ซือจูได้ยินแล้วโกรธเป็นอย่างยิ่ง นางอยากบันดาลโทสะ ทว่าก็ไม่อาจกระทำต่อหน้าสตรีที่อยู่เต็มห้องได้ ไม่อย่างนั้นคงทำให้พวกลูกหลานของฮูหยินผู้เฒ่าไม่พอใจกันหมด ชีวิตของฮูหยินผู้เฒ่าเองก็จะย่ำแย่ไปด้วย แล้วก็จะยิ่งช่วยพูดให้นางไม่ได้มากขึ้นไปอีก
หากฮูหยินผู้เฒ่าไม่ช่วยนาง วันนี้นางคงไม่มีแม้แต่สถานที่ให้กลับ มิเท่ากับให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะเปล่าๆ หรอกหรือ
นางระงับเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่าถึงได้กลืนถ้อยคำที่ริมฝีปากลงไปได้ ผู้ใดจะรู้ว่าหวังซีกลับไม่หยุด ยังพูดอยู่ตรงนั้นต่อว่า “ไม่พอใจอะไรเจ้าก็ไปพูดกับจ่างกงจู่ อย่ามาแสร้งทำตัวเป็นผู้อาวุโสกับข้า วันนี้หากมิใช่เพราะเห็นแก่หน้าของโหวฮูหยิน อย่างไรก็ต้องพูดกับเจ้าให้กระจ่างให้ได้ไปแล้ว”
ซือจูเองก็ไม่ใช่คนอดทนเก่ง ก้าวออกไปหมายจะเถียงกับหวังซีต่อ โหวฮูหยินห้ามนางเอาไว้อีกครั้ง ยังกล่าวเสมือนทุกอย่างยังปกติดีอยู่ว่า “เอาละๆ พี่สาวน้องสาวทั้งสองต่างคนต่างพูดให้น้อยลงคนละประโยคเถิด กินข้าวกันเถอะกินข้าว ข้าได้ยินหลานเขยกล่าวว่า เขายังมีงานสำคัญต้องไปที่ว่าการสักครั้งหนึ่งด้วย อย่าทำให้ธุระต้องล่าช้าดีกว่า”
ที่เฉินอิงไปที่ว่าการจะมีอะไรได้ ก็แค่ไม่อยากอยู่บ้านก็เลยหาข้ออ้างออกไปก็เท่านั้น
ซือจูโกรธจนเจ็บหน้าอก คิดว่าตอนที่ตนต้องการพูดโหวฮูหยินจะห้ามเอาไว้ แต่พอตอนหวังซีต้องการเถียงกับนางก็จะทำเป็นมองไม่เห็น นิสัยชอบคนรวยรังเกียจคนยากจนนั่นยังไม่เปลี่ยนแม้แต่ครึ่งเดียว
สักวันหนึ่งนางจะต้องทำให้โหวฮูหยินเสียใจภายหลังให้ได้
นางนึกถึงเรื่องที่สองวันนี้หย่งเฉิงโหววุ่นอยู่กับเรื่องหางานให้บุตรชายแท้ๆ ทั้งสองคนของตัวเอง ยังไปขอร้องที่จวนเจิ้นกั๋วกงด้วย พอคิดว่านางอาจทำอะไรได้บ้างแล้ว เพลิงโทสะในใจถึงได้บรรเทาลง รู้สึกดีขึ้นมาก
หวังซีที่ได้ระบายอารมณ์ไปกับการโต้เถียงซือจูครั้งหนึ่งแล้วก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมากเช่นกัน นางคิดถึงเรื่องทาบทามของเฉินลั่วขึ้นมา ตกลงตนควรจะตอบรับหรือไม่ตอบรับดีนะ
กล่าวไปกล่าวมา ล้วนเป็นเพราะตำแหน่งทุกตำแหน่งของเฉินลั่วไม่ดี หากเขาไม่ใช่บุตรชายของจ่างกงจู่ หากฮ่องเต้ไม่สร้างปัญหาขนาดนี้ก็คงดี
ส่วนตัวนางนั้นอย่างไรก็ได้ อยู่ไม่ได้ก็แค่วิ่งหนี
นางไม่ใช่บุตรสาวครอบครัวมั่งคั่งที่ไม่เคยออกจากประตูบ้านเหล่านั้น นางเคยติดตามบิดาและพี่ชายไปเห็นโลกกว้างมาแล้ว รู้ว่าใต้ผืนฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลมากเพียงใด หากคิดจะซ่อนตัวจากใครสักคนหนึ่งเป็นเรื่องง่ายและทำได้สะดวกมาก แต่นางไม่อาจให้เรื่องของตัวเองทำให้ครอบครัวลำบากไปด้วยได้!
หวังซีคิดแล้วรู้สึกว่ากับข้าวที่แต่เดิมก็ธรรมดาสามัญมากอยู่แล้วยิ่งไม่น่ากินมากเข้าไปอีก จึงถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่งอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
คนที่นั่งอยู่กับนางคือฉังเคอ
ฉังเคอเห็นเช่นนั้นแล้วรีบถามนางว่าเพราะมีปากเสียงกับซือจูก็เลยอารมณ์ไม่ดีใช่หรือไม่ ยังกล่าวปลอบโยนนางว่า “นิสัยของนางก็เป็นเช่นนั้น เจ้าเองก็ใช่ว่าไม่รู้ โชคดีที่บัดนี้นางแต่งงานออกไปแล้ว ไม่อาจโฉบไปโฉบมาอยู่ที่จวนหย่งเฉิงโหวได้อีก เจ้าก็ถือเสียว่าวันนี้ระคายเคืองตา อดทนสักครู่หนึ่ง รับประทานมื้อกลางวันเสร็จนางก็ไปแล้ว”
แน่นอนว่าหวังซีไม่อาจเล่าให้ฉังเคอฟัง มิใช่ว่าไม่เชื่อใจนาง แต่เพราะรู้สึกว่าเรื่องนี้เมื่อพูดออกไปฉังเคอก็ไม่อาจตัดสินใจให้นางได้อยู่ดี อาจทำให้ฉังเคอเป็นห่วงและตระหนกตามไปด้วยอีกคนก็เป็นได้
นางฟังแล้วพยักหน้า ขานตอบอย่างไร้ชีวิตชีวาไปประโยคหนึ่งว่า “ข้ารู้แล้ว” แล้วก็เริ่มคิดเรื่องนางกับเฉินลั่วต่อ
ณ ร้านสาขาหลักของสกุลหวังประจำจิงเฉิง กว่าหลงจู๊ใหญ่จะเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะหนังสือตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยสมุดบัญชีกองใหญ่ และหลังจากที่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างแล้ว ก็มึนงงจนพูดไม่ออก
แรกเริ่มเขายังคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระของสตรีเรือนหลัง แต่เมื่อได้ยินว่าเป็นข่าวเกี่ยวกับงานแต่งของหวังซีก็นั่งไม่ติดที่เล็กน้อย บัดนี้ดูแล้ว เป็นเขาที่ประมาทไป
กระนั้นก็ตามการเกี่ยวดองระหว่างจวนจ่างกงจู่กับตระกูลหวัง…
สำหรับผู้อื่นอาจถือเป็นเรื่องดี ได้ใช้เส้นสายของตระกูลเขยทำการค้า ถึงขั้นได้เปลี่ยนสถานะทางสังคมของตระกูล แต่สำหรับคนที่ทำการค้าอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวและกลัวผู้อื่นจะรู้ว่าพวกเขามีทรัพย์สมบัติจำนวนเท่าไรอย่างตระกูลหวังนี้ การดองกับจ่างกงจู่ก็ไม่ต่างจากเดินเข้าไปสู่ใจกลางมรสุม ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ถูกคนจับจ้อง การค้าจำนวนมากของตระกูลหวังก็อาจจะถูกเปิดเผยออกมา สำหรับตระกูลหวังที่ยึดถือหลัก ‘ซ่อนคมในฝัก’ มาตลอดนั้นนี่ถือว่าวุ่นวายมากเกินไป
ไม่แปลกที่หวังหมัวมัวจะร้อนใจ
แต่ฟังจากความหมายของหวังหมัวมัวแล้ว หวังซีต้องสนใจอยู่บ้างแน่ๆ
ไม่อย่างนั้นคงปฏิเสธไปตรงๆ แล้ว เหตุใดต้องลังเลด้วย
หากเป็นเรื่องอื่นหลงจู๊ใหญ่คิดว่าตัวเองตัดสินใจให้ได้ แต่เรื่องงานแต่งของบุตรชายหญิงนี้ ผู้ใดจะกล้ารับประกันได้ว่าเป็นบุพเพดีหรือบุพเพร้าย
เขาเกาศีรษะ รู้สึกยากกว่าทำการค้าหลายแสนหลายล้านตำลึงเสียอีก
หลงจู๊ใหญ่รีบเขียนจดหมายให้หวังเฉิงฉบับหนึ่ง
***
ด้านหวังซีหลังจากผ่านวันกลับมาเยี่ยมบ้านของซือจูแล้ว ชีวิตก็ค่อยๆ สงบสุขลงมา นับวันรอทำโจ๊กล่าปาในช่วงเทศกาลล่าปา นางแสดงฝีมือครั้งใหญ่เพื่อสร้างชื่อให้หอสายลมวสันต์ที่จิงเฉิงอีกครั้ง
ส่วนหวังหมัวมัวพาพวกไป๋กั่วเดินเข้าเดินออก วุ่นอยู่กับการเตรียมไม้ดอกไม้ประดับสำหรับตกแต่งช่วงปีใหม่
ฉังเคอมาปรึกษาเรื่องเสื้อผ้าที่นางต้องสวมใส่ช่วงเทศกาลปีใหม่ “สีแดงสดฉูดฉาดไปหน่อย แดงดอกท้อก็อ่อนไปเล็กน้อย”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีโอกาสไปซ้ำกับเหล่านายหญิงทั้งหลายสูงมาก
“ข้าอยากไปดูที่ห้องเสื้อเมฆาคำนึงสักหน่อยว่ามีผ้าดีๆ หรือไม่” ฉังเคอกล่าว ดวงหน้าแดงเรื่อเล็กน้อย กล่าวอีกว่า “ขึ้นวันที่เก้า อาจได้เจอคนจากตระกูลเวิน”
ขึ้นวันที่เก้าก็คือวันที่เก้าเดือนหนึ่ง เป็นวันถือกำเนิดของเทพเจ้าอวี้ตี้ วันนี้วัดใหญ่ๆ แต่ละวัดล้วนจัดงานวัดกัน
หวังซีดีใจ กล่าวว่า “คนตระกูลเวินจะมาจิงเฉิงแล้วหรือ”
หลังปีใหม่ฉังเคอก็จะออกเรือน นับวันดูแล้ว ผู้อาวุโสของตระกูลเวินก็น่าจะเข้าเมืองหลวงมาจัดการเรื่องงานแต่งของเวินเจิงแล้วเช่นกัน
ฉังเคอพยักหน้าอย่างขัดเขิน กระซิบกล่าวว่า “แม่ข้ากลัวว่าบ้านรองจะสร้างเล่ห์อะไรขึ้นมาอีก จึงยังไม่ได้บอกกล่าวออกไป ตั้งใจว่ารอให้ผ่านวันที่สี่ไปก่อนค่อยบอก”
หวังซีพยักหน้าพลางกล่าวว่าสมควรแล้ว จากนั้นนึกถึงลานบ้านอันเหี่ยวเฉาไร้สีสันในฤดูหนาวของบ้านสามขึ้นมา ถามฉังเคอว่า “เจ้าอยากย้ายต้นไม้ดอกไม้จากที่นี่ไปสักสองสามกระถางหรือไม่ หากคนตระกูลเวินมาเยี่ยมจวนหย่งเฉิงโหว อย่างไรก็ต้องมานั่งที่บ้านพวกเจ้าสักหน่อยกระมัง”
ฉังเคอฟังแล้วร้อนใจขึ้นมา ดึงหวังซีไปเลือกไม้ดอกไม้ประดับในลานบ้าน นางเดินไปด้วย กล่าวไปด้วยว่า “ข้ารู้ว่าไม้ดอกไม้ประดับของเจ้าล้วนมีการแบ่งแยกจำนวนเอาไว้ชัดเจนว่าดอกอะไรจัดวางตรงไหนหรือช่วงเวลาไหนควรจัดวางดอกอะไร เจ้าให้ข้ายืมต้นที่เจ้าไม่ได้ใช้ในช่วงนี้ไปก่อนสักสองสามกระถาง ข้าจะให้คนไปดูที่เฟิงไถ หาทางซื้อต้นที่เหมือนกับของเจ้ากลับมาสักสองสามกระถาง…”
นางยังพูดไม่ทันจบ ฝีเท้าก็หยุดลงอย่างกะทันหัน ทำเอาหวังซีที่ถูกนางลากมาด้วยซวนเซจนเกือบจะล้มลงไปกองกับพื้น
“นี่เจ้าทำอะไรน่ะ” ขณะที่กล่าว หวังซีก็ก้มหน้าลงมองรองเท้าของตัวเอง
ฉังเคอกลับมองบุรุษสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินผ้าเนื้อหยาบ บนศีรษะสวมหมวกสีเดียวกันผู้หนึ่งที่กำลังเดินเข้ามา ข้างๆ เขาคือสาวใช้เด็กนามเสี่ยวหนานของหวังซีผู้นั้น นางอยู่ในชุดปี๋เจี่ยสีเขียวมรกตแขนสีขาว ดวงหน้าเล็กขาวสะอาด คล้ายบุปผางามดอกหนึ่ง ทำให้บุรุษที่อยู่ข้างกายนางยิ่งดูสกปรกมอมแมม เหมือนคนงานแบกหามผู้หนึ่ง
นี่คือผู้ใดกัน
พาเข้ามาง่ายๆ เช่นนี้
คงเป็นคนของตระกูลหวังกระมัง
เพียงแต่ไม่รู้ว่ามาทำอะไร
ขณะที่ฉังเคอขบคิดพิจารณาอยู่ในใจนั้นก็ได้ยินเสียงประหลาดใจของหวังซีที่อยู่ข้างๆ ดังขึ้นเสียงหนึ่ง ทิ้งนางเอาไว้ก็แล้ววิ่งเข้าไปหาบุรุษผู้นั้นอย่างดีใจ
“พี่ใหญ่! พี่ใหญ่!” หวังซีดีใจจนแทบจะเสียสติแล้ว ก้าวออกไปกอดแขนของหวังเฉินเอาไว้ พ่นคำถามออกมาไม่หยุดเหมือนสายน้ำที่พุ่งออกมาด้านนอก “ท่านมาได้อย่างไร ท่านมาตั้งแต่เมื่อไร ท่านบอกว่าก่อนปีใหม่ไม่เวลาว่างมาจิงเฉิงไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไม่ให้บ่าวชายหรือผู้ติดตามข้างกายมาแจ้งข่าวข้าล่วงหน้าสักคำหนึ่ง ท่านกินข้าวหรือยัง” ขณะที่กล่าว เห็นว่าสีหน้าของเขายังเจือความเหนื่อยล้าจากการเร่งเดินทางเอาไว้ จึงรีบกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ท่านตรงมาหาข้าที่นี่เลยหรือ เปลี่ยนเสื้อผ้าสักชุด กินข้าวสักมื้อ และนอนหลับสักตื่นก่อนค่อยคุยกันก็ได้เจ้าค่ะ”
ยังมีฮูหยินผู้เฒ่าและหย่งเฉิงโหวทางด้านโน้นอีก
หวังเฉินเดินทางมาไกล ตามหลักแล้วควรไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากับหย่งเฉิงโหวก่อน หากพวกเขารู้ว่าพี่ชายใหญ่ของนางมา ไม่รู้ว่าจะมีการจัดเตรียมอะไรอย่างอื่นหรือไม่
แต่นางอยากให้พี่ชายใหญ่พักผ่อนก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
นางเขย่าแขนของหวังเฉินที่กอดเอาไว้พลางกล่าว “เรื่องอื่นผลัดออกไปก่อนได้หรือไม่ หากมีเวลาไม่พอ งีบที่นี่สักตื่นก็ยังดี โชคดีที่ครัวของข้าตุ๋นรังนกกับไก่ดำเอาไว้ตลอด ท่านอยากดื่มอันไหนเจ้าคะ บำรุงร่างกายสักหน่อยก่อน”
หวังเฉินหัวเราะออกมา หางตามีร่องลึกจากการหัวเราะ ทว่าแววตากลับเผยความอบอุ่นดุจแสงตะวันออกมาให้เห็น เขากล่าวเสียงอบอุ่นว่า “ข้ายังไม่ทันได้ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากับหย่งเฉิงโหว ตรงมาหาเจ้าก่อน เจ้าเองก็ไม่ต้องวุ่นวายไป ข้าไม่หิว ข้าถามเจ้าสักสองสามประโยคก็ไปแล้ว รอพรุ่งนี้ค่อยมาคารวะหย่งเฉิงโหวกับฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังไม่สาย”
พูดจากใจแล้ว เขาไม่อยากไปคารวะคนทั้งสอง แต่น้องสาวอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องโผล่หน้าไปทักทายตามมารยามสักครั้ง
หวังซีกลับฟังความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของหวังเฉินออก
โดยมากแล้วพี่ชายใหญ่ของนางคงมาหานางด้วยเรื่องด่วนอะไรสักอย่าง และยังแอบเข้าจวนหย่งเฉิงโหวโดยไม่มีใครรู้ด้วย
หรือว่าเรื่องขนส่งเสบียงให้จวนชิงผิงโหวเกิดปัญหาอะไรขึ้น?
นางจำต้องหันไปมองฉังเคออย่างขออภัย
พอฉังเคอเห็นว่าคนที่มาคือพี่ชายใหญ่ของหวังซีก็ตกใจเป็นอย่างมาก แต่นางอยู่ในจวนอย่างถ่อมตนว่าง่ายมานานหลายปี ก็เป็นคนรู้จักสำรวจสีหน้าคนผู้หนึ่ง รีบกล่าวขึ้นว่า “เจ้าวางใจเถิด ข้ากลับไปจะไม่พูดอะไรทั้งสิ้น เรื่องดอกไม้ รอเจ้ามีเวลาแล้วค่อยว่ากันอีกที”
หวังซีกล่าวขอบคุณฉังเคอ
ฉังเคอทำความเคารพหวังเฉินและกล่าวทักทายครั้งหนึ่ง
หวังเฉินคุยกับฉังเคออย่างเป็นกันเองไปสองสามประโยค มอบซองแดงซองใหญ่ให้นางเป็นของขวัญพบหน้า จากนั้นถึงได้ให้เสี่ยวหนานไปส่งฉังเคอที่ประตู
หวังซีจึงยิ่งทำตัวสบายๆ มากขึ้น ลากหวังเฉินเข้าไปในเรือน ยังสั่งการเสี่ยวหนานว่า “ไปบอกหวังหมัวให้ยกน้ำแกงไก่เข้ามาถ้วยหนึ่ง แล้วก็ตักน้ำเข้ามาปรนนิบัติคุณชายใหญ่ล้างหน้าล้างตา”
เพียงแต่ว่าที่เรือนนางไม่มีเสื้อผ้าของพี่ชายใหญ่นาง
นางถามหวังเฉิน “หีบสัมภาระท่านอยู่ที่ใด ข้าจะให้ใครสักคนไปหยิบชุดมาเปลี่ยนให้สักสองสามชุด”
“ไม่ต้องวุ่นวายขนาดนั้น” หวังเฉินกล่าวยิ้มๆ “ข้าล้างหน้าก็พอ นอกจากนี้ข้ามาที่นี่ก็ไม่ได้คิดจะเจอผู้อื่น คุยกับเจ้าสักสองประโยคก็ไปแล้ว”
หวังซีพยักหน้าหงึกๆ พาหวังเฉินไปนั่งบนเก้าอี้มีเท้าแขนในโถงรับรอง แล้วก็รับผ้าเช็ดหน้าจากมือสาวใช้เด็กมาปรนนิบัติพี่ชายล้างหน้าด้วยตัวเอง
ส่วนไป๋จื่อพาสาวใช้เด็กยกน้ำแกงไก่กับหมานโถวนึ่งและทอดลูกเล็กเข้ามา
หวังเฉินดื่มน้ำแกงไก่และกินหมานโถวลูกเล็กไปสองลูกเป็นการรองเท้า ดื่มชาล้างปากเสร็จแล้วก็ถามหวังซีอย่างตรงไปตรงมาว่า “ได้ยินว่าจ่างกงจู่อยากให้เจ้าไปเป็นบุตรสะใภ้นาง เจ้าคิดอย่างไร”
หวังซีบิดผ้าเช็ดหน้าพลางร้อง ตายแล้ว อยู่ในใจ กล่าวอย่างหดหู่ว่า “ข้าเองก็ไม่รู้เจ้าค่ะ!”
ตอบรับก็กลัวจะทำให้ครอบครัวลำบากไปด้วย ไม่ตอบรับก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย
มือของหวังเฉินที่ถือถ้วยชาอยู่สั่นเล็กน้อย
นี่ยังนับว่าไม่รู้ได้อยู่หรือ
เขามองดวงหน้าที่เหมือนไข่ไก่ปอกเปลือกของน้องสาว ในใจมีคำตอบหนึ่งแล้วรางๆ แต่เขายังคงกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าเป็นความคิดของจ่างกงจู่ หลายปีมานี้เจิ้นกั๋วกงกับจ่างกงจู่ประมือกันอย่างดุเดือด เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ต่อให้เจ้าแต่งเข้าจวนจ่างกงจู่ ก็คงไม่ได้มีชีวิตที่สบายใจนัก”
แน่นอนว่านางรู้เรื่องพวกนี้ดี!
นางถึงได้ตัดสินใจไม่ได้อยู่นี่ไง?
นึกถึงเรื่องพวกนี้ หวังซีพลันมองพี่ชายด้วยแววตาแรงกล้า กล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “พี่ใหญ่ เช่นนั้นท่านช่วยตัดสินใจเถิด! ท่านบอกให้ข้าแต่งข้าก็จะแต่ง หากท่านรู้สึกว่าไม่ค่อยดี เช่นนั้นพวกเราก็ปฏิเสธเขาไปอย่างอ้อมๆ ก็พอ”
………………………………………………………………