องค์ชายใหญ่ฟังแล้วไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้แต่ก้มหน้าลงมากัดซาลาเปาม้วนของเขาเงียบๆ ต่อไป
เฉินลั่วเองก็ไม่กล่าวสิ่งใด รู้สึกว่าตำหนักองค์ชายใหญ่ทำอาหารเช้าได้ไม่เลวนัก หม่านโถวทอดนั่นทอดได้กรอบนัก จึงกินตามไปอีกครึ่งลูก จากนั้นเรียกบ่าวรับใช้เข้ามาปรนนิบัติเขาล้างมือและบ้วนปาก
องค์ชายใหญ่มองแล้วถอนหายใจ
เฉินลั่วไม่บีบคั้นเขา กล่าวว่า “อย่างไรเสียข้าก็ใช้ชีวิตพอแล้ว ข้าไม่สนว่าเจ้าคิดจะทำอย่างไร ประเดี๋ยวข้าจะไปพบองค์ชายเจ็ด หากเขาไม่อยากเป็นรัชทายาท ข้าจะคอยดูว่าเสด็จลุงจะทำอย่างไร”
กล่าวถึงตรงนี้ เขายังหัวเราะอย่างเย็นชาอีกหลายเสียงด้วย
การกระทำของเขาไม่เหมือนทำตามแผนการแต่เหมือนคนดื้อรั้นมากกว่า
ความกังวลขององค์ชายใหญ่พลันมลายหายไปพร้อมกับเสียง ป๊อก ที่ดังขึ้นในหัว ยังมีความรู้สึกร่วมกับเฉินลั่วเพราะมีศัตรูคนเดียวกันอีกด้วย
จริงด้วย! เหตุใดเขาต้องเป็นหุ่นที่ถูกชักด้วย ฮ่องเต้จับเขาไปวางตำแหน่งไหน เขาก็ต้องนั่งตำแหน่งนั้น
เขาถูกตามล่าสังหาร ถูกปรักปรำ ถูกไล่ออกจากงาน ปากพูดว่าเป็นองค์ชายใหญ่ก็จริง ทว่าชีวิตย่ำแย่กว่าลูกอนุของคนทั่วไปเสียอีก
ยังมีอะไรที่ย่ำแย่ไปกว่านี้อีกหรือ
เขานึกถึงบุตรชายคนโตที่อายุเจ็ดขวบแล้วแต่เพราะหาอาจารย์ที่เหมาะสมไม่ได้ ก็เลยจำต้องร่ำเรียนกับผู้ช่วยของตนขึ้นมาแล้วหัวใจพลันร้อนรุ่มเหมือนไฟกำลังแผดเผา
ทว่าเฉินลั่วกลับสาดน้ำมันลงไปในเวลานี้อีก กล่าวอย่างเยียบเย็นว่า “เจ้าต้องการไปศาลบรรพชนหรือไม่ หากเจ้าไม่สนใจ เช่นนั้นข้าจะไปยุองค์ชายเจ็ดแทนแล้ว”
ศาลบรรพชนดูแลเรื่องสำคัญของราชวงศ์อย่างงานแต่ง งานศพและการแต่งตั้งยศต่างๆ เทียบเท่ากับเป็นหัวหน้าตระกูลของราชวงศ์ แต่ผู้นำของศาลบรรพชนอย่างหนิงจวิ้นอ๋องอายุมากแล้ว ทั้งไม่มีทายาทชาย ครอบครัวของหนิงจวิ้นอ๋องต่างเป็นกังวลว่าหลังสิ้นหนิงจวิ้นอ๋องแล้วจะถูกถอดยศ ใบหน้าทุกคนต่างเจือความหดหู่เอาไว้หลายส่วน ภาวนาให้หนิงจวิ้นอ๋องมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักสองสามปี
ถ้าหากมีองค์ชายยอมไปอยู่ศาลบรรพชน และดูแลจัดการได้ดี ไม่แน่ว่าอาจถึงขั้นได้รับการอุปการะไปอยู่ตำหนักหนิงจวิ้นอ๋องก็เป็นได้
องค์ชายใหญ่ตาเป็นประกาย
เมื่อก่อนทุกคนต่างจับจ้องแต่ตำแหน่งรัชทายาท ไม่มีใครยอมคิดถึงทิศทางอื่น เจ้าไม่สู้ก็ถอยไปก่อน ไม่เช่นนั้นจะมีอนาคตดีๆ อะไรได้
เขาอดโพล่งออกมาไม่ได้ว่า “เหตุใดก่อนหน้านี้เจ้าถึงไม่บอกองค์ชายสี่”
องค์ชายสี่สนิทสนมกับเฉินลั่วมาตั้งแต่เด็ก และเพราะเหตุนี้เขาถึงพูดจามีน้ำหนักต่อหน้าองค์ชายรอง
เฉินลั่วเบ้ปากเล็กน้อย มองเขาด้วยรอยยิ้มหยันโดยไม่กล่าวอะไร
องค์ชายใหญ่หน้าร้อนผ่าว
หากองค์ชายสี่ไม่ประจบเฉินลั่ว เขาจะได้รับความสนใจจากองค์ชายรองได้อย่างไร
เขาอดพึมพำกล่าวไม่ได้ว่า “เขาออกจากเมืองหลวงเมื่อใด”
องค์ชายสี่เสกสมรสวันที่แปดเดือนสี่ ได้รับแต่งตั้งเป็นก๋วงหย่วนโหว ที่ดินศักดินาอยู่ที่สู่จง
ดินแดนภูเขาสูงแม่น้ำยาว หลังจากไปแล้วเกรงว่าตลอดชีวิตที่เหลือคงไม่ค่อยได้กลับมาแล้ว
เฉินลั่วกล่าวอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อยว่า “คนที่ออกไปแล้วย่อมมีวิถีของคนที่ออกไปแล้ว ต่อให้ศาลบรรพชนไม่ดีอย่างไร แต่ก็อยู่จิงเฉิง เจ้าไม่เห็นมันอยู่ในสายตา แต่ผู้อื่นขอยังขอมาไม่ได้”
องค์ชายใหญ่อดลังเลใจเล็กน้อยไม่ได้ กล่าวว่า “กลัวแต่ว่าฮ่องเต้จะไม่ยอมรับปาก”
เฉินลั่วกล่าวประชดประชันว่า “เรื่องที่ผู้อื่นขอร้องเขา เขาเคยรับปากอย่างขาวสะอาดและรวดเร็วตั้งแต่เมื่อไรกัน หากอยากให้เขารับปากเจ้า เจ้าก็ต้องรอ!”
องค์ชายใหญ่ดูกระดากอายเล็กน้อย ปล่อยให้ข้ารับใช้เช็ดมือให้เขา ไปนั่งที่ห้องตะวันตกที่อยู่ด้านข้างกับเฉินลั่ว
หากเขาเป็นคนเด็ดขาดผู้หนึ่ง ก็คงไม่เป็นองค์ชายใหญ่มานานหลายปีขนาดนี้
เฉินลั่วไม่ได้คาดหวังอะไรกับเขานัก ก็แค่คิดว่าขอเพียงฮ่องเต้ไม่เป็นสุข หัวใจของเขาดวงนี้ก็คล้ายจะมีความสุขขึ้นมาหลายส่วน
ส่วนเรื่องใครจะไปอยู่ศาลบรรพชน ใครจะเป็นผู้นำตระกูลนั้น เกี่ยวอันใดกับเขาด้วย
มิใช่บรรพบุรุษของเขาเสียหน่อย
แต่เรื่องนี้ทำให้องค์ชายใหญ่สนใจขึ้นมาจริงๆ ไม่รู้ว่าใครเสนอความคิดให้เขา เขาให้ผู้ช่วยคนสนิทไปพบชิ่งอวิ๋นป๋อ ไม่กี่วันต่อมา หนิงจวิ้นอ๋องก็ขอลาออก ยังบอกด้วยว่าสุขภาพของตนไม่ดีแล้ว อยากใช้เวลาที่ยังมีชีวิตอยู่นี้มีความสุขอยู่กับครอบครัว ให้ฮ่องเต้ยกองค์ชายใหญ่ให้เขา มาสืบทอดตำแหน่งหนิงจวิ้นอ๋องต่อ ยังโน้มน้าวฮ่องเต้ในที่ประชุมของราชสำนักอีกด้วยว่า “เช่นนี้เจ้าก็ไม่ต้องลำบากใจแล้ว ไม่ว่าจะเป็นฝ่ามือหรือหลังมือก็ล้วนแล้วแต่เป็นเลือดเนื้อ พวกเราล้วนเข้าใจได้ หากถามว่าข้าชอบองค์ชายใหญ่หรือเปล่า ก็ไม่ถึงขนาดนั้น หลักๆ แล้วข้าเห็นว่าหลานชายคนโตของพวกเขาไม่เลวนัก สุขภาพแข็งแรง ร่างกายทนทาน สำหรับข้าแล้วสิ่งนี้ถือว่าดีมาก”
กล่าวด้วยน้ำเสียงทำนองว่าข้าทนไม่ได้ที่เจ้าต้องลำบากใจ ก็เลยช่วยแก้ปัญหาเรื่ององค์ชายใหญ่ให้เจ้า ทำให้ฮ่องเต้พิโรธขึ้นมาอีกครั้งจนเป็นลมล้มลงไป
เฉินลั่วถือโอกาสนี้ลอบส่งสัญญาณบอกองค์ชายเจ็ดว่า “เรื่องที่มีความมั่นใจถึงกระทำได้ หากไม่มีความมั่นใจ อย่าขยับเขยื้อนเป็นดีที่สุด หรือไม่ก็ให้ผู้อื่นทำให้เจ้า เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องที่ว่าอนาคตทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองใจแล้วอยากอธิบายแต่ก็หาข้ออ้างไม่ได้”
หากจนถึงตอนนี้แล้วองค์ชายเจ็ดยังดูไม่ออกว่าพระบิดาวางแผนการเพื่อเขาอย่างไรบ้าง เขาก็คงเป็นคนโง่ผู้หนึ่ง และฮ่องเต้คงไม่มีทางแต่งตั้งเขาเป็นรัชทายาท แต่กว่าเขาจะรู้ก็สายเกินไปแล้ว
ถ้าหากรู้เร็วกว่านี้สักสองสามปี หรือไม่สุขภาพของฮ่องเต้ยังดีกว่านี้สักหน่อย อยู่ช่วยสนับสนุนเขาได้อีกสักสองสามปี ให้เขาค่อยๆ จัดวางตำแหน่งในราชสำนัก ก็คงไม่ถึงขั้นถูกกระทำเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ กล่าวคือ เหล่าขุนนางหากไม่เลือกข้าง ก็ไปร่วมมือกับจวนชิ่งอวิ๋นป๋อโดยไม่ทราบสาเหตุว่าเหตุใดถึงยอมทำเช่นนั้น ในราชสำนักหยิบเอาเรื่อง ‘รากฐานของแผ่นดิน’ ขึ้นมาพูด เรียกร้องอย่างหนักแน่นให้ฮ่องเต้หากมีโอรสจากชายาเอกก็แต่งตั้งโอรสจากชายาเอก หากไม่มีโอรสจากชายาเอกให้แต่งตั้งโอรสองค์โต
ช่วงนี้พวกเขาสร้างความวุ่นวายจนฮ่องเต้ปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสาดโคลนใส่ฮองเฮา เพื่อหาเรื่องเปลี่ยนตัวฮองเฮาทำให้องค์ชายเจ็ดกลายเป็นโอรสจากชายาเอกอย่างชอบธรรมเลย
ตอนที่เฉินลั่วมาหาเขาเพื่อพูดเรื่องนี้นั้น เขานิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ไม่รู้ว่าสุดท้ายตัวเองควรเดินหน้าหนึ่งก้าวหรือควรถอยหนึ่งก้าวดี
ตามหลักแล้ว เขาควรเดินหน้าหนึ่งก้าว
เสด็จพ่อทำเพื่อเขามาถึงขั้นนี้แล้ว หากเขาถอย สิ่งที่ฮ่องเต้ทำมาทั้งหมดจะยังมีความหมายอะไร
แต่ถ้าเขาเดินหน้าหนึ่งก้าว หากสุดท้ายแล้วตำแหน่งรัชทายาทตกเป็นขององค์ชายรอง เขาจะยังมีอนาคตอะไรเหลืออยู่อีก
ด้านองค์ชายเจ็ดกระวนกระวายไม่รู้ควรทำอย่างไรดี ทว่าองค์ชายรองกลับได้รับรายงานลับ ได้รู้ว่าเหตุใดเฉินลั่วถึงไปเยี่ยมองค์ชายเจ็ด
เขาซาบซึ้งใจในตัวเฉินลั่วยิ่งนัก รู้สึกว่าสุดท้ายแล้วคนเป็นลูกพี่ลูกน้องกลับชิดใกล้กันที่สุด
ต่อให้เฉินลั่วจะเอาแต่ใจอย่างไร แต่ในยามคับขัน ยังคงยืนอยู่ฝั่งเดียวกับเขา ยังคงยินดีวิ่งเต้นเพื่อเขา
เขารู้สึกชิดใกล้กับเฉินลั่วยิ่งกว่าพี่น้องของตัวเองเสียอีก หลักๆ เป็นเพราะเขาสัมผัสได้รางๆ มาตั้งแต่เด็กแล้วว่าฮ่องเต้หาได้โปรดปรานตนอย่างที่แสดงออกมา แม้นกล่าวว่าบิดาเข้มงวดกำเนิดบุตรกตัญญู แต่ฮ่องเต้ไม่เพียงเข้มงวดกวดขันเขาเท่านั้น ยังรุนแรงมากอีกด้วย ซึ่งคล้ายกับที่เจิ้นกั๋วกงเฉินอวี๋ปฏิบัติกับเฉินลั่ว
เวลาที่เขากับเฉินลั่วนั่งฟังอาจารย์สอนหนังสืออยู่ข้างๆ กันนั้น บางครั้งเขารู้สึกว่าเขากับเฉินลั่วต่างหากที่เป็นเหมือนพี่น้องกันจริงๆ ต่างตกอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายกัน มีประสบการณ์ใกล้เคียงกัน ไม่มีอะไรเหลือเชื่อไปกว่าพวกเขาแล้ว
คนนอกมองพวกเขาไม่รู้ว่าดูสูงส่งมากเพียงใด แต่ความจริงแล้วพวกเขาล้วนเป็นคนที่ไม่ได้รับความรักจากบิดา
เขาไม่ติดต่อไปหาเฉินลั่ว และไม่ได้คุยกับเฉินลั่วสักประโยคด้วย
เขาคิดว่าเฉินลั่วเองก็น่าจะเหมือนเขา เห็นเขาเป็นดั่งพี่น้องแท้ๆ ถึงจะถูก
เมื่อก่อนฮ่องเต้ก็แค่ไม่อยากให้ตระกูลปั๋วมาควบคุมเขา ยืนอยู่บนบ่าของเขาเพลิดเพลินกับเกียรติและลาภยศอย่างผู้สูงส่ง ด้วยเหตุนี้ก็เลยไม่อยากแต่งตั้งองค์ชายรองเป็นรัชทายาท ภายหลังเขาค้นพบว่าองค์ชายเจ็ดฉลาดมีไหวพริบกว่าองค์ชายรอง เข้าใจผู้อื่นมากกว่า แล้วก็เข้าใจการกระทำของเขามากกว่า จึงรู้สึกว่าองค์ชายเจ็ดต่างหากคือตัวเลือกรัชทายาทในอุดมคติของเขา
ความคิดดังกล่าวสิ้นหวังยิ่งกว่าสิ้นหวัง
จนถึงบัดนี้ แม้นเขายังรู้สึกเช่นเดิมว่าองค์ชายเจ็ดเหมาะสมเป็นรัชทายาทมากกว่า แต่เสียงเรียกร้องในราชสำนักกับการคว่ำบาตรของเหล่าขุนนางกลับทำให้เขาสิ้นหวังและไร้ทางเลือก
เขาจึงยิ่งรู้สึกรังเกียจมากขึ้น
เมื่อก่อนตระกูลปั๋วอยากให้ใครเป็นฮ่องเต้ก็ให้ผู้นั้นเป็นฮ่องเต้ บัดนี้ยังคิดจะควบคุมการแต่งตั้งรัชทายาทของเขาอีก
เขาจึงยิ่งไม่พอใจในตัวองค์ชายรองมากขึ้น
ฮ่องเต้ประกาศราชโองการ ต้องการแต่งตั้งองค์ชายรองเป็นเล่อซานโหว ตั้งใจส่งเขาไปอยู่สู่จงด้วยอีกคน
ตอนที่เฉินลั่วได้ข่าวเขากำลังจะผลัดอาภรณ์เพื่อพักผ่อน เขาเห็นว่าอากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ แล้ว นึกได้ว่าเขามีบ้านตากอากาศสำหรับหลบร้อนอยู่ที่ภูเขาตะวันตกหนึ่งหลัง จึงนัดคนตระกูลหวังไปอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง
ช่วงนี้หวังเฉินกำลังวุ่นเรื่องส่งเสบียงให้กองทัพของจวนชิงผิงโหวอยู่ ไม่อาจออกจากเมืองหลวงได้ จินซื่ออยากไป แต่ก็ไม่วางใจที่ต้องทิ้งสามีไว้คนเดียว
หวังเฉินเห็นใจจินซื่อที่มาถึงจิงเฉิงแล้วไม่ได้หยุดพักเลยสักวัน หากไม่ไปร่วมงานเลี้ยงของผู้อื่น ก็ต้องจัดงานเลี้ยงรับรองผู้อื่น จึงหว่านล้อมให้นางพาหวังซีกับบุตรชายอีกสองคนไปอยู่บ้านพักตากอากาศที่ภูเขาตะวันตก จะได้ให้บุตรชายทั้งสองได้เตรียมใจด้วย เมื่อถึงเดือนเก้า ตั้งใจจะให้พวกเขาไปเรียนที่สำนักศึกษาประจำตระกูลของอวี๋จงอี้
เฉินลั่วเป็นคนช่วยติดต่อเรื่องนี้ให้
โชคดีที่ตระกูลหวังต้องการปกปิดความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับเซี่ยสือ ประกอบกับที่สำนักศึกษาประจำตระกูลของอวี๋จงอี้มีมาอย่างยาวนาน อาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาคืออาของเขาท่านหนึ่งที่สอบผ่านจวี่เหรินแล้ว หลายปีมานี้ก็สอนสั่งนักเรียนดีมีคุณภาพออกมาไม่น้อย หวังเฉินจึงตอบรับอย่างยินดี
เฉินลั่วคิดว่าเร็วๆ นี้อาจต้องเข้าวังอีก เกรงว่าคงไม่อาจไปส่งหวังซีที่บ้านพักตากอากาศแล้ว
เขารีบเขียนจดหมายไปให้หวังซีหนึ่งฉบับ ให้หวังซีกับจินซื่อล่วงหน้าไปก่อน แล้วเขาจะตามไปเยี่ยมพวกนางทีหลัง
ยังให้เฉินอวี้ที่ไปส่งจดหมายกำชับหวังซีว่า “ให้พี่ใหญ่ร่วมทางไปกับพวกเจ้าด้วยเป็นดีที่สุด เพราะเมื่อพระราชโองการประกาศลงมาแล้ว หากในเมืองหลวงเกิดความโกลาหลขึ้น อยากหนีไปก็คงไม่ง่ายแล้ว”
ตระกูลปั๋ววางแผนมาหลายปีขนาดนี้ จะปล่อยให้องค์ชายรองออกจากเมืองหลวงได้อย่างไร!
หวังซีเองก็ไม่อาจรั้งอยู่ต่อได้เช่นกัน
นางกลัวเกิดเรื่องวุ่นวายกับพวกนางแล้วจะทำให้เฉินลั่วต้องลำบากมาดูแลพวกนางด้วย นางให้หวังสี่นำจดหมายไปส่งให้หวังเฉิน ให้หวังหมัวมัวช่วยจินซื่อเก็บข้าวของใหม่อีกครั้ง พกของมีค่าทั้งหมดติดตัว เสร็จแล้วถึงถามเฉินอวี้ว่า “จ่างกงจู่เล่า”
เฉินอวี้เห็นนางกับเฉินลั่วอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ต้น ให้เกียรติหวังซีประหนึ่งเป็นนายหญิงของตัวเอง เป็นธรรมดาที่จะยกย่องนางเพิ่มขึ้น ประสานมือกล่าวว่า “ถึงเวลาจ่างกงจู่น่าจะเข้าวัง ที่นั่นปลอดภัยที่สุดแล้วขอรับ”
ไม่ว่าฮ่องเต้กับฮองเฮาจะมีความขัดแย้งกันอย่างไร ก็ไม่อาจตบตีกับจ่างกงจู่ก่อนได้ แต่ถ้าจ่างกงจู่อยู่นอกวัง นั่นก็พูดยากแล้ว
หวังซีรีบพยักหน้า ให้ไป๋จื่อตกรางวัลให้เฉินอวี้ รอเฉินอวี้กลับไปแล้ว ก็รีบให้คนไปเชิญฉังเคอที่กำลังตั้งครรภ์ ถามนางว่าอยากไปอยู่บ้านพักอากาศที่ภูเขาตะวันตกสักระยะหนึ่งหรือไม่
นางไม่ได้รอคำตอบจากฉังเคอ พอหวังเฉินเร่งกลับมาถึงแล้วพวกเขาก็ขึ้นรถม้ามุ่งหน้าออกนอกเมือง เมื่อออกจากเมืองแล้วถึงรออยู่ที่ร้านน้ำชาข้างที่พักม้าครู่หนึ่ง กระทั่งหลงจู๊ใหญ่มาสมทบแล้วก็เดินทางไปบ้านพักตากอากาศที่ภูเขาตะวันตกพร้อมกัน
บ้านพักตากอากาศที่ภูเขาตะวันตกใหญ่โตมาก เป็นบ้านขนาดสามแถวห้าทางเข้าพร้อมด้วยสวนดอกไม้ขนาดใหญ่หนึ่งแห่ง สร้างอยู่กลางหุบเขา ต้นไม้หนาแน่นอุดมสมบูรณ์ ให้ร่มเงาร่มรื่น
พ่อบ้านของที่นี่บอกพวกเขาว่า “ด้านซ้ายเป็นบ้านตากอากาศของหลินอานต้าจ่างกงจู่ ด้านขวาเป็นของเว่ยกั๋วกง ตอนนี้ทั้งสองครอบครัวยังไม่มีใครมาหลบร้อนที่นี่ หากคุณชายทั้งสองท่านอยากไปเล่นอะไรก็เล่นได้เต็มที่”
ราวกับว่าหวังเจิ้นกับหวังถิงเป็นเด็กอายุเจ็ดแปดขวบ ที่ยังปีนต้นไม้ไปจับนก ลงน้ำไปจับปลาอยู่ก็ไม่ปาน
หวังซีถูจมูก ไล่พ่อบ้านของที่นี่ออกไป ต่างแยกย้ายไปล้างหน้าล้างตาที่เรือนของตัวเอง
ผ่านไปสองถึงสามวันฉังเคอถึงเดินทางมาถึง เวินเจิงเป็นคนมาส่งนาง เขามาพบหวังซีอย่างรีบเร่งครั้งหนึ่ง ทำความเคารพหวังซีพลางกล่าวว่า “ขอบคุณน้องสาวสกุลหวังมาก คงต้องรบกวนเจ้าช่วยดูแลอาเคอแล้ว รอให้ในเมืองสงบลงแล้วข้าค่อยมารับนาง”
แม้นเป็นพี่เขย ก็ไม่อาจสนิทสนมมากเกินไป
หวังซีทำความเคารพตอบ ให้หวังสี่ไปส่งเวินเจิงที่ประตู ส่วนนางดึงมือฉังเคอพากลับไปที่เรือนพักของตัวเอง
………………………………………………………………..