เฉินเจวี๋ยดำเนินแผนการโดยเริ่มจากหวังซี
สิ่งที่ทำให้นางคิดไม่ถึงแม้แต่ในความฝันก็คือ ก่อนหน้านี้นางเค้นสมองขบคิดเท่าไรก็สืบหาร่องรอยของเฉินลั่วไม่เจอ แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้ความคืบหน้าจากการจับตาดูหวังซี กล่าวคือ ไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่มีธุระเฉินลั่วก็มักจะปีนกำแพงไปขอกินข้าวกับหวังซี!
“ฮ่าๆๆ!” เฉินเจวี๋ยแหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะเสียงดัง กล่าวกับเฉินอิงว่า “ช่างตรงกับที่กล่าวว่าเสาะแสวงหาไปทั่วทุกที่ไม่เป็นผล บทจะได้มากลับไม่ต้องเปลืองแรงแม้แต่น้อยนั่นจริงๆ ข้าอุตส่าห์คิดจะวางกับดักเฉินลั่วสักครั้งหนึ่ง ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเรากลับไม่จำเป็นต้องวางกับดักล่อเขา เห็นได้ชัดว่าสวรรค์เองก็ไม่ชอบเขา กำลังช่วยเหลือพวกเราอยู่!”
เฉินอิงเคยได้ยินมาบ้างว่าแม่ครัวของหวังซีทำขนมได้เลิศรสยิ่งนัก ไม่นานมานี้ยังได้รับความนิยมชมชอบจากเหล่าสตรีชั้นสูงในจิงเฉิงเป็นอย่างมากอีกด้วย ด้วยเหตุนี้แม้แต่หอสายลมวสันต์ของตระกูลหวังก็ได้รับประโยชน์ไปด้วย หากจะไปกินข้าวที่นั่นต้องจองโต๊ะก่อนล่วงหน้า
“จะกลายเป็นคนโง่อวดฉลาดหรือไม่” เฉินอิงกล่าวอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย “เฉินลั่วมีนิสัยแปลกประหลาดมาตั้งแต่เด็ก เด็กบ้านไหนไม่ได้รับการดูแลโดยแม่นม บ่าวชราหรือสาวใช้บ้าง แต่เขากลับเอาแต่พูดว่าจ่างกงจู่ไม่ดูแลเขา คล้ายกับว่าต้องให้จ่างกงจู่สวมเสื้อผ้าเปลี่ยนถุงเท้าให้เขาด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะเรียกว่าดูแล เรื่องอื่นล้วนไม่นับก็ไม่ปาน เนื่องจากแม่ครัวของคุณหนูหวังผู้นั้นเชี่ยวชาญเรื่องทำขนม เพราะฉะนั้นฝีมือทำอาหารก็ไม่น่าจะเลวร้ายนัก ไม่แน่ว่าเขาอาจรู้สึกว่าคุณหนูหวังผู้นั้นดีจริงๆ ถึงได้ไปขอข้าวกินก็เป็นได้ ไม่อย่างนั้นด้วยอำนาจของจวนจ่างกงจู่หรือจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ไหนเลยจะเชิญคนมาทำอาหารให้ไม่ได้”
เฉินเจวี๋ยคร้านจะสนใจเรื่องพวกนี้ นางกล่าว “ไม่ว่าเขาจะจริงใจหรือเสแสร้ง จ่างกงจู่ก็ไม่มีทางยินยอม หากยามแต่งภรรยาทุกคนดูแค่เรื่องหน้าตางดงามหรือไม่งดงาม ร่ำรวยหรือไม่ร่ำรวยเพียงอย่างเดียว มิเท่ากับยุ่งเหยิงกันไปหมดแล้วหรอกหรือ”
สิ่งที่ตระกูลมีอำนาจให้ความสำคัญที่สุดก็คือ การเกี่ยวดองครั้งนี้จะทำให้ทั้งสองครอบครัวแข็งแกร่งขึ้น มีอำนาจมากขึ้นอีกขั้นหนึ่งได้หรือไม่
หาได้ดูเพียงหน้าตาและความมั่งคั่งเพียงอย่างเดียว
หากไร้ซึ่งอำนาจ ต่อให้มีเงินทองก็รักษาเอาไว้ไม่ได้
เฉินอิงยังคงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย กล่าวว่า “แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นไปตามที่เฉินลั่วต้องการอยู่ดี!”
เฉินเจวี๋ยรู้สึกว่าน้องชายของตัวเองผู้นี้ออกนอกลู่นอกทางไปแล้วจริงๆ นางกล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “เช่นนั้นก็ยิ่งดีมิใช่หรือ เขาชอบแต่จ่างกงจู่ไม่ชอบ ไม่แน่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกของพวกเขาอาจจะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนอีกครั้งก็เป็นได้!”
ทุกวันนี้สนิทสนมกันเกินไป
จ่างกงจู่เริ่มช่วยพูดให้เฉินลั่วแล้ว
เมื่อก่อนความสัมพันธ์ระหว่างจ่างกงจู่กับเฉินลั่วไม่ได้ดีขนาดนี้
เฉินอิงพยักหน้าหงึก เรียก “ท่านพี่” เสียงหนึ่ง กล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรดี”
เฉินเจวี๋ยคิดพลางกล่าว “ไปหาซือจู!”
เฉินอิงประหลาดใจ กล่าวว่า “ไม่ค่อยดีกระมัง เนื่องจากบัดนี้ซือจูอาศัยอยู่ใต้ชายคาผู้อื่น…”
“มีอะไรไม่ดี!” เฉินเจวี๋ยกล่าวตัดบทคำพูดของเฉินอิง กล่าวยิ้มๆ ว่า “นางน่าจะเป็นคนฉลาดผู้หนึ่งกระมัง บัดนี้นอกจากเจ้า นางยังจะหวังพึ่งพาใครได้อีก หากเรื่องที่เจ้ามอบหมายให้นางจัดการนางยังทำไม่ได้ นางยังจะหวังให้เจ้าจะสนับสนุนนางในอนาคตอีกหรือ อีกอย่าง หากหวังซีแต่งให้เฉินลั่วนางก็ได้ประโยชน์ นางคงไม่อยากให้เฉินลั่วแต่งสตรีจากตระกูลชั้นสูงมาข่มอยู่บนศีรษะนางหรอกกระมัง!…
…เมื่อหวังซีแต่งเข้ามา พวกนางก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งชั่งกับห้าขีดที่สูสีกัน คราวนี้ไม่แน่ว่าพวกเจ้าอาจได้ช่วงชิงตำแหน่งซื่อจื่อกันใหม่อีกครั้งก็เป็นได้!”
คำพูดประโยคสุดท้ายโน้มน้าวใจเฉินอิงสำเร็จ เขาตัดสินใจได้แล้วกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าจะไปหานาง ให้นางคิดหาวิธี”
เฉินเจวี๋ยไม่กล่าวอะไร
ส่วนวิธีอะไรนั้น ทุกคนต่างทราบดี
ชายหญิงรักชอบกันก็ต้องเว้นระยะห่าง ต่อให้อนาคตหวังซีจะได้แต่งกับเฉินลั่ว แต่นางก็อย่าหวังจะได้เงยหน้าขึ้นมาเลย
จ่างกงจู่เห็นเรื่องแต่งงานของเฉินลั่วเป็นดั่งสมบัติล้ำค่าที่ต้องดูแล้วดูอีกและคิดแล้วคิดอีก ต้องคิดไม่ถึงเป็นแน่ว่าสุดท้ายเฉินลั่วจะได้แต่งกับหวังซี
เฉินเจวี๋ยคิดๆ แล้วก็รู้สึกอารมณ์ดี
นางออกจากจวนเจิ้นกั๋วกงไปด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข
แต่ซือจูที่ได้รับจดหมายส่วนตัวจากเฉินอิงแล้วดวงหน้ากลับเต็มไปด้วยความตกใจ
ให้หวังซีแต่งกับเฉินลั่ว พวกเขาช่างคิดออกมาได้
หวังซีอย่าได้แม้แต่จะคิดเลย!
ซือจูฉีกจดหมายออกเป็นชิ้นๆ ทว่าตานหมัวมัวที่จับตาดูซือจูอยู่ตลอดมาเห็นเสียก่อน
ตานหมัวมัวนำจดหมายที่ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ มาต่อกันจนเห็นเนื้อหาในจดหมายอย่างกระจ่าง
หัวใจของนางพลันรู้สึกเหน็บหนาว คล้ายตกลงไปในหลุมน้ำแข็งในวันที่อากาศหนาวเย็นที่สุดก็ไม่ปาน
ซือจูไม่ยินดีแต่งงาน แต่นางยังคงหวังให้ซือจูได้แต่งออกไปอย่างดี เฉินอิงคิดแผนการชั่วร้ายเช่นนี้ออกมาได้ จะเป็นคนดีได้อย่างไรกัน
หรือว่าชีวิตนี้ ซือจูของนางจะถูกทำลายไปเช่นนี้แล้วจริงๆ
ตานหมัวมัวถือจดหมายเอาไว้ ร่ำไห้ออกมาเบาๆ
ซือจูเข้ามาเห็น รู้สึกแค่ว่าตานหมัวมัวไร้ความสามารถและอ่อนแอ จึงกล่าวตำหนิว่า “เจ้าจะร้องไห้ทำไม ข้าไม่มีทางทำตามที่เฉินอิงบอก เขาอยากเล่นงานเฉินลั่วย่อมได้ ทว่าจะให้หวังซีแต่งเข้าไปไม่ได้เป็นอันขาด เรื่องนี้เจ้าอย่าได้แพร่งพรายออกไป ข้ามีวิธีของข้าที่จะทำให้เฉินลั่วกลายเป็นคนโง่ได้”
ตานหมัวมัวได้ยินแล้วตัวสั่นด้วยความกลัว รีบกล่าวว่า “คุณหนู ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ นี่เป็นเรื่องผิดศีลธรรม ท่านไม่ควรเข้าไปยุ่งนะเจ้าคะ!”
ซือจูยิ้มหยัน กล่าวว่า “ข้าหาได้โง่เขลาเหมือนเฉินเจวี๋ย พวกเขาคิดจะใช้ประโยชน์จากข้า ก็ต้องดูด้วยว่าข้าอนุญาตหรือไม่ถึงจะถูก”
ตานหมัวมัวฟังแล้ว ใจลอยไปชั่วขณะ
เรื่องที่เฉินเจวี๋ยให้ซือจูทำนั้นง่ายดายมาก
เฉินเจวี๋ยจะใช้นามของตัวเองเชิญสตรีชั้นสูงที่เป็นมิตรกับนางสองสามท่านไปจุดธูปที่วัดต้าเจวี๋ย หลังจากไปถึงวัดต้าเจวี๋ยแล้ว สิ่งที่ซือจูต้องทำก็มีแค่พาหวังซีไปที่ศาลาแห่งหนึ่งนามว่าไผ่นิลสดับคลื่นที่อยู่ในป่าไผ่ด้านหลังวัดต้าเจวี๋ยก็พอ
นางยังกลัวว่าซือจูจะไม่รู้ถึงความร้ายแรง จึงเล่าแผนการของนางให้ซือจูฟังอ้อมๆ ยังทิ้งข้อความเอาไว้ด้วยว่า นี่เป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้เฉินอิงเอาสิ่งที่สูญเสียไปกลับคืนมาได้ ให้ซือจูตั้งใจทำให้สำเร็จ ยังสัญญากับซือจูด้วยว่า ขอเพียงซือจูทำสำเร็จ รอซือจูแต่งเข้ามาแล้ว นางจะช่วยพูดกับเจิ้นกั๋วกง ให้ซือจูได้เป็นคนดูแลเรื่องต่างๆ ในจวนเจิ้นกั๋วกง
เฉินเจวี๋ยคิดว่าซือจูต้องหลงกล
ตอนที่นางยังไม่ได้ออกเรือนก็เคยเป็นคนดูแลเรื่องต่างๆ ของจวนเจิ้นกั๋วกงมาก่อน
ซือจูมีแผนของตัวเอง ย่อมตอบรับอย่างเต็มใจ ยังชวนฉังเหยียนไปผ่อนคลายที่วัดต้าเจวี๋ยด้วยกันด้วย
ฉังเหยียนไม่อยากใกล้ชิดกับซือจูมากเกินไป จึงปฏิเสธคำชวนของซือจู ซือจูจึงไปโน้มน้าวฮูหยินผู้เฒ่าแทน “ข้าเองก็ไม่อยากไป แต่นายหญิงติงเป็นเจ้าภาพ คงไม่ดีหากข้าไม่ไป ท่านให้พี่สาวสามไปเป็นเพื่อนข้าเถิดนะเจ้าคะ ข้าจะได้มีเพื่อนไปด้วยสักคน ไม่ใช่ว่าถึงเวลาแม้แต่เพื่อนคุยสักคนข้าก็ไม่มี”
เมื่อก่อนเวลาซือจูไปร่วมงานพวกนี้ มีตอนใดบ้างที่นางขาดคนคุยด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่าสงสารเห็นใจเหลือจะกล่าว เรียกนายหญิงรองมาหา กำหนดเรื่องออกเดินทางให้ฉังเหยียนด้วยตัวเอง
นายหญิงรองไม่ยอม อยากสลัดตัวหนีแทนบุตรสาว ทว่าถูกคำพูดของโหวฮูหยินหยุดเอาไว้ จำต้องยอมให้ฉังเหยียนไปวัดต้าเจวี๋ยเป็นเพื่อนซือจู
ฉังเหยียนไม่พอใจ แต่เมื่อได้ยินว่าหวังซีกับฉังเคอก็ไปเหมือนกัน จึงอดประหลาดใจไม่ได้ ปรึกษานายหญิงรองว่า “เดิมวัดต้าเจวี๋ยมอดไหม้ไปแล้ว แต่เพราะองค์ชายใหญ่กับวัดเจินอู่ ผู้มาสักการะถึงได้เนืองแน่นขึ้นมาอีกครั้ง ช่วงนี้จึงมีคนไปอยู่เสมอ แต่หวังซีมิใช่คนชอบดูความครึกครื้น กับพี่สาวเจวี๋ยของจวนเจิ้นกั๋วกงก็ไม่เคยคบหากันมาก่อน เหตุใดนางถึงตอบรับไปด้วยกันได้”
นายหญิงรองเองก็แปลกใจเช่นกันจึงให้คนไปสืบ ถึงได้รู้ว่าความจริงแล้วหวังซีได้รับคำเชิญจากคุณหนูใหญ่ลู่หลิงจวนเจียงชวนป๋อ สาวใช้ที่กลับมารายงานยังกล่าวด้วยว่า “เดิมคุณหนูใหญ่ลู่มิได้จะไปจุดธูปที่วัดต้าเจวี๋ยในวันดังกล่าว แต่เจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยบอกว่า วันนั้นพวกเขาจะจัดพิธีสวดขอพรที่วัด เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าจึงเปลี่ยนใจกะทันหันให้คุณหนูใหญ่ของพวกเขาไปจุดธูปในวันดังกล่าวแทนเจ้าค่ะ”
“คงจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ” นายหญิงรองกล่าวปลอบโยนบุตรสาวหลังจากได้รับข้อมูลแล้ว “หากเจ้าไม่อยากไปจริงๆ ก็ไม่ต้องไป!”
ฉังเหยียนกลับคิดว่าหากฉังเคอ หวังซีและซือจูต่างไปวัดต้าเจวี๋ยกันหมด เหลือนางอยู่ในบ้านเพียงคนเดียว บ่าวไพร่ในบ้านเหล่านั้นก็คงจะซุบซิบกันอีก มิสู้นางถือโอกาสนี้ออกไปสูดอากาศบ้างดีกว่า ขังตัวเองอยู่แต่ในบ้านมาหลายเดือนเช่นนี้ นางรู้สึกเป็นทุกข์อยู่บ้างจริงๆ
นายหญิงรองคิดว่าบุตรสาวใกล้จะออกเรือนแล้ว จึงค่อนข้างตามใจนางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ช่วยจัดเสื้อผ้าเครื่องประดับให้ฉังเคออย่างเรียบร้อย เมื่อถึงวันที่นัดกับซือจูเอาไว้ ทั้งสองคนก็ไปวัดต้าเจวี๋ยด้วยกัน
นี่นับเป็นครั้งแรกที่วัดต้าเจวี๋ยจัดงานวัดอย่างยิ่งใหญ่หลังจากที่ปราชัยเพราะเรื่องของเฉาอวิ๋น พวกเขาเชิญสตรีจากตระกูลชั้นสูงมาจำนวนมาก ยังปิดถนนบางส่วนด้วย แม้นกล่าวว่าจำนวนคนไม่ได้มากเท่ายามปกติ แต่คนที่มาล้วนร่ำรวยและมีเกียรติ ทุกคนโอบล้อมไปด้วยเพชรนิลจินดา เสื้อผ้าเครื่องประดับสดใสแวววาว มองจากที่ไกลๆ แล้วเป็นภาพความครึกครื้นที่แตกต่างไปจากปกติธรรมดาภาพหนึ่ง
หวังซีตามลู่หลิงมากินอาหารเจ
จากที่ลู่หลิงบอกมา ครั้งนี้วัดต้าเจวี๋ยได้รับการสนับสนุนจากวัดที่ซูหัง ส่งพระมีฝีมือทำอาหารเจชั้นเลิศมาช่วยจัดงานวัดในครั้งนี้ ลงแรงเต็มกำลังเพื่อให้งานวัดครั้งนี้ช่วยให้วัดพลิกฟื้นตัวกลับมา หากทำสำเร็จ ตำรับอาหารของพวกเขาจะต้องเป็นที่รู้จักแผ่ขยายออกไปเป็นแน่ หากมีโอกาสแล้วแต่พวกเราไม่เข้าร่วม จะต้องเสียใจภายหลังเป็นแน่
หวังซีเห็นท่าทางตะกละของนางแล้ว แม้นไม่มีความรู้สึกดีๆ ให้วัดต้าเจวี๋ย แต่ยังคงร่วมทางมากับฉังเคอด้วย
เพียงแต่พวกนางคิดไม่ถึงว่าซือจูและฉังเหยียนจะมาพร้อมกับเฉินเจวี๋ยด้วย ทุกคนพบหน้ากันแล้วจึงจำเป็นต้องกล่าวทักทายกันสองสามประโยค
ซือจูเห็นหวังซีมาในชุดเพ่ยจื่อสีแดงขอบทองทั้งตัว บนลำคอสวมสร้อยทองคำฝังมุกห้อยจี้ไพลินทรงหยดน้ำขนาดใหญ่เท่าไข่ห่าน สุกสกาวเปล่งปลั่งจนกลบรัศมีของผู้คนโดยรอบไปหมด ในใจรู้สึกเป็นทุกข์แต่กล่าวออกมาไม่ได้ แม้แต่ตอนที่เฉินเจวี๋ยชี้หวังซีแล้วเอ่ยถามฉังเหยียนยิ้มๆ ว่า นี่ใช่คุณหนูต่างสกุลแซ่หวังของพวกเจ้าท่านนั้นหรือไม่ นั้น นางยังทำเสมือนมองไม่เห็น เบือนหน้าไปทางอื่นเสีย
หวังซีทำเป็นมองไม่เห็นซือจู ยิ้มพลางก้าวออกไปกล่าวทักทายเฉินเจวี๋ย
นับเป็นครั้งแรกที่นางได้ปฏิสัมพันธ์กับเฉินเจวี๋ย
เฉินเจวี๋ยน่าจะกำลังอยู่ในวัยที่บานสะพรั่ง แต่นางกลับดูสุขุมกว่าอายุจริงเล็กน้อย สวมชุดเพ่ยจื่อสีน้ำเงินขอบทอง ประดับปิ่น ต่างหูและแหวนฝังทับทิมขนาดใหญ่เท่าเม็ดบัว ผิวขาวเนียนละเอียด รูปร่างสูงโปร่ง มีความคล้ายคลึงเฉินอิงห้าถึงหกส่วน ดูแล้วเป็นสตรีสง่าที่ค่อนข้างเข้มงวดผู้หนึ่ง
น่าจะเป็นคนไม่ค่อยยืดหยุ่นด้วยเช่นกัน
หวังซีวิจารณ์นางอยู่ในใจ หลังจากตอบคำถามเรื่องทั่วไปของเฉินเจวี๋ยเสร็จแล้ว คนทั้งสองกลุ่มก็เดินเข้าวัดต้าเจวี๋ยพร้อมกัน
“เจ้านัดกับนายหญิงติงเอาไว้หรือ” หวังซีได้ยินคนอื่นๆ เรียกเฉินเจวี๋ยเช่นนี้ก็เลยเรียกเฉินเจวี๋ยเช่นนี้ด้วย ยังกระซิบกล่าวกับลู่หลิงอีกด้วยว่า “คิดไม่ถึงว่านายหญิงติงจะสวยมากขนาดนี้”
นี่ล้วนแล้วแต่เป็นคำพูดตามมารยาทประโยคหนึ่งเท่านั้น
หน้าตาของเฉินเจวี๋ยสู้เฉินลั่วไม่ได้แม้แต่ครึ่งเดียว
ลู่หลิงดูหงุดหงิดเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบังเอิญเจอพี่สาวเจวี๋ยได้อย่างไร เมื่อก่อนพี่สาวเจวี๋ยไม่ค่อยอยู่กับพวกข้านัก นางอยู่กับสตรีที่โตกว่าพวกข้าเหล่านั้นมากกว่า ครั้งนี้คงเป็นความบังเอิญกระมัง ขอเพียงไม่เกี่ยวข้องกับเฉินลั่ว นางก็ถือเป็นคนดีมากผู้หนึ่ง”
นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่หวังซีได้ยินผู้อื่นกล่าวชมเฉินเจวี๋ย
พี่น้องต่างมารดาที่รักใคร่ปรองดองกันอย่างตระกูลหวังของพวกนางนั้นมีน้อยจริงๆ
หวังซีเองก็แค่ขบคิดอยู่ในใจครู่หนึ่งเท่านั้น ไม่นานก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไป กระทั่งมาถึงวิหารและไหว้พระเสร็จแล้ว หวังซีก็ลากฉังเคอพลางกล่าวกับลู่หลิงว่า “พวกเรายังต้องตามนายหญิงติงต่อไปอีกหรือไม่ ข้าอยากไปเดินเล่นรอบๆ”
เดิมวัดต้าเจวี๋ยเป็นวัดของราชวงศ์ มีอาณาบริเวณขนาดใหญ่ ทิวทัศน์ก็ดียิ่ง
ลู่หลิงครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าไปกับเจ้าก็แล้วกัน! ถึงตอนที่กินอาหารเจได้แล้วพวกเราค่อยกลับมาก็ยังไม่สาย”
……………………………………………………………………