เรื่องที่เฉินลั่วส่งของมาให้หวังซีย่อมปิดบังจากหวังเฉินไม่ได้ แต่หวังเฉินก็ชอบในความอุตสาหะของเฉินลั่วเป็นอย่างมาก
เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “เฉินลั่วสบายดี เขาเป็นน้องชายสามี จึงคอยช่วยรับแขกอยู่ที่นั่น!”
ซึ่งก็หมายความว่าไม่ได้สอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องของพิธีศพ เพียงยืนเผยโฉมหน้าช่วยรับแขกอยู่ตรงนั้นเท่านั้น
หวังซีโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ถามหวังเฉินว่า “ด้านตระกูลซือ มีคนส่งจดหมายไปแจ้งข่าวหรือไม่ ตอนนี้จวนเจิ้นกั๋วกงกำลังวางแผนทำอะไรกันแน่”
แม้นบิดามารดาและพี่น้องของซือจูล้วนไม่อยู่แล้ว แต่ยังมีสายรองที่ไม่ถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องเหลืออยู่ ตอนนั้นเจิ้นกั๋วกงช่วยตระกูลซือรับร่างศพ ส่งร่างศพไปยังสถานที่ฝัง จากนั้นจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นคนออกเงิน ส่วนตระกูลซือสายรองเป็นคนออกแรงช่วยฝังศพ
บัดนี้ซือจูจากไปแล้ว ไม่ว่าจะด้วยหลักการหรือความรู้สึกล้วนสมควรแจ้งตระกูลซือให้ทราบสักคำหนึ่ง
นอกจากนี้ซือจูยังมีญาติเหลืออยู่ที่กองสังคีตด้วย
หวังเฉินเบ้ปากอย่างดูแคลน กล่าวว่า “ทางตระกูลซือไม่ทราบเรื่อง อย่างไรก็ตาม ข้าได้ยินคนพูดอยู่ไกลๆ ว่าจวนเจิ้นกั๋วกงส่งจดหมายไปบอกสายรองที่เป่าติ้งเพียงเท่านั้น ไม่รู้ว่าคนทางนั้นไม่อยากมาหรือมาไม่ทันกันแน่ ไม่มีคนมาร่วมงานศพของซือจูเลยสักคน ส่วนเรื่องที่ว่าจวนเจิ้นกั๋วกงกำลังวางแผนทำอะไรนั้น ข้าได้ยินแขกที่มาเคารพศพแอบคุยกันเป็นการส่วนตัวว่าเหมือนจวนเจิ้นกั๋วกงคิดจะสู่ขอสตรีที่มีชาติกำเนิดสูงมาให้เฉินอิง แต่สุดท้ายจะเป็นบุปผาร่วงหล่นมาจากตระกูลใดนั้น ตราบใดที่เรื่องยังไม่บรรลุผล เกรงว่าคนทั่วไปก็ไม่มีทางรู้”
หวังซีพยักหน้า ไม่ถามเรื่องของซือจูอีก แต่เอ่ยถึงเรื่องที่ช่วงนี้ตนกับจินซื่อทำอะไรกันบ้างขึ้นมาแทน “ไม่รู้ว่าเรือจะเทียบท่าที่ทงโจวเวลาใด การเร่งเดินทางมาสามถึงสี่ชั่วยามทำให้คนเหน็ดเหนื่อยเกินไป พี่สะใภ้กับข้าจึงเดินทางไปทงโจวมาครั้งหนึ่ง พวกข้าเห็นว่าทางนั้นมีโรงเตี๊ยมหนึ่งชื่อว่าโรงเตี๊ยมผิงอันดูไม่เลวเลยทีเดียว จึงจองบ้านที่นั่นหนึ่งหลัง ตอนท่านปู่ท่านย่ากับท่านแม่ท่านแม่มาถึงจะได้พักที่นั่นสักสองสามวันก่อน…
…แม่ครัวและสาวใช้พวกข้าก็เตรียมเอาไว้หมดแล้ว เพียงรอพวกเขามาถึงเท่านั้น”
หวังเฉินยิ้มตาหยีพร้อมพยักหน้า กล่าวว่า “เจ้าต้องเตรียมใจเอาไว้ ไม่เฉพาะแค่ท่านปู่ท่านย่าและท่านพ่อท่านแม่เท่านั้นที่มา ครอบครัวท่านป้าใหญ่หนึ่งครอบครัว ท่านป้ารองกับลุงเขยพร้อมด้วยญาติผู้น้องกับน้องสะใภ้อีกสองท่าน อาหญิงสามหนึ่งครอบครัว ยังมีอาหญิงสี่และอาหญิงห้าด้วยล้วนมากันทั้งหมด เรือสองลำยังไม่พอ กลัวแต่ว่าบ้านที่ลิ่วเถียวคงเล็กเกินไปสักหน่อยแล้ว ล่าสุดนี้ข้ากำลังคิดว่าต้องเช่าบ้านข้างๆ สักหลังหนึ่งถึงจะใช้ได้”
หวังซีได้ยินแล้วดีใจมาก กล่าวว่า “อาหญิงสามมากันทั้งครอบครัว หมายความว่าพวกพี่สาวซูก็มาด้วยใช่หรือไม่”
โจวซูเป็นญาติผู้พี่ของหวังซี ตระกูลโจวเป็นตระกูลใหญ่ลำดับต้นๆ ของจิ่นเฉิง พวกนางญาติผู้พี่ผู้น้องทั้งสองคนมีรสนิยมและความสนใจคล้ายกัน ก็เลยสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก
ตอนนางเดินทางมาจิงเฉิง โจวซูแต่งงานแล้ว
หากเดินทางมาด้วยกัน โจวซูจะต้องมาพร้อมกับสามีและลูกๆ เป็นแน่
หวังเฉินพยักหน้า กล่าวยิ้มๆ ว่า “มิใช่แค่ตามมาด้วยเท่านั้น นางยังสั่งทำชุดมงคลให้เจ้าด้วย บอกว่าเจ้าคิดมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าตอนออกเรือนอยากสวมใส่ชุดแต่งงานเช่นนี้ หลังแต่งงานนางก็เริ่มเชิญคนมาช่วยทำชุดแต่งงานให้เจ้า เจ้าเห็นแล้วจะต้องชอบแน่นอน”
หวังซีได้ยินแล้วร้องลั่นอย่างเบิกบานเสียงหนึ่ง
นางไม่ชอบชุดแต่งงานลายหงส์ลายมังกรตามประเพณี ตอนเด็กนางกับโจวซูแอบอยู่ใต้ผ้าห่มกระซิบกระซาบคุยกันว่าตอนออกเรือนอยากสวมชุดแต่งงานลายดอกไม้หนึ่งร้อยชนิด
คิดไม่ถึงว่าโจวซูไม่เพียงจดจำได้ ยังช่วยทำให้นางจริงๆ ด้วย
“เช่นนั้นตอนออกเรือนข้าจะสวมชุดแต่งงานที่นางเอามาให้ข้า” หวังซีกล่าว
หวังเฉินขานรับคำยิ้มๆ แต่ก็ไม่ได้บอกยกเลิกห้องเสื้อเมฆาคำนึง ยังคงให้พวกนางทำชุดมงคลให้หวังซีต่อไป เผื่อว่าโจวซูกับหวังซีสองคนนี้จะทำอะไรเกินความเหมาะจนทำเรื่องเสีย ถึงวันออกเรือนจริงๆ ในวันนั้นแล้วจะหาชุดแต่งงานไม่ได้
หวังซีไหนเลยจะรู้ว่าหวังเฉิงคิดอะไรอยู่ วิ่งไปหาจินซื่ออย่างดีอกดีใจ เอาข่าวคราวที่พวกโจวซูจะมาที่นี่ไปเล่าให้จินซื่อฟัง
โจวซูนับว่าเป็นคนที่เติบโตมาจากบ้านตา จินซื่อเห็นนางเป็นดั่งน้องสาวของบ้านตัวเอง ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน ทราบข่าวแล้วก็ดีใจตามหวังซีไปด้วย เร่งให้หวังเฉินไปเช่าบ้านข้างๆ อีกสักหลัง “คงไม่อาจให้พวกเขาไปพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมจริงๆ หากแค่มาร่วมงานแต่งของอาซีเสร็จก็เดินทางกลับเลยคงไม่เป็นไร ก็แค่เรื่องเสียเงินทองเพิ่มอีกสักหน่อยเท่านั้น แต่ถ้าพวกเขารู้สึกว่าไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เดินทางมาสักครั้งหนึ่ง ตั้งใจจะไปเที่ยวรอบๆ ด้วย เช่นนั้นการพักที่โรงเตี๊ยมคงไม่สะดวกแล้ว”
สิ่งสำคัญคือหวังซีแต่งเข้าจวนจ่างกงจู่ ย่อมมีคนอยากมาประจบประแจงมากมาย โรงเตี๊ยมมีคนเข้าๆ ออกๆ มากหน้าหลายตา หากมีคนคิดจะใช้ประโยชน์นี้จากตระกูลหวัง ทำให้ชื่อเสียงของตระกูลหวังเสียหายคงไม่ดีแน่
หวังซีเองก็คิดถึงข้อนี้เช่นกัน ติดตามจินซื่อออกไปดูบ้านเช่ามาหลายวัน เฉินลั่วทราบเรื่องแล้วจึงส่งเฉินอวี้มา เรียกพ่อบ้านของบ้านข้างๆ ไปหา บอกจินซื่อว่าหากมีเรื่องอะไรให้สั่งการพ่อบ้านผู้นี้โดยตรงได้เลย
จินซื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงรับปาก รอเฉินอวี้กลับไปแล้วกล่าวกับหวังซีว่า “ก่อนหน้านี้ข้าห่วงว่าจะมีคนเอาเจ้าไปนินทา แต่เมื่อคิดดูอีกที ต่อให้เจ้าไม่ใช้บ้านของคุณชายรอง ผู้อื่นก็เอาไปพูดอยู่ดี แทนที่จะให้พวกเขามาจับผิดโน่นนี่ มิสู้พวกเราไม่ต้องสนใจ อยากทำอะไรก็ทำดีกว่า!”
หวังซีหัวเราะฮ่า
นางไม่ได้คิดมากขนาดนั้นจริงๆ
ในความคิดของนางแล้ว เฉินลั่วไว้ใจนางมากพอ นางจึงไม่ได้รู้สึกกดดันยามต้องใช้ข้าวของของเฉินลั่ว
ก็เหมือนกับนางที่หากเชื่อใจใครแล้ว เวลาใช้เงินทองที่เป็นของนอกกายเหล่านี้ล้วนไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกให้ชัดเจนขนาดนั้น
ทั้งสองคนไปบ้านข้างๆ เพื่อดูว่าต้องเพิ่มเติมอะไรหรือไม่
ทุกคนเดินดูบ้านไปหนึ่งรอบ ค้นพบว่าบ้านฝั่งนี้ใหญ่กว่าบ้านของพวกเขาหนึ่งเท่าตัว มีห้องเพิ่มขึ้นมายี่สิบกว่าห้อง ตกแต่งอย่างหรูหรา ทำความสะอาดเอาไว้อย่างสะอาดสะอ้าน เหมาะสำหรับเข้าพักชั่วคราวเป็นอย่างมากจริงๆ
จินซื่อดึงหวังซีไปด้านข้างเพื่อคุยเรื่องค่าเช่า “ดูทีแล้วเป็นบ้านสำหรับเอาไว้อยู่อาศัยเอง ที่ให้พวกเราเช่าก็ถือเป็นบุญคุณใหญ่หลวงแล้ว พวกเราจึงไม่อาจตระหนี่เรื่องเงินทองเกินไป”
หวังซีคิดว่าเฉินลั่วจะต้องไม่รับเงินจำนวนนี้แน่ๆ แต่พี่สะใภ้ของนางทำหน้าที่นายหญิงของบ้านจนชินไปแล้ว หากนางพูดออกมา พี่สะใภ้ของนางอาจมองว่าคำพูดของนางเป็นข้ออ้าง ไม่แน่อาจคิดว่านางไม่รู้ความ ไม่รู้ว่าราคาของฟืนข้าวน้ำมันและเกลือแพงเพียงใดก็เป็นได้
นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านตัดสินใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าอย่างไรก็ได้”
จินซื่อพยักหน้าอย่างพอใจ กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็เห็นเฉินลั่วเดินเข้ามาด้วยสีหน้ารีบร้อน
หวังซีตกใจไปครั้งใหญ่
เฉินลั่วก้าวออกมาทำความเคารพจินซื่อ ยังกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้าดูบ้านหลังนี้แล้วเป็นอย่างไรบ้าง มีจุดที่ต้องการซ่อมแซมหรือไม่ หากมีพวกเจ้าก็แจ้งข้าสักคำหนึ่ง ข้าจะได้จัดคนมาซ่อมแซมให้โดยเร็ว”
ต่อให้มี เพื่อให้เกียรติหวังซีแล้วพวกเขาก็ไม่อาจพูดอะไรได้ กล่าวคือซ่อมแซมกันเองก็ได้แล้ว เฉินลั่วต้องรับน้ำใจของพวกเขาด้วยถึงจะถูก
จินซื่อขานรับคำยิ้มๆ กล่าวว่า “ดีหมดทุกอย่าง หากเติมเข้าไปก็ล้น ดึงออกมาก็กลายเป็นน้อยเกินไป ทุกอย่างกำลังพอดี ทำความสะอาดเรียบร้อยคนก็ย้ายเข้ามาอยู่ได้เลย ไม่มีที่ไหนดีกว่าที่นี่แล้ว”
เฉินลั่วคล้ายโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
จินซื่อมองว่าที่น้องเขยผู้นี้แล้วยิ่งถูกใจ
ผู้ใดจะรู้ว่าเฉินลั่วจะกล่าวกับหวังซีว่า “เจ้าชอบปลูกดอกไม้ใบหญ้ามาตลอด อยากให้ข้าพาเจ้าไปดูสวนดอกไม้ด้านหลังหรือไม่ เจ้าลองไปดูว่าต้องการปรับเปลี่ยนอะไรอีกบ้าง”
ชวนแค่หวังซี ไม่ได้เอ่ยจินซื่อ
จินซื่อได้แต่หัวเราะอยู่ในใจ รู้สึกว่าหัวเราะจนปวดท้องไปหมดแล้ว
แม้นกล่าวว่างานแต่งของบุตรชายหญิงเป็นการทาบทามของแม่สื่อ แต่บุตรชายหญิงเข้ากันได้ดี เป็นสามีภรรยาที่ปรองดองกัน มีบุตรชายหญิงพร้อมสรรพ เช่นนั้นคนเป็นบิดามารดาก็มีความสุขที่สุดแล้ว หวังซีกับเฉินลั่วมักลอบติดต่อกันบ่อยๆ ความจริงแล้วไม่ค่อยเหมาะสมนัก แต่หวังเฉินก็ดี จินซื่อก็ดี ต่างรู้สึกว่าหากคนไม่ปฏิสัมพันธ์กันจะรู้ได้อย่างไรว่าดีหรือไม่ดี เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกับตัวเอง แทนที่จะมีปัญหาวุ่นวายหลังแต่งงาน มิสู้ก่อนแต่งงานปฏิสัมพันธ์กันให้มากดีกว่า
ถอนหมั้นย่อมดีกว่าหย่าร้าง
จินซื่อเองก็แสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ ยังกล่าวด้วยว่า “ซุ้มองุ่นนี้สร้างได้ดียิ่ง ข้านั่งรับลม สูดอากาศเย็นๆ อยู่ตรงนี้สักหน่อยก็แล้วกัน ไม่วิ่งตามพวกเจ้าไปทั่วทุกที่แล้วดีกว่า อากาศนี้ช่างร้อนเกินไปแล้ว”
หวังซีหน้าแดงเถือก เห็นเฉินลั่วไม่คิดจะปฏิเสธ จึงกล่าวอะไรมากไม่ได้ ตามเฉินลั่วไปยังสวนดอกไม้ด้านหลังเงียบๆ
บอกว่าเป็นสวนดอกไม้ แต่ความจริงเป็นธารน้ำไหลสายหนึ่งที่ดึงน้ำมาจากคูเมือง ขุดบ่อน้ำหนึ่งบ่อไว้ตรงมุมของลานบ้าน ปลูกดอกบัวไว้ครึ่งบ่อ อีกครึ่งบ่อเลี้ยงปลาหลากสีเอาไว้ และสร้างจุดชมวิวเล็กๆ เอาไว้หนึ่งแห่งเท่านั้น
หวังซียืนอยู่ข้างป่าไผ่ข้างบ่อน้ำ รอเฉินลั่วเอ่ยปากพูดกับนาง
เฉินลั่วกลับนิ่งเงียบเนิ่นนานไม่ยอมเอ่ยปากสักที
หวังซีเริ่มไม่สบายใจ ช้อนตาขึ้นมองเขาพลางกล่าว “เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่ เจ้าบอกข้ามาตามตรงเถอะ ข้าหาใช่เด็กสามขวบที่ทนรับอะไรไม่ได้เสียหน่อย” จากนั้นยังกล่าวเย้าเขายิ้มๆ ด้วยว่า “ต่อให้ข้าเป็นลมล้มลงไป มิใช่ว่าพี่สะใภ้ของข้ายังอยู่ด้านหน้าหรอกหรือ เจ้าตะโกนเรียกคำเดียวนางก็มาถึงแล้ว ไม่มีทางล้มไปทับตัวเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าวางใจเถอะ!”
ปกติหากนางกล่าวเช่นนี้ เฉินลั่วจะโวยวายรีบโต้กลับมาแล้ว แต่ครั้งนี้เขากลับไม่พูดอะไรสักคำ คล้ายสัมผัสได้แล้วว่านางจะปฏิบัติต่อเขาอย่างไร
เฉินลั่วได้ยินแล้วยังลังเลอีกกว่าครู่ใหญ่ ถึงได้ถามเสียงเบาว่า “ถ้าหากยังจัดงานแต่งของพวกเราไม่ได้ไปสักระยะหนึ่งจะทำอย่างไร”
หวังซีได้ยินแล้วรู้สึกไม่สบายใจ กล่าวตามตรงว่า “เป็นเพราะเจ้าไม่อยากแต่งกับข้าแล้ว? หรือเพราะเกิดอะไรขึ้น? เจ้าไม่ต้องสนใจว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไร บอกข้ามาตามตรง ข้าอยากรู้ว่าเจ้าคิดอย่างไร พูดอย่างไร”
กล่าวจบ นางเบิกดวงตาโตทั้งคู่จ้องมองเฉินลั่ว คล้ายต้องการมองเข้าไปให้ถึงหัวใจของเขา
เฉินลั่วถูปลายนิ้วอย่างไม่สบายใจ กระซิบกล่าวกับนางว่า “เจ้าคิดไปถึงไหนแล้ว! หลายวันมานี้ข้าอยู่ในวังตลอด ข้ากังวลใจเล็กน้อยว่าพวกเราอาจไม่ได้จัดงานแต่งตามกำหนด ท่านปู่ท่านย่าและท่านพ่อท่านแม่ต่างขึ้นเรือเรียบร้อย เตรียมตัวเข้าเมืองหลวงแล้ว นี่หากงานแต่งเลื่อนออกไป จะทำอย่างไร”
หวังซีได้ยินแล้วจิตใจสั่นไหวว้าวุ่น ชี้ไปยังทิศทางที่วังหลวงตั้งอยู่ กล่าวว่า “ทางนั้นหรือ”
เฉินลั่วพยักหน้า กดเสียงลงต่ำมากขึ้น “ตอนเทศกาลแข่งเรือมังกรจัดงานแข่งเรือมังกรกันมิใช่หรือ ฮ่องเต้เสด็จกลับวังแล้วก็ใจสั่น นอนอยู่บนเตียงหลายวันแล้วพวกข้าถึงทราบข่าว บัดนี้เหล่าขุนนางใหญ่ในสภาต่างกำลังบีบให้ฮ่องเต้แต่งตั้งรัชทายาทอยู่!…
…อย่างอื่นข้าไม่ห่วง ข้ากลัวแค่ว่าหากต้องไว้ทุกข์ทั้งแผ่นดินขึ้นมา งานแต่งของพวกเราคงต้องเลื่อนออกไป…
…ยุ่งยากมากจริงๆ!”
หวังซีอดไม่ได้มองสำรวจสีหน้าของเฉินลั่วอย่างละเอียด รู้สึกว่าแม้นเขาจะดูปกติดี ทว่านัยน์ตากลับเจือความหดหู่เอาไว้หลายส่วน
ไม่ว่าฮ่องเต้จะปฏิบัติต่อเขาอย่างไร แต่ตอนเขาเป็นเด็ก ฮ่องเต้ก็เคยให้ความอบอุ่นแก่เขามาก่อน บัดนี้ฮ่องเต้แก่ชรา อาจอยู่ได้ไม่ยืนยาวแล้ว แม้นเขาไม่พูด แต่ในใจคงรู้สึกเศร้าอยู่บ้างกระมัง!
หวังซีดึงแขนเสื้อเขาเบาๆ อย่างอดไม่อยู่ กล่าวเสียงเบาว่า “จากเทศกาลแข่งเรือมังกรมาถึงตอนนี้ก็ร่วมเดือนแล้ว อาการป่วยอย่างอาการใจสั่นนี้เจ้าเองก็รู้ดี หากช่วยเอาไว้ได้ทันท่วงที ปกติหลังจากนั้นก็ไม่มีเรื่องน่าเป็นห่วงมากแล้ว เนื่องจากฮ่องเต้ปลอดภัยแล้ว เกรงว่าต่อให้มีคนคาดหวังให้เกิดอะไรกับฮ่องเต้ก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว…
…แต่ถ้าหากเรื่องนี้ทำให้งานแต่งต้องล่าช้าออกไปจริงๆ ก็ไม่เป็นไร” นางกล่าวปลอบเขาต่อ “จะได้ถือโอกาสนี้รั้งพวกเขาอยู่จิงเฉิงต่ออีกสักระยะหนึ่ง เจ้าเองก็ได้พาพวกเขาเที่ยว ให้พวกเขาได้รู้จักเขามากขึ้นด้วย!”
………………………………………………………