ขื่อบนไม่ตรงขื่อล่างย่อมเอียง ตัวหย่งเฉิงโหวเองก็ค่อนข้างชอบรังแกคนอ่อนแอหวาดกลัวคนแข็งแกร่งและยกยอเบื้องสูงเหยียบย่ำเบื้องต่ำเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่ต้องพูดถึงข้ารับใช้ข้างกายเลย ต่างลอกเลียนแบบกันมา ปกติต้องการหน้าตา เห็นแล้วซ่อนเอาไว้ได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อเวลาเนิ่นนานไป ก็เผยออกมาให้เห็นหลายส่วนอย่างเลี่ยงไม่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่านั้นแม้แต่บุตรชายตัวเองยังรังเกียจ นับประสบอะไรกับผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านั้น?
ทุกคนได้ยินแล้วก็แค่นั้น ไม่มีใครเอาเรื่องนี้มาใส่ใจไปปลอบโยนนาง ยิ่งไปกว่านั้นมีพวกว่างงานเอาถ้อยคำดั้งเดิมที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งไปลือต่อจนถึงหูของโหวฮูหยินด้วย
โหวฮูหยินตกใจ นำถ้อยคำดังกล่าวไปบอกต่อหย่งเฉิงโหว ยังกล่าวด้วยว่า “ท่านแม่ฉุนเฉียวง่ายและหุนหันพลันแล่นไม่รอบคอบเกินไปแล้ว ข้าเป็นสะใภ้ไม่อาจว่ากล่าวอะไรได้ คงมีแต่ท่านเท่านั้นแล้วที่หว่านล้อมได้…
…แรกเริ่มตอนที่ผู้อื่นมาจวนหย่งเฉิงโหว พวกท่านไม่ได้ยอมรับว่าเป็นญาติอย่างเป็นเรื่องเป็นราว บัดนี้พอผู้อื่นปีนขึ้นที่สูงได้ ท่านแม่ก็อยากนับญาติขึ้นมาทันใด หากมีพระราชโองการมาที่จวนของพวกเราจริงๆ พวกเราจะรับอย่างไร รับในฐานะอะไร และจะบอกกล่าวคนภายนอกว่าอย่างไรเจ้าคะ…
…ต้องเอาเรื่องของปีนั้นออกมาพูดอีกหนึ่งรอบกระนั้นหรือ…
…เช่นนั้นจะเอาหน้าท่านโหวผู้เฒ่าไปไว้ที่ไหน…
…เวลานั้นพวกท่านที่เป็นพี่ชายเหล่านี้ทำอะไรกันอยู่ เหตุใดถึงไม่ช่วยพูดให้น้องสาวคนเล็กสักประโยค หรือช่วยเหลือสักครั้ง?…
…ตอนนั้นท่านกับน้องชายทั้งสองท่านอายุก็ไม่น้อยแล้ว”
หย่งเฉิงโหวฟังแล้ว หน้าผากมีเหงื่อเย็นซึมออกมาไม่หยุด
ทายาทชายของราชวงศ์ต้องถูกบันทึกไว้ในบันทึกหยก ตระกูลชั้นสูงที่มีบรรดาศักดิ์ต้องสืบทอดต่อก็ต้องรายงานทายาทชายกับกรมขุนนางเช่นกัน สายเลือดที่คลุมเครือ หากถูกไล่สืบสวนต่อไปขึ้นมา อาจถือเป็นความผิดทางอาญาได้
บัดนี้สถานการณ์ของราชสำนักซับซ้อนระส่ำระสาย ไม่รู้ว่ามีคนคอยจับจ้องจวนหย่งเฉิงโหวอยู่มากมายเพียงใด ปกติหากกระทำความผิดเล็กน้อยอาจถูกฮ่องเต้ตำหนิสักสองสามประโยค แต่หากกระทำความผิดตอนนี้เป็นอะไรที่พูดยากแล้ว
เขารีบกล่าว “เจ้าระงับเรื่องนี้เอาไว้ก่อน อย่าให้คนเอาไปพูดเหลวไหล ข้ารู้ว่าต้องจัดการอย่างไรแล้ว”
นี่หมายความว่าจะเป็นคนไปจัดการปากของฮูหยินผู้เฒ่าเอง
โหวฮูหยินพอใจแล้ว จึงไปนอนหลับพักผ่อนอย่างเป็นสุข
ส่วนหย่งเฉิงโหวไปที่เรือนหยกวสันต์ตั้งแต่เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น หลังจากนั้นก็ได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่า ‘ไม่สบาย’ และนับวันความสัมพันธ์ระหว่างหย่งเฉิงโหวกับฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ่งเหินห่าง
โหวฮูหยินแสร้งทำเป็นไม่รู้ แอบไปสืบว่าหย่งเฉิงโหวกับฮูหยินผู้เฒ่าคุยอะไรกันบ้าง
กว่าสองสามวันพานหมัวมัวถึงสืบข่าวมาได้ บอกว่าหย่งเฉิงโหวเกลี้ยกล่อมให้ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าสนใจเรื่องไม่เป็นเรื่องมากเกินไป เรื่องในปีนั้นทุกคนต่างทราบแก่ใจดี ภายหน้าไปมาหาสู่กันเหมือนเป็นญาติก็พอ ไม่จำเป็นต้องอยากได้เกียรตินั่นขนาดนั้นก็ได้ แต่ผู้ใดจะรู้ว่ากลับถูกฮูหยินผู้เฒ่าด่าทอไปคำรบหนึ่ง บอกว่าที่บ้านกลายเป็นเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะคนเป็นพี่ชายใหญ่อย่างเขาไม่เป็นแบบอย่างที่ดี
“ท่านโหวโกรธมาก” พานหมัวมัวกระซิบกล่าว “กลับห้องหนังสือแล้วเขวี้ยงถ้วยน้ำชาแตกไปหลายใบ ยิ่งอายุมากขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ่งพูดจาตามอำเภอใจมากขึ้น”
โหวฮูหยินถึงไม่ยุ่งเรื่องพวกนี้
เมื่อก่อนฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนดูแลบ้าน นางทั้งเคารพและให้เกียรติ แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากระทำอะไรไร้แบบแผนเกินไป หากบอกว่าเมื่อก่อนลูกๆ ยังเล็ก นางตามน้ำไปก็ได้แล้ว แต่หลายปีมานี้ ยิ่งนางตามใจ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ่งเอาใจยาก นี่ล้วนถือเป็นเรื่องเล็ก ที่เป็นปัญหาก็คือสะใภ้ที่แต่งเข้ามาก่อนสองคนนั้น บัดนี้ก็ได้รับอิทธิพลตามไปด้วยแล้ว ภายหน้าขนบของบ้านหลังนี้จะวุ่นวายเพียงใด
เพื่อลูกๆ แล้ว นางเองก็ไม่อาจปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าทำตัวเหลวไหลได้ ต้องทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าพักผ่อนอยู่ในเรือนหยกวสันต์อย่างสงบถึงจะดี
โชคดีที่คุณหนูสกุลหวังเข้ามาอยู่ที่จวน ไม่อย่างนั้นบางเรื่องยากที่จะจัดการได้จริงๆ!
โหวฮูหยินคิดแล้วจึงไปสวนร่มหลิว ถามหวังซีว่าต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือไม่ ยังจับมือนางเอาไว้กล่าวว่า “ซอยลิ่วเถียวห่างจากที่นี่ไปไม่ไกล เจ้ามีเวลาว่างแล้วก็กลับมาเที่ยวบ้าง” กล่าวอีกว่า “โชคดีที่พี่สาวสามกับพี่สาวสี่ของเจ้าล้วนแต่งออกไปไม่ไกล พวกเจ้าต้องไปมาหาสู่กับให้มากถึงจะถูก”
หวังซีรู้สึกว่าการได้ออกไปจากจวนหย่งเฉิงโหวอย่างสงบเช่นนี้ถือเป็นเรื่องหาได้ยากยิ่งแล้ว แต่ให้ไปมาหาสู่กับฉังเหยียนนั้น ไม่จำเป็นแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามนางยังคงขานรับอย่างยิ้มแย้ม กระทั่งถึงวันที่ยี่สิบเดือนหนึ่งก็เริ่มขนย้ายหีบสัมภาระ
ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธเหลือจะกล่าว
พอหวังซีทราบข่าวก็ให้สาวใช้ผู้หนึ่งไปกระซิบกระซาบกับสาวใช้ของหันซื่อว่า “บ้านดีขนาดนั้น พอคุณหนูสกุลหวังไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะตกไปเป็นของผู้ใด”
หันซื่อได้ยินเช่นนั้นก็สนใจขึ้นมา พยายามทุ่มเทแรงกายแรงใจเฝ้าไข้ฮูหยินผู้เฒ่าไปหลายวัน จากนั้นก็มีข่าวลือออกไปว่าหลังจากหวังซีออกไปแล้วจะให้หันซื่อกับคุณชายสามไปอยู่สวนนี้แทน
ความโกลาหลพลันระเบิดออกเหมือนไปแหย่รังแตนเข้า
โหวฮูหยินยังมีบุตรชายอีกสองคนกำลังรอแต่งงานอยู่!
คนสองสามบ้านแย่งกันไปแย่งกันมา หวังซีลอบยิ้มเยาะ ย้ายออกไปอยู่บ้านที่ซอยลิ่วเถียว
ตระกูลหวังเป็นคนซื้อบ้านหลังนี้ให้นาง ก็เลยตกแต่งทุกอย่างตามความชอบของหวังซี ดอกอิ๋งชุนตรงประตูทางเข้าพุ่มนั้นเบ่งบานอย่างตระการตาต้อนรับวสันตฤดู สีสันสวยงามสะกดใจคนยิ่ง ดอกไห่ถังที่อยู่ทางทิศตะวันตกของบ้านยิ่งแล้วใหญ่ สีแดงสว่างสดใส ชวนให้บรรยากาศเบิกบานเหลือเกิน
“คนสวนผู้นี้ไม่เลวเลย” หวังซีกล่าวชม
หวังหมัวมัวรีบกล่าวขึ้นว่า “เป็นคนที่หลงจู๊ใหญ่หามาเจ้าค่ะ จากนี้ก็จะทำงานอยู่ที่นี่แล้ว”
หวังซีพยักหน้าไม่หยุด มองสำรวจบ้านที่มีเรือนหลักขนาดสามห้องพร้อมห้องนอนสองห้องและห้องข้างอีกสองห้องหลังนี้อีกครั้ง
ไม่นานห้องครัวขนาดเล็กของนางก็จัดเก็บจนเป็นระเบียบเรียบร้อย พวกนางจัดงานเลี้ยงในห้องอุ่น
เมื่อลู่หลิงและคนอื่นๆ ได้รับจดหมายแล้วต่างทยอยกันส่งของขวัญมาแสดงความยินดี
เฉินลั่วส่งของตกแต่งแกะสลักจากปะการังสีแดงสูงหนึ่งฉื่อมาให้คู่หนึ่ง
หวังเฉินวางประดับเอาไว้ในห้องโถงรับรองของหวังซี
ถัดจากนั้นก็มีพระราชโองการส่งมาจากวังหลวง
หวังเฉินเป็นตัวแทนของตระกูลหวังรับพระราชโองการ ทั้งสองครอบครัวเริ่มหารือเรื่องงานมงคลอย่างเป็นทางการ ส่วนหวังซีเขียนจดหมายเล่าเรื่องของตัวเองที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ส่งไปให้คุณหนูรองอู๋หนึ่งฉบับ
ลู่หลิงกับสะใภ้หลิวและคนอื่นๆ ล้วนมาร่วมงานหมั้นเล็กของนาง
ปิ่นทองที่จวนจ่างกงจู่ส่งมามีขนาดเล็กและประณีต หนักเพียงสิบแปดเหลี่ยง[1]เท่านั้น ทว่าฝีมือวิจิตรบรรจงยิ่ง เป็นปิ่นลายเมฆาม้วนสมปรารถนาทุกประการ ใช้กรรมวิธีการตัดทองให้เป็นลายทึบและเงาที่แตกต่างกันออกไป ทำให้ปิ่นทองชิ้นนั้นแวววาวมากกว่าปิ่นทองโดยทั่วไปหลายส่วน แล้วก็ยิ่งโดดเด่นสะดุดตาด้วย
ไม่คาดคิดว่าคนที่มาปักปิ่นให้หวังซีจะเป็นหลินอานต้าจ่างกงจู่ที่อายุล่วงเลยหกสิบปีแล้วผู้นั้น
นางปักปิ่นทองเข้าไปในเรือนผมหนาดกดำดุจเส้นไหมของหวังซีไปด้วย กล่าวยิ้มๆ ไปด้วยว่า “คิดไม่ถึงว่าแก่ปูนนี้แล้ว ข้ายังถูกเป่าชิ่งใช้ให้มาทำหน้าที่เช่นนี้อีก เด็กสาวผู้นี้ช่างงดงามจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงเป่าชิ่งเลย แม้แต่ข้าก็หวงแหนเช่นกัน” ยังกล่าวชมปิ่นทองชิ้นนั้นด้วยว่า “ไม่เหมือนของผู้อื่นที่ใช้ในวาระพิเศษ แต่ชิ้นนี้ยามปกติก็สวมใส่ได้ ช่างใส่ใจยิ่งนัก”
คนที่มาร่วมพิธีปักปิ่นต่างหัวเราะร่า รู้สึกว่างานหมั้นเล็กนี้ช่างมีเกียรติจริงๆ
ต่อมางานเลี้ยงขอบคุณของตระกูลหวังก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน นอกจากอาหารเลิศรสทั้งบกทั้งทะเลแล้ว ขนมตังเมถั่วซิ่งเหรินก็ทำให้บรรดาสตรีพากันกล่าวชมเช่นกัน ยังสอบถามถึงวิธีทำอีกด้วย
สตรีจวนหย่งเฉิงโหวมากันถ้วนหน้า ทว่ามาในฐานะญาติดองมิใช่ญาติจริงๆ พวกนางแยกไปนั่งกันเองหนึ่งโต๊ะ
โหวฮูหยินและคนอื่นๆ มองโต๊ะหลักที่หลินอานต้าจ่างกงจู่กับคนจวนชิงผิงโหวและคนอื่นๆ พูดคุยสรวลเสเฮฮากันแล้วรู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก ตอนเดินทางกลับนายหญิงสามกล่าวกับโหวฮูหยินว่า “พวกเราจะปล่อยไปเช่นนี้จริงๆ? จะไม่ยอมรับคุณหนูสกุลหวังจริงๆ หรือ”
“หากเป็นเจ้า เจ้ายินดีถูกยอมรับกลับมาหรือไม่” โหวฮูหยินถอนหายใจ ถามนายหญิงสามกลับไป
นางเองก็เคยพูดเช่นนี้กับพานซื่อผู้เป็นหลานสาวเป็นการส่วนตัวเหมือนกัน ซึ่งหลานสาวก็ถามนางกลับมาเช่นนี้ นางถึงได้เก็บความคิดเรื่องยอมรับเป็นญาติกลับมา
โชคดีสตรีจวนหย่งเฉิงโหวมีเวลาว่างไม่มากนัก พอเข้าเดือนสอง พวกนางก็เริ่มวุ่นกับงานแต่งของพวกฉังหนิงแล้ว
หวังซีเองก็ค่อยๆ คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตที่ซอยลิ่วเถียวแล้วเช่นกัน
เช้าตรู่หลังจากที่นางไปคารวะหวังเฉินเสร็จแล้ว สองพี่น้องก็รับประทานมื้อเช้าด้วยกัน จากนั้นหวังเฉินเดินทางไปที่ร้านหรือไม่ก็ออกไปทำธุระ ส่วนหวังซีจัดเก็บสินเจ้าสาวของนางอยู่ในบ้าน ตอนเที่ยงหวังเฉินไม่กลับมา ทว่าเฉินลั่วเองก็ย้ายมาอยู่ข้างๆ แล้วเช่นกัน เขามักจะเข้ามาขอข้าวกินจากทางประตูหลังอยู่เสมอ ตกบ่ายบางทีหวังซีก็ถือโอกาสตอนแดดดีมาอาบแดดบ้าง วาดภาพหรือไม่ก็หยอกแมวให้อาหารนกบ้าง เมื่อถึงตอนเย็น เวลาที่หวังเฉินไม่ต้องไปออกงานสังคมสองพี่น้องจะกินมื้อเย็นด้วย แล้วค่อยแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวของตัวเอง แต่ถ้าเขาต้องไปร่วมงานสังคมหวังซีจะกินข้าวเย็นคนเดียว เฉินลั่วไม่มาในเวลานี้แล้ว
แต่พอดึกขึ้นอีกหน่อย รอตีกลองบอกเวลายามสองแล้ว บางครั้งเฉินลั่วก็มาพบนาง บ้างก็เอาขนมที่เพิ่งออกจากเตาใหม่ๆ มาด้วย บ้างก็เอาผลไม้ต่างถิ่นมาด้วย หรือบางทีก็มีของเล่นหน้าตาแปลกประหลาดมาด้วย ซึ่งน่าอัศจรรย์ใจมากว่าไม่เคยบังเอิญเจอหวังเฉินเลยสักครั้ง
หวังเฉินรู้ทุกอย่างแจ้งแก่ใจดี เห็นว่าทั้งสองคนยังเหมือนเด็กน้อย แค่มือยังไม่เคยจับกันเลยสักครั้ง อีกทั้งพอได้รับของจากเฉินลั่วแล้วหวังซีก็ดีใจ เขาก็เลยยิ่งไม่อาจไปเปิดโปง ได้แต่ส่งคนไปดูเอาไว้ ปล่อยให้พวกเขาเล่นสนุกกันไป
กระทั่งวันมังกรเชิดหัวในวันที่สองเดือนสองผ่านพ้นไป อันดับแรกเป็นงานวันหมั้นเล็กของฉังหนิงก่อน ถัดจากนั้นก็ของฉังเหยียนและฉังเคอตามลำดับ
งานของฉังหนิงเทียบเคียงได้กับของฉังลู่คุณหนูใหญ่สกุลฉัง ส่วนของฉังเหยียนเทียบเคียงได้กับของคุณหนูพาน และของฉังเคอเทียบเคียงได้กับของหวังซี คนหนึ่งถูกต้องตามธรรมเนียมปฏิบัติของสังคม คนหนึ่งครึกครื้นสนุกสนาน ส่วนอีกคนหนึ่งเชิญโหวฮูหยินของจวนชิงผิงโหวมาปักปิ่นให้อย่างมีเกียรติ
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าไม่น่าดูเท่าไรนัก ถามโหวฮูหยินว่า “ตระกูลเวินนั่นไปสนิทสนมกับจวนชิงผิงโหวขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไรกัน”
โหวฮูหยินปรารถนาให้บ้านสามกดทับบ้านรองเอาไว้ยิ่งนัก กล่าวยิ้มๆ ว่า “เนื่องจากตระกูลเวินเป็นสหายเก่าแก่ของจวนเจียงชวนป๋อ เจียงชวนป๋อกับจวนชิงผิงโหวสนิทสนมกันดียิ่ง จะเชิญโหวฮูหยินของพวกเขามาปักปิ่นให้ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์”
ในสายตาของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ตระกูลเวินควรเชิญคนจากจวนเซียงหยางโหวมาปักปิ่นให้ถึงจะถูก
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเรื่องของฝั่งบุตรเขย นางไม่อาจกะเกณฑ์ไปถึงครอบครัวของบุตรเขยได้
กระทั่งวางของหมั้นเสร็จแล้ว วังหลวงก็มีเรื่องคึกคักขึ้นมา อันดับแรกซูเฟยถูกปล่อยตัวออกมา รับองค์ชายสามและองค์ชายห้าออกเดินทางไปปกครองเมืองศักดินาก่อนกำหนด องค์ชายสี่เองก็ได้รับแต่งตั้งเป็นอี๋ปินอ๋อง จะเสกสมรสกับคุณหนูสี่ถานในเดือนห้า จากนั้นไปปกครองเมืองศักดินา
หวังซีถามอย่างแปลกใจว่า “ไปอี๋ปินหรือ ที่นั่นใกล้กับบ้านของพวกข้ามาก”
เวลานี้เฉินลั่วกำลังมาขอกินข้าวเที่ยงอยู่ที่ตระกูลหวัง ได้ยินแล้วกล่าวอย่างไม่เห็นด้วยว่า “ทั้งเปลี่ยวทั้งห่างไกล มีอะไรควรค่าให้ดีใจกัน อย่างไรก็ตาม ทำให้องค์ชายสี่ไปปกครองเมืองศักดินาได้ ชิ่งอวิ๋นป๋อลงแรงไปไม่น้อย กล่าวคือ เหยียนเฮ่าญาติผู้พี่ของหนิงผินผู้นั้นเพียงถูกปลดออกจากราชการเท่านั้น และกลับไปทำนาที่บ้านเกิด ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่ปีก็กลับมาได้อีกแล้วก็เป็นได้”
ยามเอ่ยถ้อยคำดังกล่าวนั้น สายตาดุดันวาบผ่านนัยน์ตาของเขา
เดิมคิดว่าเขาจะเติมเชื้อไฟลงไป ชิ่งอวิ๋นป๋อจับคอของเหยียนเฮ่าเอาไว้แน่นหนา แต่สุดท้ายชิ่งอวิ๋นป๋อก็ยังไม่ยอมเป็นศัตรูกับฮ่องเต้อย่างสิ้นเชิง ยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง
ฮ่องเต้แต่งตั้งองค์ชายสี่ ให้องค์ชายสี่ไปปกครองเมืองศักดินา
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เนื่องจากหนิงผินมีข้อบกพร่องแล้ว อยากเป็นฮองเฮาก็เป็นไปไม่ได้แล้ว
ก็ต้องรอดูว่าฮ่องเต้จะมีจิตใจอำมหิตสังหารบุตรหรือไม่
สังหารองค์ชายที่แข็งแรงและบรรลุนิติภาวะแล้วสองพระองค์
เขารู้สึกว่านอกจากเตือนองค์ชายใหญ่แล้ว สมควรเตือนองค์ชายรองให้ระมัดระวังองค์ชายเจ็ดเอาไว้ด้วยเช่นกัน
ดีร้ายอย่างไรหลังปีใหม่องค์ชายเจ็ดก็สิบหกชันษาแล้ว เด็กในวังหลวงรู้ความเร็วกว่าปกติ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เขาคิดว่าเขาขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ได้อย่างนั้นหรือ
เฉินลั่วตัดสินใจได้แล้ว ไม่ให้หวังซีต้องเป็นห่วงเรื่องพวกนี้ด้วยดีกว่า เขาถามนางว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าจะมาถึงเมื่อใด ถึงท่าเรือทงโจวก่อนใช่หรือเปล่า กำหนดเดินทางจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่”
ในฐานะเขยใหม่ของตระกูลหวัง เขาย่อมต้องไปรับคนเป็นเพื่อนพี่ภรรยาอย่างหวังเฉินอยู่แล้ว
หวังซีเองก็กำลังวุ่นเรื่องนี้อยู่พอดี นางยิ้มตอบว่า “พี่ใหญ่ข้าบอกว่าอย่างมากอีกห้าวันนางก็น่าจะถึงแล้ว ห้องหับและบ่าวไพร่ต่างๆ ของทางนี้จัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ดูว่าจ่างกงจู่จะว่างเมื่อไร พี่สะใภ้ของข้าจะได้ไปคารวะจ่างกงจู่สักครั้ง”
หมั้นหมายเสร็จก็ถือเป็นญาติดองกันอย่างเป็นทางการแล้ว พี่สะใภ้ของหวังซีมาจิงเฉิง ย่อมต้องไปเยี่ยมจ่างกงจู่
เฉินลั่วกล่าว “เจ้าวางใจ ไม่ว่าพี่สะใภ้ของเจ้าจะไปเมื่อไร ท่านแม่ของข้าย่อมมีเวลาว่าง”
เพราะให้ความสำคัญกับญาติภรรยา ฉะนั้นแล้วย่อมมีเวลาว่างทุกเมื่อ
หวังซีพยักหน้า
……………………………………………………………
[1] เหลี่ยง หนึ่งเหลี่ยงเท่ากับ 50 กรัมโดยประมาณ