นายหญิงรองโกรธจนก่นด่าอยู่ในใจไม่หยุด ทว่าไม่กล้าพูดออกมา
หวังซีย่อมไม่รู้เรื่องพวกนี้
นางหมุนกายกลับเข้ามาพร้อมเสียงปิดประตูของไป๋กั่ว ทั้งร่างพลันรู้สึกผ่อนคลายลงมา ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแขนด้านหลัง พนมมือทั้งสองข้างขึ้นสวดเสียงหนึ่งว่า “อมิตตพุทธ” กล่าวกับฉังเคอที่มีท่าทางผ่อนคลาย สีหน้าแต้มความดีใจที่เหมือนได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งดุจเดียวกันว่า “ในที่สุดก็นับว่าจัดการเรื่องนี้ให้ผ่านพ้นไปได้แล้ว จะว่าไป เรื่องนี้ต้องขอบคุณเจ้า!”
“เจ้ากับข้าเป็นพี่น้องกัน จะพูดเรื่องนี้ไปเพื่ออันใด” ฉังเคอกล่าวถ่อมตัว ทว่าสายตากลับสอดส่ายไปมา พลางกล่าว “คุณชายรองเฉินซ่อนตัวอยู่ที่ใดหรือ เจ้าเองก็มีไหวพริบดียิ่ง! เมื่อครู่ข้ากังวลไปครึ่งค่อนวัน แต่แล้วก็ไม่มีใครเห็นความผิดปกติอะไร”
หวังซีกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่ใดเหมือนกัน”
ฉังเคอตะลึงงัน
หวังซีกล่าว “คนที่มาผู้ใดไม่ใช่คนสายตาแหลมคมบ้าง ข้ากลัวหากข้ารู้ว่าใต้เท้าเฉินซ่อนตัวอยู่ที่ไหนแล้วจะเผยพิรุธออกมา ก็เลยไม่ได้ถามเขา”
ฉังเคอหัวเราะเสียงดัง จิ้มหน้าผากหวังซีเบาๆ กล่าวว่า “เจ้านี่น้า! ให้ข้าว่าอะไรเจ้าดี! เอาละ หากพวกนางย้อนกลับมาโจมตีคงไม่ดีแน่ ข้าไปร่วมงานเลี้ยงก่อน เจ้ารีบส่งคนออกไปเสีย หากมีคนถามถึงเจ้า ข้าจะบอกว่าเจ้าอยากเปลี่ยนชุด ก็เลยล่าช้าสักหน่อย ข้าจะล่วงหน้าไปจองที่นั่งให้เจ้าด้วย”
หวังซีขอบคุณแล้วขอบคุณอีก ส่งฉังเคอออกจากประตูและปิดประตูบ้านใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้วถึงได้พรูลมหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่งพลางยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางลานบ้าน
ตอนนั้นนางถูกเฉินลั่วลากตัววิ่งมาอย่างรวดเร็ว สมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ จึงคิดไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้น ยังชนกับฉังเคอที่วิ่งไล่ตามมาเข้าอย่างจังอีกด้วย ฉังเคอร้อง แย่แล้ว จากนั้นกล่าวว่า “พวกเจ้าต้องหาทางไปซ่อนตัว คำนินทาว่าร้ายของคนน่ากลัวนัก ข้ารู้จักนิสัยของซือจูผู้นั้นดี หากนางหัวรั้นขึ้นมา ตัวเองบาดเจ็บหนึ่งพันก็ต้องทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บด้วยห้าร้อย”
เฉินลั่วคิดครู่หนึ่ง กล่าวว่า “เช่นนั้นไปซ่อนตัวที่สวนร่มหลิว”
หวังซียังไม่ได้สติคืนกลับมาเต็มที่ กล่าวว่า “หรือเจ้าจะกลับจวนจ่างกงจู่ดี?”
จากสวนร่มหลิวไปจวนจ่างกงจู่ก็ใกล้มากเช่นเดียวกัน
เฉินลั่วส่ายศีรษะ กล่าวว่า “เจ้าคิดได้ ผู้อื่นก็ย่อมคิดได้เหมือนกัน แทนที่จะวิ่งพล่านไปทั่ว ไม่สู้ซ่อนตัวอยู่ที่เรือนของเจ้าดีกว่า”
ที่สำคัญคือเขาไปสวนร่มหลิวบ่อย ยิ่งไปกว่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นการแอบไปลับหลังผู้อื่นทั้งสิ้น ที่ไหนซ่อนตัวได้ ตรงที่ใดเป็นมุมอับ เขารู้จักและคุ้นเคยดีกว่าสถานที่อื่น
หวังซีนึกถึงคำที่ว่าสถานที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้วก็เห็นด้วย
ทั้งสามคนวิ่งมาตลอดทางจนกลับมาถึงสวนร่มหลิว เฉินลั่วไปซ่อนตัวแล้วจึงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง หวังซีที่ได้สติคืนกลับมาแล้วกลับรู้สึกว่าหากมีคนผ่านมาจริง ยิ่งพวกนางดูปกติมากเท่าไรก็ยิ่งดูสมจริง ยิ่งทำให้คนไม่เจอพิรุธมากเท่านั้น จึงลากฉังเคอไปแสดงงิ้วด้วยกันฉากหนึ่ง
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะแสดงงิ้วเรื่องนี้ได้สมจริงยิ่งนัก
ไม่เพียงหลอกจ่างกงจู่ได้เท่านั้น ยังทำให้สตรีที่ตามจ่างกงจู่มาด้วยรู้สึกว่าคำพูดของซือจูไร้เหตุผล ต่อให้เฉินลั่วหนีเข้ามาในเรือนชั้นในของจวนหย่งเฉิงโหว แต่ก็สมควรไปซ่อนตัวยังสถานที่อื่น
ยังมีสตรีที่จำเรื่องเก่าก่อนได้อยู่กระซิบกล่าวว่า “ดูทีแล้วคุณหนูซือคงยังอาลัยเฉินชายรองเฉินอยู่ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่รนหาที่ตายปรักปรำคุณชายรองเฉินเช่นนี้ น่าเสียดาย บุปผามีใจเด็ดกลีบทิ้งลงสายน้ำ ทว่าสายน้ำไร้ใจปล่อยกลีบบุปผาไหลผ่านไปตามสายชล”
“พอไม่ได้มาก็ต้องการทำลาย คุณหนูของตระกูลซือท่านนี้จิตใจโหดเหี้ยมจริงๆ”ยังมีสตรีทอดถอนใจกล่าวอีกว่า “คุณชายรองเฉินเองก็นับว่าโชคร้ายเหมือนกัน การเป็นคนหน้าตาดีหาใช่ความผิดของเขา เขาเองก็ใช่ว่าจะต้องการเป็นคนรูปงามขนาดนี้!”
ทุกคนต่างยิ้มอย่างสลดหดหู่
ยังมีคนกล่าวขึ้นอีกว่า “ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าท่านกั๋วกงคิดอย่างไร หากข้ามีบุตรรูปงามขนาดนี้ ก็คงตามใจเขาทุกอย่าง ยกทรัพย์สมบัติให้เขาแล้วจะเป็นอะไรไป? ยังให้กำเนิดเด็กชายเด็กหญิงตัวน้อยๆ ที่หน้าตางดงามไม่แพ้กันมาให้เลี้ยง รอเติบใหญ่ขึ้น ยังได้เห็นคุณชายและคุณหนูคนอื่นๆ มาให้ความสนใจ ไม่รู้ว่าน่าสนุกมากเพียงใด!”
“อาจเป็นเพราะใจแคบไปหน่อย” สตรีเหล่านั้นกล่าววิพากษ์วิจารณ์ “ขอเพียงได้กดอยู่บนศีรษะของจ่างกงจู่ถึงรู้สึกสบายใจ”
กลับไม่มีใครสงสัยเลยว่าหวังซีอาจซ่อนตัวเฉินลั่วเอาไว้
หลักๆ คงเป็นเพราะหวังซีดูสงบและมีท่าทีเปิดเผยตรงไปตรงมา
ฟากเฉินลั่ว เดินออกมาจากห้องน้ำชาของหวังซี
หวังซีประหลาดใจก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นหัวเราะเสียงลั่นออกมา กล่าวว่า “เจ้าฉลาดจริงๆ คาดไม่ถึงว่าเจ้าไปซ่อนอยู่ในห้องน้ำชา เช่นนั้นตอนแรกสุดเจ้าไปหลบอยู่ตรงที่ใดหรือ!”
เมื่อครู่ห้องน้ำชาคือห้องแรกที่พวกนางเข้าไปดู
เฉินลั่วเห็นหวังซีหัวเราะจนดวงหน้าสุกใสเหมือนแดดฤดูใบไม้ผลิ ก็อดหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้
เขาชี้หลังคาบ้าน กล่าวว่า “เจ้าช่างสร้างบ้านหลังนี้ได้ดียิ่ง แค่ห้องน้ำชาเล็กๆ ห้องหนึ่ง ก็ยังทำฝ้าเอาไว้ ข้าซ่อนตัวอยู่บนฝ้า”
ปกติห้องน้ำชาคือสถานที่สำหรับจุดเตาไฟต้มน้ำชาและเก็บใบชา นอกจากเล็กและแคบแล้ว โดยทั่วไปมักจะเรียบง่ายมากอีกด้วย
ก็ไม่แปลกที่สตรีชั้นสูงเหล่านั้นจะไม่ตั้งใจดูอย่างละเอียด
หวังซีกล่าวอย่างภูมิใจว่า “เป็นเช่นนั้นจริง เวลาทำอะไรข้าต้องทำให้ดีให้สวยงามที่สุด ถึงจะเป็นแค่ห้องน้ำชาเล็กๆ ห้องหนึ่ง แต่ก็เป็นของกินที่ต้องเอาเข้าปาก ไม่อาจทำอย่างลวกๆ ได้”
เฉินลั่วพยักหน้าให้อย่างไม่จริงจังนัก ตบฝุ่นบนร่างเบาๆ พลางกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าไปนั่งในงานที่เรือนชั้นนอกก่อน เกรงว่าคงมีคนเริ่มนับจำนวนคนแล้ว”
นี่พวกเขาต้องการบีบให้เฉินลั่วยอมรับว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในงานเลี้ยงนี่นา!
หวังซีร้อนใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้าไปทันหรือไม่ หากไม่ทัน ข้าจะให้คนหาวิธีไปยื้อเวลาเริ่มงานเลี้ยงเอาไว้”
“ไม่เป็นไร!” เฉินลั่วโบกมือ กล่าวว่า “ข้าเคยอยู่กองพลม้าทะยานมาก่อน บัดนี้ยังเป็นผู้ดูแลกองพลทองคำด้วย คนโดยมากล้วนชอบพูดเรื่องหาสาระไม่ได้ ย่อมมีคนช่วยยืนยันให้ได้ว่าเมื่อครู่ข้าอยู่กับพวกเขา ไม่มีปัญหาอะไรอย่างแน่นอน”
นี่ก็จริง
หวังซีเม้มปากหัวเราะ
เฉินลั่วกล่าว “เช่นนั้นข้าไปก่อน เจ้าต้องระวังตัวด้วย ที่นั่นยังมีซือจูอยู่อีกคน เจ้าไม่ต้องทำแล้วก็ไม่ต้องสนใจอะไรด้วย รอข้ามีเวลาว่างแล้ว ค่อยมาอธิบายรายละเอียดให้เจ้าฟัง”
หวังซีเองก็มีเรื่องอยากถามเฉินลั่วมากมายเช่นกัน แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ทั้งสองคนพากันแยกย้าย หวังซีแต่งกายและเปลี่ยนอาภรณ์ตัวใหม่เสร็จแล้วก็ไปร่วมงานเลี้ยงที่ห้องโถง
แต่ไม่เห็นจ่างกงจู่อยู่ในงานเลี้ยง
หวังซีกระซิบถามพานหมัวมัวว่า “จัดให้จ่างกงจู่ไปนั่งที่อื่นหรือ”
พานหมัวมัวส่ายศีรษะ กล่าวเสียงค่อยว่า “จ่างกงจู่กลับไปแล้ว! งานเลี้ยงกำลังจะเริ่ม แต่จ่างกงจู่บอกว่านางมีธุระ แล้วก็กลับไปทั้งอย่างนั้น โหวฮูหยินกับนางหญิงรองอับอายเหลือจะกล่าว ประเดี๋ยวท่านเองก็อย่าเอ่ยถามให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะเชียว”
นี่กำลังตบหน้าจวนหย่งเฉิงโหวอยู่กระมัง
หวังซีเขย่งเท้าขึ้นมองเข้าไปด้านใน เห็นนายหญิงเจ็ดจวนชิงผิงโหวที่นั่งอยู่ในงานเลี้ยงแล้ว
นายหญิงเจ็ดเองก็เห็นหวังซีที่งดงามและสดใสประหนึ่งมุกดุจดอกโบตั๋นท่ามกลางผู้คนแล้วเช่นกัน
นางหันมากวักมือให้หวังซีด้วยรอยยิ้มแย้ม เป็นสัญญาณบอกให้ตนไปนั่งข้างนาง ยังจับมือหวังซีเอาไว้เอ่ยถามนางว่า “เมื่อครู่ตอนไปเรือนเจ้า เห็นกล้วยไม้กะเรกะร่อนนิลของเจ้าบานได้งามนัก เจ้าได้มาจากที่ใดหรือ แนะนำให้ข้ารู้จักบ้าง ข้าเองก็จะได้ซื้อกลับไปสำหรับวันขึ้นปีใหม่”
หวังซีบอกแหล่งที่มาของมันด้วยรอยยิ้ม
นายหญิงเจ็ดให้สาวใช้ข้างกายจดเอาไว้ จากนั้นก็กล่าวชมเสื้อผ้าเครื่องประดับของนาง
คุยกันเช่นนี้อยู่ครึ่งค่อนวันให้แขกที่มาร่วมงานได้เห็นกันถ้วนทั่วแล้ว ถึงได้ปล่อยนางกลับไปนั่งยังที่นั่งของตัวเอง
ฉังเคอยิ้มพลางรินน้ำชาให้หวังซี กระซิบกล่าวว่า “ไม่เห็นซือจู ไม่รู้ว่านางไปอยู่ไหน ถึงแม้คุณหนูรองอู๋จะไม่อยู่จิงเฉิงแล้วก็ตาม แต่นายหญิงเจ็ดจวนชิงผิงโหวก็ยังคงดูแลเจ้าเป็นอย่างดี ยามว่างเจ้าก็ไปเยี่ยมเยียนนางให้มาก”
แค่เรื่องที่ตระกูลหวังอยากรับงานดูแลเรื่องขนส่งเสบียงให้จวนชิงผิงโหว นางก็ต้องไปมาหาสู่กับจวนชิงผิงโหวให้บ่อยขึ้นแล้ว!
นอกจากนี้นายหญิงเจ็ดก็เป็นคนความคิดเฉียบแหลม พูดจาหรือกระทำสิ่งใดก็เข้ากับนางได้ดียิ่ง การคบค้าสมาคมกับสตรีตระกูลอู๋จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
หลังจากรับประทานมื้อเที่ยงเสร็จ นายหญิงรองเชิญทุกคนไปดูสินเจ้าสาวของเจ้าสาว ส่วนผู้เปี่ยมไปด้วยพรทุกประการที่ตระกูลหันเชิญมาก็เริ่มปูเตียงให้เจ้าสาว
ตระกูลหันทุ่มทุนกับการออกเรือนของบุตรสาวเป็นอย่างมาก หากบอกว่ามีสินเจ้าสาวยาวสิบลี้ก็ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย
ทุกคนต่างกล่าวชมพระพุทธรูปองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมหินอ่อนสีขาวหนึ่งคู่นั้นไม่หยุด
ทว่าฉังเคอกลับบอกนางว่า “เจิ้นกั๋วกงกินเลี้ยงเสร็จก็กลับเลย บอกว่าพรุ่งนี้มีธุระ คงมาร่วมงานไม่ได้แล้ว เจิ้นกั๋วกงเพิ่งกลับออกไป เฉินลั่วก็ตามออกไปด้วย มีเพียงซือจู ถูกขังไว้ที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่า ท่านป้าสะใภ้ใหญ่อยากสอบสวนซือจูก็ไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไร ประเดี๋ยวพวกเขาคงไปที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่ากัน พวกเราควรไปฟังด้วยหรือไม่”
หวังซีอยากไปมาก แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของเฉินลั่ว นางก็ส่ายศีรษะ ยังกล่าวโน้มน้าวฉังเคอว่า “ที่ซือจูทำเช่นนี้ต้องมีเหตุผลเป็นแน่ ข้าคิดไปคิดมาแล้ว คงไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากเรื่องที่ว่านางคงได้ประโยชน์อะไรบางอย่าง แต่สถานการณ์ของนางเป็นเช่นนี้ ประโยชน์อะไรที่ทำให้นางยอมคล้อยตามได้? และใครที่ให้ประโยชน์เช่นนั้นกับนางได้?…
…หย่งเฉิงโหวสอบถามยังถามอะไรออกมาไม่ได้ เหตุใดพวกเราต้องตามไปสร้างปัญหาเพิ่มด้วย ถึงเวลาหากถูกผู้อื่นระบายความโกรธใส่คงไม่ดีแน่”
ฉังเคอคิดพิจารณาครู่หนึ่ง สุดท้ายตัดสินใจไม่ไปด้วยอีกคน
ทั้งสองคนแอบออกมาจากเรือนหอและกลับมาที่สวนร่มหลิวอย่างเงียบเชียบ
แดดกำลังดี พวกนางจึงนั่งอยู่ใต้ชายคาพลางมองพวกสาวใช้เด็กนั่งอาบแดดทำงานเย็บปักไปด้วย พูดคุยเรื่องส่วนตัวไปด้วย
หวังซีกล่าว “ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จ่างกงจู่จะมาร่วมงานหรือไม่”
ฉังเคอกล่าว “พี่ชายสามแต่งงาน จ่างกงจู่คือแขกสูงศักดิ์ที่สุดที่เชิญมาแล้ว แม้แต่โหวฮูหยินจวนเซียงหยางโหวยังมาร่วมงานเพราะเห็นแก่หน้าของจ่างกงจู่ หากพรุ่งนี้จ่างกงจู่ไม่มา เช่นนั้นก็เป็นเรื่องตลกให้ผู้คนได้ขบขันกันแล้ว…
…ยังมีเฉินลั่วอีกคน ตอนนี้เขาเป็นผู้บังคับบัญชาของกองพลทองคำทั้งสี่กองพล หากพี่ชายสามอยากประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานที่กองพลทองคำ การมีเฉินลั่วช่วยแนะนำก็เหมือนพยัคฆ์ติดปีก พี่ชายสามแต่งงานครานี้ เขาจึงไปเชิญเฉินลั่วด้วยตัวเอง เพื่อให้เฉินลั่วมาเป็นเกียรติแก่เขา…
…ซือจูสร้างเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ เกรงว่านายหญิงรองคงโมโหจนเกือบสิ้นแล้วกระมัง”
“หว่านอะไรก็เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น” หวังซีไม่เห็นใจนายหญิงรองเลยแม้แต่นิดเดียว “พวกเขาหัวสูงขนาดนั้น ตระกูลซือเกิดเรื่อง พวกเขาป่าวร้องอย่างมีชีวิตชีวาที่สุดมิใช่หรือ ซือจูจะไว้หน้าพวกเขาได้อย่างไร แต่กระนั้นก็ตาม ด้วยนิสัยของซือจู ต่อให้นายหญิงรองดีกับนางเพียงใด ในยามคับขัน นางก็ยังคงคิดถึงแต่ตัวเองอยู่ดี”
“ไม่รู้ว่าซือจูเป็นอย่างไรบ้าง” ฉังเคอกล่าวด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย
ซือจูนั่งอยู่บนตั่งเตี้ยหน้าแหย่งหลัวฮั่นของฮูหยินผู้เฒ่า ไม่ว่าหย่งเฉิงโหวกับโหวฮูหยินพูดอย่างไร นางก็ปิดปากแน่นสนิทเหมือนหอยกาบ อย่างไรก็ไม่ยอมปริปาก
ฮูหยินผู้เฒ่าทนดูต่อไปไม่ได้ จึงกล่าวโน้มน้าวนางด้วยอีกคน “เจ้ามีเรื่องลำบากใจอะไรก็เล่าให้อาของเจ้าฟัง หากพวกเขาไม่ตัดสินใจให้เจ้า ข้าจะทำให้เจ้าเอง”
ซือจูถึงได้เปิดปากกล่าวอย่างเย็นชาว่า “พวกท่านทำให้ข้าไม่ต้องแต่งกับเฉินอิงได้หรือ”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วทั้งตกใจทั้งโมโห กล่าวว่า “เจ้าเด็กคนนี้ เหตุใดถึงไม่รู้ความขนาดนี้ หากมิใช่เพราะเจ้าหมั้นหมายกับเฉินอิง เจ้าคงถูกขายไปที่กองสังคีตนานแล้ว เจ้ายังจะได้นั่งเถียงกับข้าอยู่ที่นี่อย่างปลอดภัยอยู่หรือ ข้าว่าเพราะเจ้ายังไม่ได้เป็นนายหญิงดูแลบ้านก็เลยไม่รู้ว่าค่าอาหารฟืนไฟแพงเพียงใด ไม่เคยลำบากก็เลยไม่รู้ว่าชีวิตทุกวันนี้ได้มายากเย็นเพียงใด…”
ผู้ใดจะรู้ว่านางยังพูดไม่จบประโยค ซือจูก็ลุกขึ้นมาอย่างเดือดดาล กล่าวว่า “ข้ายอมตายดีกว่ายอมมีชีวิตเช่นนี้”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่นางเห็นเงาหลังของเฉินลั่วจับมือหวังซีวิ่งหนีไป
เฉินลั่วต้องชอบหวังซีอย่างแน่นอน
ต่อให้หวังซีไปเป็นอนุภรรยาของเฉินลั่ว แต่ก็เป็นอนุอันเป็นที่รัก
นี่เป็นสิ่งที่หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรนางก็ไม่อยากเห็น
……………………………………………………………