยถึงได้กระซิบกล่าวว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าอยากยกเครื่องประดับผมทับทิมของตัวเองชุดนั้นให้คุณหนูซือใช้ทำเป็นสมบัติก้นหีบเจ้าค่ะ”
ตอนฮูหยินผู้เฒ่าออกเรือน ตระกูลซือเองก็มอบสินเจ้าสาวให้นางอย่างสมบูรณ์พูนพร้อมเช่นกัน แต่หลายปีมานี้ นางนำออกมาช่วยพยุงสถานะทางการเงินของครอบครัวไปไม่น้อย มีเพียงเครื่องประดับผมทับทิมหนึ่งชุด ไพลินหนึ่งชุดและหยกมันแพะอีกหนึ่งชุดเท่านั้นที่ยังหลงเหลืออยู่ นับเป็นของมีค่าที่ยังเหลืออยู่ในมือของนาง แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเคยบอกเอาไว้ว่า เครื่องประดับของนางสามชุดนี้ จะเก็บทับทิมเอาไว้ให้โหวฮูหยิน ไพลินให้นายหญิงรอง และหยกมันแพะให้หลานสะใภ้คนโต ส่วนนายหญิงสามจะมอบกำไลฝังรัตนะน้ำเงินหนึ่งคู่และปิ่นทองคำอีกหนึ่งคู่
ไม่รู้เป็นเพราะนางกลัวผู้อื่นไม่เชื่อฟังนางหรือเปล่า ยังเชิญเซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่ามาเป็นพยาน ให้คนเขียนเอกสารไปเก็บไว้ที่เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าเป็นพิเศษอีกด้วย
บัดนี้นางอยากยกเครื่องประดับผมทับทิมชุดนั้นให้ซือจู มิเท่ากับผิดคำพูดตัวเองหรอกหรือ
หวังซีเลิกคิ้วขึ้น กล่าวว่า “ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็เลยอยากใช้พวกข้าเป็นข้ออ้าง? ไม่แปลกที่นายหญิงสามต้องส่งท่านมาดักรอที่นี่เอาไว้”
ฉังเคอที่ฟังมาตลอดก็พยายามระงับโทสะในใจเอาไว้อยู่แล้ว มาถึงตอนนี้ราวกับเพลิงโทสะยิ่งปะทุแรงขึ้น กล่าวด้วยเสียงดุดันว่า “เดิมของเหล่านี้ก็เป็นของของฮูหยินผู้เฒ่าอยู่แล้ว นางอยากมอบให้ผู้ใดก็มอบให้ผู้นั้นไป เอาพวกข้าไปเป็นข้ออ้างเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ซือจูเป็นหลานของนางแล้วพวกข้ามิใช่หลานของนางหรือ ในภายภาคหน้ายามซือจูเผากระดาษกราบไหว้บรรพบุรุษจะเผากระดาษหนึ่งเตาให้นางด้วยหรืออย่างไรกัน”
หวังซีเองก็รู้สึกเช่นกันว่าฮูหยินผู้เฒ่าเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ นางจะไม่สนใจเลยก็ได้ แต่ใช้นางง่ายๆ เช่นนี้ไม่ถูกต้อง
นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวกับฉังเคอยิ้มๆ ว่า “ไป พวกเราไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัน นางเป็นผู้อาวุโสสูงสุดในบ้าน พวกเรากลับมาแล้ว ตามหลักก็ควรไปคารวะนางสักหน่อยถึงจะถูก อย่าทำให้โหวฮูหยินต้องลำบากใจ”
กล่าวจบ นางยังถามหมัวมัวผู้นั้นอย่างยิ้มแย้มว่า “โหวฮูหยินคงเห็นด้วยกับเหตุผลดังกล่าวแล้วกระมัง”
หมัวมัวผู้นั้นพยักหน้าหงึกๆ สายตาที่มองหวังซีเจือความเคารพนับถือเอาไว้หลายส่วน
หวังซียิ้มน้อยๆ ลากฉังเคอที่ไม่เต็มใจเดินไปเรือนฮูหยินผู้เฒ่า “ไปถึงโน่นแล้ว ข้าจะเป็นคนพูดเอง”
ฉังเคอจำต้องระงับเพลิงโทสะในใจเอาไว้ ไปเรือนหยกวสันต์พร้อมกับหวังซี
เป็นอย่างที่หวังซีคาดการณ์เอาไว้ สตรีจวนหย่งเฉิงโหวต่างมารออยู่ที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่า ได้ยินเสียงร่ำไห้ของฮูหยินผู้เฒ่ามาแต่ไกล
พอเห็นพวกนางเดินเข้ามา โหวฮูหยินดูประหลาดใจเล็กน้อย นายหญิงสามกลับขมวดคิ้วมุ่นอย่างเป็นกังวล อยากผลักทั้งสองคนออกไปเหลือเกิน
หวังซีหันไปส่งสายตาบอกโหวฮูหยินเป็นนัยครั้งหนึ่งว่า ‘ไม่ต้องตระหนก’ คล้องแขนฉังเคอก้าวออกไปทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่าอย่างเริงร่า ยังแสร้งกล่าวอย่างประหลาดใจด้วยว่า “นี่ท่านเป็นอะไรหรือเจ้าคะ มิใช่บอกว่าสุขภาพของท่านดีขึ้นแล้วหรอกหรือ” จากนั้นก็แสดงท่าทีโศกเศร้าเหลือคณาออกมาอีกครั้ง “หากรู้ว่าท่านยังไม่ดีขึ้นแต่เนิ่นๆ ข้าก็คงไม่ออกไปตัดอาภรณ์กับพี่สาวสี่แล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังเป็นกังวลเรื่องไม่มีบันไดช่วยพาดจากเรื่องที่หวังซีออกไปตัดเสื้อผ้าไปหาเรื่องสินเจ้าสาวของซือจูอยู่ ไหนเลยจะฟังความนัยที่แฝงอยู่ในถ้อยคำดังกล่าวออก รีบคว้าโอกาสไว้ทันทีประหนึ่งคว้าฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้าย กล่าวว่า “ยังคงเป็นอาซีที่เห็นใจยาย สุขภาพของข้าดีขึ้นที่ไหนกัน! ตระกูลซือเป็นเช่นนี้ สินเจ้าสาวของอาจูก็ยังไม่มีวี่แวว…”
หวังซีรู้ว่าหากนางกล่าวต่อไป ก็ไม่รู้ว่าจะดึงผู้ใดออกมาอีกบ้าง นางมาเพื่อหยุดฮูหยินผู้เฒ่า มิได้มาเพื่อทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองใจ นางจึงรีบกล่าวตัดบทฮูหยินผู้เฒ่าให้ดูเหมือนเป็นห่วงเป็นใยว่า “สินเจ้าสาวของพี่สาวซือหรือเจ้าคะ มิใช่ว่าจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วหรอกหรือ นางยังขาดอะไรหรือเจ้าคะ ข้าจัดหาให้นางดีหรือไม่! คุณชายสามฉังกับคุณชายสี่ฉังต่างก็กำลังจะแต่งภรรยา ปีหน้าพี่สาวสามกับพี่สาวสี่ก็จะออกเรือนแล้วเช่นกัน ในบ้านยังมีเรื่องให้ต้องใช้เงินทองอีกมาก โหวฮูหยินเองก็ลำบากใจเช่นกันเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้ว อารมณ์พลันสดใสขึ้นมา
จริงด้วย นางลืมไปได้อย่างไรว่ายังมีหวังซีอยู่ด้วยอีกผู้หนึ่ง
แม้นกล่าวเช่นนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก แต่รอนางข้ามหลุมนี้ไปได้ ค่อยหาวิธีชดเชยให้หวังซีสักเล็กน้อยก็ได้แล้ว
โหวฮูหยินและคนอื่นๆ กลับโล่งอกไปเปลาะหนึ่งอย่างพร้อมเพรียงกัน สายตาที่มองหวังซีเต็มไปด้วยความรักใคร่ แม้แต่นายหญิงรองที่ไม่ถูกกับหวังซี ยังปฏิเสธไม่ได้ว่าความเฉลียวฉลาดรู้ความของหวังซีทำให้คนหลงรัก
แต่สุดท้ายแล้วฮูหยินผู้เฒ่าก็เป็นผู้อาวุโส ยังคงต้องรักษาหน้าตาเอาไว้สักสองสามส่วน กล่าวอย่างลังเลว่า “ต้องให้เจ้าเป็นคนออกเงินให้ที่ไหนกัน งานแต่งของอาจูเป็นสมรสพระราชทาน…”
หวังซีรู้อยู่แล้วว่าต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าอยากให้ตนออกเงินให้มากเพียงใด แต่ก็ต้องแสดงความเกรงใจสักสองสามประโยค และสิ่งที่นางต้องการก็คือความเกรงใจสองสามประโยคนี้นี่เอง
“ตายแล้ว” นางแสร้งร้องขึ้นเสียงหนึ่งอย่างคนเพิ่งเข้าใจเรื่องราวขึ้นมา กล่าวว่า “ไม่แปลกที่ท่านมักจะให้ข้าเรียนรู้กฎระเบียบให้มาก ข้าคิดแต่เรื่องเติมหีบให้พี่สาวซือและช่วยแก้ปัญหาให้ท่าน จนลืมไปว่างานแต่งของนางเป็นสมรสพระราชทาน องค์หญิงฟู่หยางเองก็กำลังจะเสกสมรสแล้วกระมัง ท่านว่าเรื่องสินเจ้าสาวนี้ท่านควรไปหารือกับจ่างกงจู่เป็นการส่วนตัวหรือไม่ ข้าดูจากของหมั้นที่จวนเจิ้นกั๋วกงส่งมาให้ ก็ไม่ต่างอะไรกับของพี่สาวสี่ ไม่รู้ว่าที่นี่พวกท่านมีกฎระเบียบเช่นนี้หรือไม่ ที่สู่จงของพวกข้านั้น พิถีพิถันกับเรื่องบุรุษหนึ่งหาบสตรีหนึ่งหัวเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือสมบัติก้นหีบของฝ่ายหญิงไม่ต่างจากของหมั้นของฝ่ายชาย หาไม่แล้วเกรงว่าตอนส่งของขวัญตอบแทนอาจทำให้ฝ่ายชายลำบากใจได้!”
ฮูหยินผู้เฒ่าอ้าปากขมุบขมิบโดยไม่กล่าวคำใด แต่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปให้โหวฮูหยิน
แน่นอนว่าโหวฮูหยินแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ทว่าในใจกลับรู้สึกเบิกบานเป็นอย่างยิ่ง
ท่านอยากมอบภูเขาเงินภูเขาทองให้ซือจูสักลูกหนึ่งมิใช่หรือ แต่ก็ต้องดูด้วยว่าทำแล้วเหมาะสมหรือไม่ งานเสกสมรสของราชวงศ์ ให้ความสำคัญกับเรื่องสถานะและพิธีการ หาใช่เรื่องใครมีเงินทองมากกว่า
ฮ่องเต้ไม่มีเงินอย่างนั้นหรือ
ใต้ผืนฟ้าไม่มีพสุธาใดมิใช่ของโอรสสวรรค์
ทุกอย่างในใต้หล้าล้วนเป็นของฮ่องเต้ทั้งสิ้น
แต่ยามฮ่องเต้พระราชทานรางวัลให้ขุนนาง คนอย่างตระกูลพวกเขานี้ ปีใหม่ก็ได้แค่กลอนคู่หนึ่งชุด เงินสิบสองตำลึง และชาสุราจำนวนหนึ่งเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นแล้วเบื้องหน้ายังมีองค์หญิงฟู่หยางที่เป็นพระธิดาของโอรสสวรรค์ เป็นหน่อเนื้อของราชวงศ์อยู่ด้วยอีกผู้หนึ่ง ต่อให้ซือจูของท่านมีเกียรติเพียงใด แต่จะสู้องค์หญิงฟู่หยางได้หรือ
โหวฮูหยินไม่เปล่งเสียงใด นายหญิงรองเองก็ไม่อาจเสนอหน้าไปจัดการเรื่องนี้ได้ ส่วนนายหญิงสามเป็นคนที่หลบอยู่มุมห้องผู้นั้นมาโดยตลอด จึงไม่ถึงคราวของนางต้องเสนอตัวออกไป
ชั่วขณะนั้นภายในห้องเงียบเชียบ ไม่มีสรรพเสียงใดแม้แต่สายเดียว
ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงความกระอักกระอ่วน
ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าแดงก่ำไปหมด
กระนั้นหวังซียังแสร้งทำเป็นไร้เดียงสา ถามขึ้นว่า “ข้าพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ”
บัดนี้นายหญิงสามเห็นหวังซีเป็นดั่งญาติที่สนิทยิ่งกว่าหลานสาวแท้ๆ ของตัวเองเสียอีก ไหนเลยจะทนปล่อยให้นางต้องอับอายได้ รีบกล่าวขึ้นว่า “เปล่า เปล่า เจ้ากล่าวได้มีเหตุผลยิ่ง ก่อนหน้านี้เป็นพวกข้าที่มองข้ามไป”
หวังซีได้ยินแล้ว ดูเหมือนโล่งอกไปเปลาะหนึ่งก็ไม่ปาน นั่งลงข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่า กล่าวเสียงค่อยว่า “ที่สู่จงของพวกข้าหากมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น จะคิดหาวิธีเติมก้นหีบให้มากสักหน่อย เช่นนี้ดีหรือไม่ ท่านลองดูว่าท่านยังขาดอีกเท่าไร ข้าจะจัดหาให้เองเจ้าค่ะ”
โหวฮูหยินได้ยินแล้วอยากหัวเราะออกมาเหลือเกิน
นางกลั้นเอาไว้กว่าครึ่งค่อนวัน ถึงกลืนความขบขันนั้นลงไปได้
หวังซีผู้นี้ ไม่ยอมเสียเปรียบเลยแม้แต่ครึ่งเดียว หากนางช่วยฮูหยินผู้เฒ่าจัดการเรื่องสินเจ้าสาวให้ซือจู ในใบรายการของจะระบุเพียงว่าซือจูมีสินเจ้าสาวจำนวนเท่าไร ส่วนเรื่องที่ว่าสินเจ้าสาวดังกล่าวมาจากที่ใดนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับซือจูแล้ว เนื่องจากสินเจ้าสาวคือของที่ตระกูลเดิมมอบให้เจ้าสาว แต่การเติมหีบนั้นไม่เหมือนกัน
มารยาทของการเติมหีบกล่าวเอาไว้เช่นนี้
ผู้ใดให้จำนวนเท่าไร ต้องเขียนระบุเอาไว้ในใบรายการของขวัญให้ชัดเจน เมื่อเจ้าสาวออกเรือนไป ก็เท่ากับเป็นผู้ใหญ่ มีสายสัมพันธ์ที่ต้องตอบแทนกันแล้ว ในภายภาคหน้าที่ต้องส่งของขวัญไปแสดงความยินดีกับผู้อื่น ก็ต้องให้ของขวัญตามที่ได้รับมา ผู้อื่นเติมหีบให้มากเท่าไร เจ้าก็ต้องให้ของขวัญต้องตอบแทนกลับไปเท่านั้น
หวังซีมอบเงินจำนวนนี้ให้ซือจูในรูปของการเติมหีบให้เจ้าสาว ยิ่งฮูหยินผู้เฒ่าขอให้ซือจูมากเท่าไร ต่อไปซือจูก็ต้องตอบแทนให้มากเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องประจบสอพลอเลย หากหวังซีให้กำเนิดบุตรได้มากกว่าซือจู ซือจูต้องส่งของขวัญไปแสดงความยินดีตามจำนวนเงินที่ได้มาในหีบเจ้าสาว แค่นั้นก็ทำให้ซือจูต้องสูญเงินก้อนใหญ่ได้แล้ว
มุมปากของโหวฮูหยินยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
หวังซีผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์จริงๆ
นางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหวังซีจะเติมหีบให้ซือจูสักหลายๆ พันหลายๆ หมื่นตำลึง
ต่อไปหากหวังซีให้กำเนิดบุตรได้มากกว่าซือจู ไม่ว่าจะเป็นของขวัญครบรอบเดือน ครบรอบขวบปี ครบรอบสิบปี ของขวัญแต่งงานหรือของขวัญออกเรือนก็ตาม คำนวณคร่าวๆ แล้ว ซือจูต้องสูญเงินไปก้อนใหญ่!
โหวฮูหยินคิดแล้วรู้สึกเบิกบานใจมากจริงๆ
รู้สึกว่าหากเป็นเช่นนั้นจริง นางจะต้องไปคุยกับหวังซีดีๆ สักหน่อย ทำอย่างไรให้นางมีบุตรมากกว่าซือจูสักสองสามคนถึงจะใช้การได้
………………………………………………………………