ซือจูรอเช่นนี้ไปหลายวัน ทว่าก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรจากฟากจวนเจิ้นกั๋วกง นางอดรู้สึกสงสัยขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งไม่ได้ จึงส่งคนไปสืบข่าว
คนที่ไปสืบข่าวไม่รู้เจตนาของซือจู กลับมารายงานนางด้วยความยินดีว่า “ที่จวนเจิ้นกั๋วกงคึกคักกันแล้ว ต่างรอคุณชายใหญ่แต่งท่านเข้าไปกันแล้วเจ้าคะ! ญาติห่างๆ ของจวนเจิ้นกั๋วกงบางส่วนก็มาถึงแล้วเช่นกัน ในจวนตกแต่งด้วยโคมไฟและธงหลากสีเต็มไปหมด ตั้งโต๊ะรับแขกไว้ทุกวัน คนทั่วทั้งจิงเฉิงต่างรู้ว่าท่านกำลังจะแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกงแล้วเจ้าค่ะ”
ฮ่องเต้พระราชทานให้ ผู้ใดไม่รู้ว่านางกำลังจะแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกงบ้าง
ซือจูปรายตามองคนมารายงานด้วยสายตาเย็นชาครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าคนไปสืบข่าวผู้นี้เชื่อถือไม่ได้ จึงให้ตานหมัวมัวไปอีกครั้ง
ตานหมัวมัวกลับมาก็รายงานแบบเดียวกัน
ซือจูไม่เชื่อ ถามว่า “ไม่มีใครพูดถึงเรื่องงานแต่งของเฉินลั่วเลยอย่างนั้นหรือ”
จะไม่มีคนพูดถึงได้อย่างไร ทุกคนต่างพูดกันว่าเฉินลั่วกำลังจะแต่งตุ๊กตาทองคำงดงามผู้หนึ่งเข้าบ้าน
ตานหมัวมัวรู้จักอารมณ์ของซือจูดี นางไหนเลยจะกล้ากล่าวถ้อยคำเช่นนั้นออกมาได้
นางส่ายศีรษะ กล่าวล่อหลอกซือจูยิ้มๆ ว่า “ตอนนี้เป็นงานมงคลของท่านกับคุณชายใหญ่ ผู้ใดจะตาไร้แววพูดเรื่องงานแต่งของคุณชายรองกันเจ้าคะ”
ซือจูไม่กล่าวสิ่งใด นั่งอยู่บนแหย่งหลั่วฮั่นมองโต๊ะบนแหย่งพลางคิดอะไรในใจไปด้วย
นับตั้งแต่วันที่แผนการปรักปรำเฉินลั่วของนางล้มเหลวเป็นต้นมา นางก็ไม่เห็นเจิ้นกั๋วกงอีกเลย
ไม่รู้ว่าเจิ้นกั๋วกงมีแผนการอะไร
ต้องทำลายงานแต่งครั้งนี้ก่อนที่นางจะแต่งเข้าไปเป็นดีที่สุด
เพียงนางคิดว่าต้องแต่งให้เฉินอิงและถูกเฉินลั่วดูแคลนไปตลอดชีวิต ก็รู้สึกหายใจต่อไปไม่ได้แล้ว
ส่วนหวังซี ในวันเติมหีบเจ้าสาวของซือจูวันนั้น นางไปร้านขายเครื่องประดับอย่างมีความสุข ไปรับเครื่องประดับศีรษะมรกตที่นางสั่งร้านเครื่องประดับทำไว้
นั่นเป็นของขวัญที่นางเตรียมเอาไว้สำหรับเติมหีบเจ้าสาวให้คุณหนูพาน
เนื่องจากยังเช้าอยู่ พิธีของซือจูคงยังไม่เสร็จสิ้นเป็นแน่ นางขบคิดแล้วตัดสินใจไปหาหลงจู๊ใหญ่
เพราะหวังเฉินไม่ได้มาจิงเฉิง หลงจู๊ใหญ่ก็เลยยุ่งกว่าปีก่อนๆ เขาไม่ได้นอนหลับดีๆ มาเกือบยี่สิบวันแล้ว กอปรกับหวังหมัวมัวมาปรึกษาเขาเรื่องข่าวลือของหวังซี เขารู้สึกร้อนใจ ยังให้คนไปตรวจสอบข่าวลือพวกนี้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ด้วย กล่าวได้ว่ายุ่งจนไม่มีแม้แต่เวลาจิบชา
พอได้ยินว่าหวังซีมาหา เขากลัวว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับนาง รีบวางงานในมือลง ไปพบหวังซีทันที
หวังซีเอาเครื่องประดับศีรษะมรกตชิ้นนั้นให้หลงจู๊ใหญ่ดู กล่าวว่า “ท่านว่าการออกแบบนี้เป็นอย่างไร ข้าวาดออกมาเอง แม้นไม่ได้ดีที่สุด แต่ก็เป็นของล้ำค่ามีราคา”
นางคิดว่าคุณหนูพานยังเป็นเด็กสาวอ่อนเยาว์ จึงฝังหยกมรกตชิ้นเล็กๆ เอาไว้ ปิ่นชิ้นหลักตรงกลางเป็นผีเสื้อเกาะดอกเบญจมาศ ดูน่ารักบริสุทธิ์แต่ก็ไม่ขาดเสน่ห์
หลงจู๊ใหญ่แปลกใจยิ่งแล้ว เหตุใดคุณหนูใหญ่ประสบกับเรื่องสำคัญขนาดนี้ แต่กลับไม่แสดงออกมาให้เลยแม้แต่ครึ่งเดียว เพราะมีแผนการแล้วหรือเพราะยังไม่รู้เบื้องลึกกันแน่?
เขากล่าวชมยิ้มๆ ไปสองสามประโยค ขณะกำลังตรึกตรองว่าควรถามหวังซีอย่างละเอียดดีหรือไม่ว่าตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่อยู่นั้น ก็มีเสมียนเด็กวิ่งเข้ามาถามเขาเรื่องรายการบนบัญชี หวังซีเห็นเขายุ่งมาก จึงถือโอกาสลุกขึ้นกล่าวอำลา
ความนึกคิดส่วนใหญ่ของหลงจู๊ใหญ่อยู่ที่เรื่องบัญชี ไม่อาจให้กลายเป็นว่าปีนี้คุณชายใหญ่ไม่มาแล้วบัญชีของพวกเขามีปัญหาเกิดขึ้น เช่นนั้นเขาที่เป็นหลงจู๊ใหญ่ผู้นี้จะยังเหลือเกียรติอะไรอีก
เขาจำต้องส่งหวังซีออกไป แล้วกลับไปคำนวณบัญชีของเขาต่อ
หวังซีเดินเล่นอยู่ข้างนอกอีกครึ่งค่อนวัน ยังไปกินแป้งย่างควันฉุยที่ย่านต้าจ้าหลานครึ่งลูกและลูกหลีต้มของร้านข้างๆ อีกหนึ่งถ้วยด้วย เสร็จแล้วถึงเดินทางกลับจวนหย่งเฉิงโหวอย่างอิ่มเอมใจ
ฉังเคอกำลังจับตารอคอยนางอยู่ นางก้าวเท้าเข้าจวน ฉังเคอก็วิ่งตามหลังมาแล้ว พิงอยู่ข้างประตูมองเหล่าสาวใช้เด็กเปลี่ยนชุดให้นางไปด้วย กล่าวยิ้มๆ ไปด้วยว่า “โชคดีที่วันนี้เจ้าไม่ไป! หากเจ้าไป เกรงว่าต้องหงุดหงิดรำคาญใจอีกแล้วเป็นแน่…
…ในงานเติมหีบเจ้าสาวของนาง นอกจากสตรีจวนพวกเราแล้ว ก็มีแค่คุณหนูห้าที่จวนเซียงหยางโหวส่งมานำเงินมาด้วยเล็กน้อยเท่านั้น องค์หญิงฟู่หยางและคนอื่นๆ ที่นางคิดว่าจะมาร่วมงานต่างไม่มา…
…เจ้าไม่ได้เห็นภาพเหตุการณ์นั่น นางแต่งกายด้วยอาภรณ์ใหม่ทั้งชุดอย่างเรียบร้อย นั่งอยู่บนตั่งตัวใหญ่ข้างหน้าต่างตามธรรมเนียมอย่างเชื่อฟังรอคนมาแสดงความยินดี ผลปรากฏว่าบรรยากาศเงียบเชียบตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่อาหารที่เรือนครัวเตรียมเอาไว้ยังเย็นชืดไปหมด…
…สีหน้านั้นของนาง ช่างไม่น่าดูจริงๆ!…
…พิธีเติมหีบเจ้าสาวดำเนินไปถึงยามอู่ ทุกคนรับประทานอาหารเที่ยงกันอย่างลวกๆ แล้วก็แยกย้ายกันไป”
ฉังเคอรู้สึกยินดีกับคราวเคราะห์ของผู้อื่นเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กล่าวว่า “ข้าว่านี่นับเป็นครั้งที่นางขายหน้าที่สุดนับตั้งแต่เข้าจวนมาแล้ว”
หวังซีได้ยินแล้วรู้สึกเสียดายยิ่งนัก กล่าวว่า “หากรู้เช่นนี้แต่เนิ่นๆ ข้าคงกลับมาเร็วกว่านี้เพราะข้างนอกหนาวมาก”
จากนั้นหยิบของขวัญสำหรับเติมหีบเจ้าสาวให้คุณหนูพานมาให้ฉังเคอดู
ฉังเคอดูแล้วชอบจนไม่อยากปล่อยมือ กล่าวว่า “เจ้ามักจะใช้อัญมณีจำนวนน้อยที่สุดแต่ทำของออกมาได้งดงามที่สุดอยู่เสมอ”
หวังซียิ้มร่า ได้รับคำเยินยอเช่นนี้แล้วดีใจมาก กล่าวว่า “เจ้าวางใจเถิด ของออกเรือนของเจ้าข้าเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ด้อยไปกว่าของนางอย่างแน่นอน”
ของที่นางเตรียมให้ฉังเคอเตรียมเอาไว้นานแล้ว เป็นมงกุฎดอกบัวทองคำฝังอัญมณีชิ้นหนึ่ง แค่ทองคำก็ใช้เงินไปยี่สิบตำลึงแล้ว กลางมงกุฎฝังทับทิมขนาดเท่าไข่นกพิราบเอาไว้ กลีบดอกบางเหมือนปีกจักจั่น แค่ค่าฝีมือก็เป็นเงินถึงสองร้อยตำลึง ราคาแพงกว่าเครื่องประดับที่จวนหย่งเฉิงโหวเตรียมเป็นสินเจ้าสาวให้นางเสียอีก ซึ่งใช้ทำเป็นสมบัติตกทอดของครอบครัวได้เลยด้วยซ้ำ
ฉังเคอไม่ได้คิดอะไรมาก กล่าวยิ้มๆ ว่า “สิ่งของเป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญคือวันนั้นเจ้าต้องมาร่วมงานให้ได้ถึงจะดี”
นางกลัวเหลือเกินว่าตอนที่นางออกเรือนหวังซีจะกลับบ้านไปแล้ว
หวังซีหัวเราะฮ่า กล่าวว่า “ไม่ได้กลับบ้านช่วงปีใหม่ หลังเข้าฤดูใบไม้ผลิข้าอย่างไรก็ได้แล้ว จะเดินทางกลับไปเมื่อใดก็ได้ทั้งสิ้น”
แน่นอนว่าฤดูกาลที่ดีที่สุดคือเดือนสี่กับเดือนห้า ฤดูใบไม้ผลิของทางเหนือมาช้ากว่าที่อื่นๆ เป็นช่วงที่อากาศเริ่มอุ่นดอกไม้ผลิบานพอดี ยังได้ตกปลาด้วย เร่งเดินทางกว่าปกติก็ไม่รู้สึกเหนื่อย
ฉังเคอเม้มปากหัวเราะ กระทั่งถึงวันเติมหีบเจ้าสาวของคุณหนูพาน นางกับหวังซีเดินทางไปตระกูลพานพร้อมกัน
ของขวัญที่นางมอบให้คุณหนูพานเป็นกำไลทองคำสลักลายชลาธารคู่หนึ่ง
แน่นอนว่าเทียบของหวังซีไม่ได้ แต่มีชัยตรงที่งานฝีมือสลับซับซ้อน ก็เป็นของหาไม่ง่ายชิ้นหนึ่ง
คุณหนูพานซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก ไม่ได้รู้สึกว่าของที่ทั้งสองคนมอบให้มีความต่างอะไร สถานะทางการเงินของทุกคนไม่เหมือนกัน เจตนาต่างหากคือสิ่งที่สำคัญที่สุด นางจับมือทั้งสองคนเอาไว้คุยกันกว่าครึ่งค่อนวัน
โหวฮูหยินในฐานะป้าก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยเช่นกัน เห็นเช่นนั้นแล้วลอบพยักหน้าอย่างอดไม่อยู่
ผ่านไปครู่หนึ่ง มีภรรยาของที่ปรึกษากรมกลาโหมท่านหนึ่งมาคุยกับคุณหนูพาน ทว่าระหว่างคุยกลับปรายตามองมาที่หวังซีบ่อยครั้ง
หวังซีสงสัย ลูบหน้าตัวเองเบาๆ กระซิบถามฉังเคอว่า “เครื่องสำอางข้าเลอะหรือ”
“เปล่า” ฉังเคอเองก็รู้สึกว่านายหญิงท่านนี้มีท่าทางแปลกๆ เช่นกัน นึกถึงก่อนหน้านี้ก็เคยมีภรรยาของนายทะเบียนกรมกลาโหมท่านหนึ่งมาเป็นแม่สื่อให้หวังซีเช่นกัน จึงอดกระซิบกล่าวไม่ได้ว่า “คงมิใช่ว่ามีคนอยากเป็นแม่สื่อให้เจ้าอีกแล้วกระมัง”
หวังซีเองก็ไม่กล้ารับประกัน
โชคดีที่นายหญิงท่านนั้นมองหวังซีเพียงครู่เดียวก็กล่าวของตัวลาไปแล้ว
ฉังเคอรีบถามคุณหนูพานว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร
คุณหนูพานเองก็งุนงงเหมือนกัน กล่าวคาดเดาว่า “อาจเพราะเห็นน้องสาวสกุลหวังงดงามก็ได้” นางกล่าวพร้อมกับหัวเราะเสียงดังลั่นขึ้นมา “คนที่เคยเห็นน้องสาวสกุลหวัง มีสักกี่คนที่ไม่ตะลึงตาค้าง”
นางยังคิดจะเป็นแม่สื่อให้หวังซีด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามรอนางออกเรือนก่อนเป็นดีที่สุด หลังจากนางแต่งงานแล้ว เวลาจะพูดหรือทำอะไรก็สะดวกกว่ามาก
ที่คุณหนูพานกล่าวมาก็จริง
หวังซียืดตัวตรงขึ้นมาด้วยความมั่นใจ ไม่นานก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไปข้างหลังแล้ว
กระทั่งถึงเวลาที่ทุกคนไปนั่งในงานเลี้ยง นอกจากสตรีเกือบทั้งห้องจะจับจ้องมองนางแล้ว เมื่อนางหันไปมอง คนที่สบตากับนางหากมิใช่หันมายิ้มน้อยๆ ให้นางอย่างใจดี ก็จะหลุบตาลงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร
ราวกับนางเป็นคนสำคัญ ที่ทุกคนต่างรู้จักนางกันหมดก็ไม่ปาน
ดูผิดปรกติเล็กน้อย!
หวังซีเท้าคางขบคิดอยู่ครึ่งค่อนวันก็คิดไม่ตกว่าเป็นเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ส่วนโหวฮูหยินเมื่อกลับถึงจวนก็นำเรื่องที่หวังซีมอบของอะไรให้คุณหนูพานป่าวประกาศไปหนึ่งรอบ
ไม่นานถ้อยคำดังกล่าวก็ลือไปถึงหูฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ว่าตัวเองทำให้หวังซีขุ่นเคืองใจ หวังซีกำลังเคืองโกรธนางอยู่ นางส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปโดยไม่กล่าวอะไร
ซือจูกลับปล่อยผ่านไปไม่ได้ ตีวัวกระทบคราดอยู่ในห้อง บ้าคลั่งอยู่หลายวันกว่าจะสงบลงมาได้
หันซื่อภรรยาของคุณชายสามฉังที่เพิ่งแต่งเข้ามาใหม่เห็นว่าอากาศดี แสงแดดสาดส่องอยู่บนร่างคนทำให้รู้สึกอบอุ่นนัก นางกับข้ารับใช้ในบ้านจึงยกเก้าอี้ออกมานั่งชมงิ้วอยู่ใต้ชายคาบ้าน
ป้ารับใช้คนสนิทของหันซื่อยังซุบซิบให้นางฟังว่า “ที่แท้คุณหนูซือผู้นั้นก็เคยชอบคุณชายรองเฉินมาตั้งแต่เด็ก…บัดนี้คุณหนูสกุลหวังจะได้แต่งกับคุณชายรองเฉิน หากนางยังดีใจได้อยู่ถึงจะแปลก”
หันซื่อติดตามบิดาไปอยู่ค่ายเยียนซานตั้งแต่เด็ก หลังแต่งงานแล้วถึงได้ย้ายเข้ามาอยู่จิงเฉิง จึงไม่ค่อยรู้เรื่องของจิงเฉิงนัก ได้ยินเช่นนั้นก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวว่า “นี่ผู้ใดเป็นแม่สื่อให้ ขาดคุณธรรมเกินไปแล้ว!”
สาวใช้เหล่านั้นจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้หันซื่อฟังอีกครั้ง
หันซื่อถูกบิดาเลี้ยงดูมาอย่างเด็กผู้ชาย ทั้งประสบการณ์และความสามารถล้วนมีครบ รอจนคุณชายสามฉังกลับมา นางก็หารือกับคุณชายสามฉังด้วยเสียงอบอุ่นอ่อนโยนว่า “ด้านคุณหนูหวังก็ไม่อาจเสียมารยาท ตอนข้าออกเรือนท่านพ่อมอบผ้าดิ้นทองอย่างดีมาให้หลายพับ ข้าจะใช้เป็นข้ออ้างไปขอแบบลายผ้าจากคุณหนูหวังเพื่อผูกมิตรสักครั้งหนึ่ง”
คุณชายสามฉังเองก็ได้ยินเรื่องที่จ่างกงจู่ถูกใจหวังซีแล้วเช่นกัน เขารู้สึกว่าเรื่องนี้น่ากังขาเล็กน้อย จึงกล่าวอย่างคลุมเครือไปว่า “ล้วนเป็นญาติกัน แค่ได้ยินทุกคนพูดกันเจ้าประโยคหนึ่งข้าประโยคหนึ่งเท่านั้น ยังไม่มีข่าวที่แน่นอนอะไร”
หันซื่อยิ้มกล่าวว่า “เติมมาลาลงบนผ้าปักทำง่าย ยื่นถ่านให้ในวันอากาศเหน็บหนาวทำยาก รอจนกว่าจะได้ข่าวที่แน่นอน ไหนเลยจะยังเหลือที่ให้ท่านกับข้าได้หยัดยืน ต่อให้ไม่ใช่เรื่องจริง ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูสกุลหวังผู้นั้นก็เป็นคนรสนิยมดี แม้แต่คุณหนูหกจวนชิ่งอวิ๋นป๋อยังยอมรับนางเป็นสหาย ผูกมิตรกับคนเช่นนี้ได้ไม่มีผิดพลาดอย่างแน่นอน”
คุณชายสามฉังขาน “อืม” เสียงหนึ่งโดยไม่แสดงความคิดเห็นอะไร
หันซื่อจึงให้สาวใช้ทำถุงอุ่นมือจากขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวคู่หนึ่งนำไปให้หวังซีที่เรือน
“ข้าเป็นสะใภ้ใหม่ที่เพิ่งแต่งเข้ามา ยังไม่กล้าไปไหนมาไหน ก็เลยเพิ่งได้มาเยี่ยมน้องสาว หวังว่าน้องสาวจะใจกว้างอภัยให้ข้า อย่าได้คิดว่าข้าดูหมิ่นดูแคลน” พอเข้าประตูมานางก็ส่งถุงอุ่นมือให้หวังซี พูดคุยกับนางอย่างกระตือรือร้น
แม้นหวังซีไม่ชอบบ้านรอง ทว่าไม่เคยติดต่อกับหันซื่อ จึงยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องขัดแย้ง ไม่มีทางคว่ำคนทั้งเรือเพราะเสาต้นเดียวแน่นอน จึงต้อนรับหันซื่ออย่างยิ้มแย้ม ยังมอบผ้าพันคอขนกระรอกให้หันซื่อเป็นของขวัญตอบแทนด้วย
หันซื่อประทับใจในตัวหวังซีเป็นอย่างมาก ภายหลังนอกจากมาเยี่ยมที่สวนร่มหลิวบ่อยๆ แล้ว พอรู้ว่าหวังซีกับฉังเหยียนไม่ถูกกัน ก็มักจะนัดฉังเคอมาแทน จนเหมือนกับว่าฉังเคอคือน้องสาวแท้ๆ ของสามีนางก็ไม่ปาน
นายหญิงรองทราบเรื่องแล้วรู้สึกไม่พอใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หันซื่อเองก็เป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง กล่าวว่า “มิใช่เพราะข้าเห็นว่าน้องสาวสามต้องอยู่บ้านเตรียมสินเจ้าสาวหรอกหรือ ก็เลยไม่กล้าทำให้ธุระของนางต้องล่าช้า”
ต่อหน้าบุตรสะใภ้ อย่างไรนายหญิงรองก็ไม่อาจพูดเรื่องขุ่นข้องหมองใจในตอนนั้นออกมาได้ นางจำต้องกลืนความไม่พอใจนั้นลงไป กำชับหันซื่อว่าต่อไปต้องสนิทกับฉังเหยียนให้มากเข้าไว้
หันซื่อขานรับปาก จวบจนถึงวันที่ซือจูออกเรือนในวันนั้น พอเห็นว่าสตรีที่มาร่วมงานมีมากกว่าตอนงานแต่งของนางกับคุณชายสามฉังเสียอีก นางตกใจมาก แต่เมื่อดูให้ละเอียดอีกทีกลับพบว่าเป็นสะใภ้ สะใภ้น้อยและเหล่าคุณหนูของแต่ละบ้านเสียเป็นส่วนมาก แต่กลับไม่เห็นภรรยาผู้เป็นนายหญิงของบ้านเหล่านั้นเลยแม้แต่คนเดียว
………………………………………………………………………