หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 269

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 269 – สัตว์วิญญาณเลื่อนขั้น

อารมณ์ของฉินซีไม่ดีอย่างมาก

โม่เทียนเกอตระหนักถึงจุดนี้ พอกลับถึงเรือนชั่วคราวก็อยากจะกลับเข้าห้องของตนเอง ใครจะรู้ว่าฉินซีกลับเอ่ยปากขึ้นเบื้องหลังนางว่า “รอก่อน”

น้ำเสียงของเขาในตอนนี้ไม่สามารถเรียกว่าดี แต่เห็นได้ชัดว่าสะกดกลั้นลงไปแล้ว ดังนั้นโม่เทียนเกอหยุดลง ท่าทางสงบนิ่ง “โส่วจิ้งซือเกอ ยังมีเรื่องอะไรหรือ”

ฉินซีลังเลสักพัก เอ่ยว่า “เกี่ยวกับเรื่องของวันนี้ ยังอยากจะพูดกับเจ้าสักหน่อย”

โม่เทียนเกออึ้งไป ถามว่า “ซือเกอ หรือท่านคิดว่าข้าหยิบเอาสมบัติออกมาเช่นนี้ไม่เหมาะสมอยู่บ้าง”

ฉินซีส่ายหน้า “พวกเราไม่ใช่ผู้ฝึกตนอิสระที่ไร้หลักไร้ฐาน มีโรงเรียนและซือฟุหนุนหลัง หยิบสมบัติออกมาเป็นครั้งคราวไม่นับเป็นอะไร กลับกันจะยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกว่าโรงเรียนเสวียนชิงของเราตอแยมิได้”

“เช่นนั้น….ยังมีเรื่องอันใด”

สายตาค้นหาของฉินซีกวาดผ่านใบหน้านาง ถามว่า “หญ้าวิญญาณหมื่นปี หรือว่าในปีนั้นบรรพบุรุษของเจ้าได้มอบให้เจ้า”

“มิผิด” โม่เทียนเกอคิดมาแต่แรกแล้วว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไร ดังนั้นตอบอย่างตรงไปตรงมามาก

ฉินซีพยักหน้า นี่เป็นคำตอบหนึ่งเดียวที่เขาสามารถคิดได้

“เรื่องที่ซือเกออยากจะพูดคือเรื่องนี้หรือ”

“ย่อมมิใช่” ฉินซีเอ่ย “สิ่งที่ข้าอยากจะพูดกับเจ้าคือเรื่องของจิ่งสิงจื่อ”

“อ้อ? สหายเต๋าจิ่งผู้นี้มีปัญหาอะไร”

“เขา….” ฉินซีลังเลแล้วเอ่ยว่า “คนผู้นี้ข้ารู้จักตอนแรกเริ่มก่อเกิดตาน เขาเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสกระบี่ฉงกวง แต่ผู้อาวุโสกระบี่ฉงกวงสิ้นชีพลงไปเมื่อร้อยปีที่แล้ว สถานะของศิษย์สายนี้ของเขาในสำนักกู่เจี้ยนอิหลักอิเหลื่อ จิ่งสิงจื่อนี้เนื่องจากการปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรมในสำนัก นิสัยจึงค่อนข้างพิกล ชอบตอแยผู้ฝึกตนสตรีเป็นที่สุด ในความเป็นจริงกลับไม่เต็มใจจะรับผิดชอบ เจ้า…..”

“โส่วจิ้งซือเกอกังวลใจว่าข้าจะถูกคนคนนี้ทำให้ไขว้เขวหรือ” เขาพูดไม่จบโม่เทียนเกอก็ขัดคำพูดเขาแล้ว เอ่ยออกมาตรง ๆ

นางพูดว่าไขว้เขวสองคำนี้ออกมาตรง ๆ อย่างนี้ทำเอาฉินซีหน้าแดงระเรื่อ เบือนหน้าไปอย่างอึดอัดอยู่บ้าง “ข้าเพียงบอกเจ้าสักคำ”

โม่เทียนเกอบิดมุมปากถือว่ายิ้มออกมาแล้ว “ขอบคุณซือเกอมากที่ใจดีเอ่ยถึง ข้าสามารถกลับไปพักผ่อนได้หรือยัง”

“……”

ฉินซีสีหน้าอิหลักอิเหลื่อ พยักหน้า

โม่เทียนเกอหมุนตัวกลับห้อง

พอกลับถึงห้องแล้ว โม่เทียนเกอนั่งลง นวดคิ้ว

นางยอมรับว่าเมื่อครู่ไม่มีความสุขอยู่บ้าง นางเป็นคนที่ตื้นเขินขนาดนั้นเชียวหรือ จิ่งสิงจื่อจะรูปงามดุจบุปผาจะปากหวานปานน้ำผึ้งอีกสักแค่ไหนก็ไม่เกี่ยวกับนาง แต่ฉินซีเอ่ยถึงเช่นนี้ถึงที่สุดแล้วก็เป็นความห่วงใยนาง คิด ๆ ดูแล้วก็สงบใจลงได้

อันที่จริงพบกันอีกครั้งหลังจากสามสิบห้าปี นางไม่เข้าใจเลยว่าในใจของฉินซีสรุปแล้วคิดอะไรอยู่ นางทราบว่าจากมุมมองของผู้ฝึกตนคนหนึ่ง ฉินซีปฏิบัติต่อนางดียิ่ง ตอนที่นางได้รับบาดเจ็บในม่านพลังหมื่นปรัชญาแห่งธรรมชาติ เขาออกไปเสาะหาตัวยาเพื่อนาง การท่องภูเขามารเห็นอยู่ชัด ๆ ว่าระดับการฝึกตนของนางไม่เพียงพอกลับยังคงเต็มใจจะพานางไป

นางไม่รู้ว่านี้คือความรู้สึกร่วมสำนักของฉินซือเกอที่เคยผ่านอุปสรรคขวากหนามมาด้วยกันกับนาง หรือว่าเป็นการดูแลของอาจารย์เต๋าโส่งจิ้งต่อผู้เยาว์ในฐานะมิตรในยามยากของบิดา แต่ความซาบซึ้งในใจก็เป็นเรื่องหนึ่ง ตามหลักเหตุผลแล้วนางกลับไม่อยากจะสนิทสนมมากกับโส่วจิ้งซือเกอที่เป็นแบบนี้

บางทีชั่วชีวิตนี้ของนางแข็งกร้าวเกินไป ตอนยังเล็กนางอยากจะแข่งอ่านหนังสือให้ดีกว่าเด็กผู้ชายอย่างเทียนจวิ้น ภายหลังนางคิดถึงการฝึกมรรคาเซียนอยู่ตลอด ไม่อยากจะผ่อนผันในการฝึกตนเพราะว่าตนเองเป็นผู้ฝึกตนสตรี หลังจากนั้นอีกในที่สุดนางก็เชิดหน้าชูตาได้ มีพรสวรรค์ มีซือฟุ…. แต่ในเวลานี้นางยิ่งไม่เต็มใจจะผ่อนผันตนเอง ตั้งใจเอาผู้ฝึกตนอัจฉริยะพวกนั้นมาเป็นเป้าหมาย

เรื่องมาถึงปัจจุบันนี้ ในใจนางมิใช่ไม่มีความเสียดาย สมมติว่าเป็นฉินซือเกอคนนั้น…..บางทีนางอาจจะเอ่ยคำพูดที่อยู่ในใจออกมา เสาะหาอนาคตเพื่อตนเอง แต่ว่า…..เขาไม่ได้เป็นเพียงฉินซือเกอ ยังเป็นอาจารย์เต๋าโส่วจิ้งด้วย

นางไม่เต็มใจจะเงยหน้ามองคนคนหนึ่งแล้วกลายเป็นสตรีตัวเล็ก ๆ ภายใต้การคุ้มครองของเขา

อีกอย่าง นางก็มองจิตใจของเขาไม่ทะลุ เขาเป็นคนที่จิตเต๋ามั่นคงเสียอย่างนี้ เกรงว่าคงไม่เคยคิดถึงเรื่องการฝึกตนร่วมสัมพันธ์เลย หากนางทุ่มเทความรู้สึกมากเกินไปแล้วสุดท้ายกลายเป็นอย่างเว่ยจยาซือหรือหร่วนหมิงจูแล้วจะทำเช่นไร นางยอมรับว่าตนเองขี้ขลาด ไม่กล้าไล่ตามอย่างดื้อรั้นอย่างพวกเขา เนื่องจากเป้าหมายสุดท้ายของนางยังคงเป็นการสำเร็จมหามรรคา ไม่เต็มใจจะละทิ้งเพื่อเรื่องราวใด ๆ

ดังนั้นก็เป็นอย่างนี้เถิด

ทว่าหลังจากที่ออกจากภูเขา ทัศนคติที่โส่วจิ้งซือเกอผู้นี้มีต่อนางถึงจะดูแลไปเสียทุกเรื่อง แต่กลับมีความคับข้องใจอย่างเห็นได้ชัด นางคิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจว่าสรุปแล้วโกรธเคืองอะไรนางหรือ เพราะว่าทำให้เขาลำบากออกไปเสาะหาตัวยาภายนอกแล้วได้รับบาดเจ็บหนักหรือ ด้วยการฝึกจิตใจของเขามันก็ไม่น่าจะเป็นถึงขนาดนั้นนะ

เรื่องที่คิดแล้วไม่เข้าใจก็โยนมันทิ้งไม่ต้องไปคิด โม่เทียนเกอทำตัวปลอมเอาไว้ภายนอกแล้วเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน

หยกผลึกวิญญาณที่แลกมาจากงานชุมนุมค้าขายเก็บเอาไว้ที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนไปก่อน หุ่นเชิดหินสลักอีกสองตัวเก็บเอาไว้ข้างกาย ถึงแม้หุ่นเชิดสองตัวนี้มีระดับการฝึกตนเพียงสร้างฐานพลังขั้นปลาย แต่ว่ามันแข็งแกร่งทนทาน ไม่แน่ว่าจะได้ใช้ประโยชน์

จากนั้นคือเสี่ยวหั่วกับเฟยเฟยสองสัตว์วิญญาณ ช่วงเวลานี้นางทิ้งพวกมันเอาไว้ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนโดยตลอด สัตว์วิญญาณสองตัวนี้เป็นเพื่อนกันและกัน บางครั้งสู้บางครั้งเล่น อารมณ์ดีมาก แถมตอนที่นางกักตนก่อเกิดตานทำให้พวกมันก็ฝึกตนอย่างจริงจัง ขณะนี้เสี่ยวหั่วอยู่จุดสูงสุดของขั้นสี่แล้ว กำลังทะลวงเข้าขั้นห้า เฟยเฟยแย่กว่าหน่อย เพิ่งจะขั้นสี่

สัตว์วิญญาณเลื่อนขั้นไม่ได้ลำบากเหมือนผู้ฝึกตนมนุษย์ พวกมันไม่ต้องฝึกฝนจิตใจ ไม่ต้องผ่านจิตมาร ดังนั้นเรียบง่ายมาก และพืชวิญญาณในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนี้ ตัวโม่เทียนเกอเองใช้ได้น้อยมาก ดังนั้นล้วนเป็นพวกมันอยากกินอะไรก็กินมาโดยตลอด

เสี่ยวหั่วกับเฟยเฟยอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน มีพืชวิญญาณอย่างไร้ขีดจำกัด อีกทั้งมีพลังวิญญาณเปี่ยมล้น การฝึกตนเทียบกับสัตว์วิญญาณของผู้อื่นเร็วกว่าไม่รู้กี่เท่า

เฟยเฟยไม่เท่าไหร่ มันไม่มีความสามารถในการโจมตีเลย แล้วก็ทะลวงถึงขั้นห้าไม่ได้อีกสักพัก ตั้งแต่พบว่าเวทเพลิงของเสี่ยวหั่วร้ายกาจสุด ๆ สามารถทำเป็นสัตว์วิญญาณต่อสู้ได้อย่างเต็มที่ โม่เทียนเกอก็ตั้งใจขัดเกลา ไม่เพียงให้มันกินพืชวิญญาณในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนตามใจชอบ ยังจงใจหลอมโอสถเสริมสภาพร่างกายให้มันใช้เลื่อนขั้น

กำลังจะไปที่ห้องไม้ไผ่อีกห้องซึ่งถูกนางใช้เป็นห้องสัตว์วิญญาณดูว่าสัตว์วิญญาณสองตัวอยู่ที่ใด กลับเห็นเฟยเฟยวิ่งเข้ามาจากภายนอก พุ่งหัวทิ่มมาถึงข้างกายนาง งับชายเสื้อของนาง

โม่เทียนเกอก้มตัวลงอุ้มเฟยเฟยขึ้นมา ลูบหัวของมัน “เป็นอย่างไร ฝึกตนดี ๆ รึเปล่า”

เฟยเฟยร้องอู๋ ๆ สองคำ ลากชุดของนางไปข้างนอก

โม่เทียนเกอไม่เข้าใจ “มีเรื่องหรือ”

เฟยเฟยสั่นหัวคล้ายกับพยักหน้า หันหัวมองไปยังทิศทางของห้องสัตว์วิญญาณอยู่ตลอด

โม่เทียนเกอเลิกคิ้วขึ้น อุ้มเฟยเฟยเดินไปที่ห้องสัตว์วิญญาณ

เสี่ยวหั่วกำลังเลื่อนขั้น หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ดูการกระเพื่อมของพลังวิญญาณไม่มีอะไรผิดปกตินี่

รอจนอยู่ข้างนอกห้องสัตว์วิญญาณ ผลักประตูเปิด กลับเห็นเสี่ยวหั่วซุกตัวอยู่มุมห้อง ขดตัวฝึกตน สองตาปิดสนิท แสงวิญญาณสีแดงเพลิงบนร่างย้อมทั่วทั้งห้องจนกลายเป็นสีแดงเลือด

เฟยเฟยร้องอีกสองคำ ไม่กล้าไปรบกวนเสี่ยวหั่ว เพียงวนอยู่รอบตัวมันสองรอบแล้ววิ่งกลับมางับชายเสื้อนางอีกครั้ง

โม่เทียนเกอจับสัมผัสโดยละเอียดแล้วก้มลงลูบหัวเฟยเฟยอย่างยิ้มแย้ม “อย่ากังวลเลย เสี่ยวหั่วจะเลื่อนขั้นแล้ว พวกเราอย่าไปกวนมัน”

เฟยเฟยคล้ายกับจะไม่เข้าใจอยู่บ้าง แต่เห็นว่านางปลอบใจตนเองก็ตามนางออกไปอย่างเชื่อฟัง กลับไปยังห้องหลัก

แสงสีแดงบนร่างเสี่ยวหั่วเป็นพลังวิญญาณธาตุไฟของมัน พลังวิญญาณไฟที่โชติช่วงเช่นนี้ ชัดเจนมากว่ามันเลื่อนขั้นสำเร็จแล้ว ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนปรับฐานให้มั่นคง

โม่เทียนเกอยินดีอยู่ในใจ ถ้าหากเสี่ยวหั่วสามารถเลื่อนขั้นเป็นขั้นห้าได้สำเร็จ ไฟแท้ไท่หยางอันเป็นเอกลักษณ์ของมันจะต้องสามารถช่วยเหลือนางได้ ถ้าเป็นอย่างนี้นางก็จะมีวิธีการป้องกันตัวเองเพิ่มขึ้นอีกอย่าง

หลายวันถัดมา โม่เทียนเกอแม้แต่เรื่องไปรวมกลุ่มกับผู้ร่วมทางก็ยังผลักทิ้ง เพียงตั้งใจปกปักอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน รอให้เสี่ยวหั่วเลื่อนขั้นสำเร็จ

การเลื่อนขั้นของสัตว์วิญญาณเทียบกับผู้ฝึกตนมนุษย์เรียบง่ายกว่ามาก เสี่ยวหั่วเป็นเช่นนี้เลื่อนขั้นสำเร็จแล้ว เพียงต้องให้พลังวิญญาณของมันมั่นคงก็จะเป็นสัตว์วิญญาณขั้นห้า

ห้าวันให้หลัง ในที่สุดก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทาง เสี่ยวหั่วก็ได้เสร็จสิ้นการเลื่อนขั้น ออกมาจากห้องสัตว์วิญญาณ

และในขณะนี้ ฉินซีก็แจ้งต่อนางว่าควรจะเดินทางไปภูเขามารแล้ว

ทิ้งเฟยเฟยไว้ที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน เอาเสี่ยวหั่วออกมา โม่เทียนเกอเก็บสิ่งของทุกอย่างเรียบร้อยแล้วไปพบฉินซี

ฉินซีกำลังอยู่ในห้องโถง ถึงจะถือถ้วยชาแต่กลับไม่ยอมขยับเขยื้อน สายตาตกอยู่ในห้วงว่างเปล่า ก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ จิตหยั่งรู้สัมผัสได้ว่านางเข้ามา หันหน้าไป สายตาตกลงไปบนตัวของเสี่ยวหั่ว

สีหน้าของเขามีความตกตะลึงแวบผ่าน “เสี่ยวหั่ว….เลื่อนขั้นแล้วหรือ”

โม่เทียนเกอพยักหน้า “เพิ่งเลื่อนขั้นได้ไม่นาน”

“อ้อ….” ฉินซีจับจ้องเสี่ยวหั่ว แต่กลับมีสีหน้าประหลาดพิกล ยี่สิบห้าปีที่นางไม่อยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิง เสี่ยวหั่วมาติดตามเยี่ยเจินจี และเยี่ยเจินจีก็อาศัยอยู่ในถ้ำพำนักของเขาอีก ยี่สิบห้าปีนั้น เริ่มแรกมีโอสถที่นางหลอม ภายหลังโอสถพวกนั้นกินจนหมดแล้วเขาก็ไม่ได้งก ยังคงให้โอสถเสี่ยวหั่วเหมือนเดิมไม่เคยขาด

ผู้ฝึกตนของคุนอู๋เลี้ยงสัตว์วิญญาณไม่เคยจะมีการฟุ่มเฟือยขนาดนี้ ถึงจะเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ผู้ที่ใจกว้างต่อสัตว์วิญญาณขนาดนี้ก็มีไม่มาก และสัตว์วิญญาณที่มีค่าให้พวกเขาดูแลขนาดนี้ล้วนเป็นสายพันธุ์ล้ำค่าหายาก ถ้าให้คนอื่นรู้ว่าอสูรเพลิงที่มีอยู่ทั่วไปในคุนอู๋ถึงกับเลี้ยงดูกันเช่นนี้ เกรงว่าคงแค้นที่ไม่อาจผ่าท้องเอาโอสถพวกนั้นที่เสี่ยวหั่วกินลงไปออกมากันแล้ว และเสี่ยวหั่วก็ประหลาด ผู้ฝึกตนระดับต่ำจำนวนมากก็เลี้ยงอสูรเพลิง แต่ไม่เคยเห็นมีตัวไหนเหมือนมันที่กลายพันธุ์จนมีหน้าตาอย่างนี้เลย

ตอนนี้ สิ่งที่ฉินซียิ่งอยู่สึกประหลาดคือ ยี่สิบห้าปีนั้น เสี่ยวหั่วกินโอสถมาตลอดก็ไม่เลื่อนจากขั้นสองไปถึงขั้นสาม ตอนนี้ในเวลาเท่า ๆ กัน เสี่ยวหั่วถึงกับเลื่อนไปถึงขั้นห้าแล้ว!

ตัวฉินซีเองก็มีสัตว์วิญญาณ เพียงแต่เขาใช้สัตว์วิญญาณทำการต่อสู้น้อยมากเท่านั้น แต่เขารู้ว่าการเลี้ยงสัตว์วิญญาณนั้นยากมาก เขามีนกฉงหมิงที่เลี้ยงมาหนึ่งร้อยกว่าปีหนึ่งตัว จนทุกวันนี้ก็เพียงขั้นห้าเท่านั้น ถึงจะไม่ได้เลี้ยงอย่างเสี่ยวหั่ว แต่ก็ไม่ได้ขาดโอสถ แต่เสี่ยวหั่วกลับถูกนางเลี้ยงจนขึ้นขั้นห้าในระยะเวลาอันสั้นแค่นี้เอง

เขารู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าไม่ถูกต้อง พอระแวงขึ้นมาแล้วคิดดูอย่างละเอียดยิ่งระแวงมากขึ้น ซือฟูบอกว่าศาสตร์หลอมโอสถของเทียนเกอดีมาก อย่างครั้งนั้นที่เขาได้เห็นโอสถที่เจินจีป้อนเสี่ยวหั่ว หลอมได้สมบูรณ์แบบอย่างยิ่งยวด สิ่งที่ใช้เป็นวัตถุดิบถึงกับเป็นหญ้าวิญญาณเกินพันปี ถึงแม้ว่าหกสิบปีก่อนหน้านั้นนางจะได้รับพืชวิญญาณจำนวนมากจากผู้ฝึกตนแปลงเทพก็ไม่น่าจะฟุ่มเฟือยถึงขนาดนี้ไหม

ศาสตร์หลอมโอสถของนางต้องเป็นผลจากการหลอมโอสถจำนวนมาก แต่นางไปเอาหญ้าวิญญาณหลอมโอสถพวกนั้นมาจากที่ไหน ทั่วทั้งยอดเขาชิงฉวน ศาสตร์หลอมโอสถของเขาดีที่สุด เป็นซือฟุที่เห็นว่าเขามีพรสวรรค์ในการหลอมโอสถ ดังนั้นเป็นผลจากการจงใจฝึกปรือ ยามปกติเมื่อใดที่มีหญ้าวิญญาณล้วนจะส่งมาให้ทางเขาเสมอ นางเล่า นางเอาหญ้าวิญญาณเพื่อฝึกฝีมือมากขนาดนี้มาจากไหน แถมนางดูเหมือนว่าจะไปขอให้โถงผู้ดูแลรวบรวมหญ้าวิญญาณให้น้อยมากด้วย….

โม่เทียนเกอถูกสายตาของเขามองจนหวาดหวั่นในใจ อดถามมิได้ว่า “โส่วจิ้งซือเกอ พวกเราไม่ไปหรือ”

“อ้อ” ฉินซีได้สติกลับมา ลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นก็ไปเถอะ”

เห็นเขาเดินออกจากเรือนเล็ก โม่เทียนเกอเต็มไปด้วยความกังขา เอาเสี่ยวหั่วเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์วิญญาณแล้วก็ตามออกไป

…………………………..

ตอนที่ 270 – เร่งเดินทาง

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท