ตอนที่ 274 – แรกเข้า
บนท้องฟ้าไม่มีดวงอาทิตย์ พรตเต๋าคูมู่บอกว่า บนภูเขามารนี้พลังวิญญาณและพลังปีศาจครอบฟ้าคลุมอาทิตย์ ดังนั้นแสงอาทิตย์จะไม่สาดส่องลงมา แสงพวกนี้ที่จริงแล้วคือแสงของพลังวิญญาณที่ปะปนกับพลังปีศาจ
ดังนั้น ในภูเขามารนี้ไม่มีกลางวันกลางคืน เป็นเช่นนี้ตลอดกาล แบ่งแยกเวลาได้ไม่แจ่มชัด
ในอากาศ วายุทิพย์ยิ่งมายิ่งดุเดือด กำแพงอาคมที่หลงเหลือยิ่งแข็งแกร่ง บนพื้นยิ่งเป็นซากศพมากมาย ส่วนใหญ่เสื้อผ้าเปื่อยยุ่ยแล้ว มีที่ยังรักษาสภาพไว้ได้ ดูใกล้ ๆ แล้วเสื้อผ้าที่ยังรักษาสภาพไว้เป็นอย่างดีล้วนเป็นอุปกรณ์วิญญาณหรืออุปกรณ์เวท
ซากศพเหล่านี้ล้วนไม่มีเนื้อหนัง หลงเหลือเพียงกระดูกแห้งแข็ง สีของกระดูกยังขาวมากถึงขนาดที่ใสอยู่นิดหน่อย เห็นได้ว่าตายไปไม่นานเลย ไม่แน่ว่าเป็นผู้ฝึกตนที่ตายลงตรงนี้ตอนที่ภูเขามารเปิดครั้งที่แล้ว ทั้งตัวของพวกเขาไม่มีกระเป๋าเอกภพเลย ตามหลักเหตุผล ของอย่างกระเป๋าเอกภพพวกนี้แม้จะผ่านไปหลายพันปีก็จะไม่เสื่อมสลาย ดูท่าจะถูกคนอื่นเก็บไปนานแล้ว
พรตเต๋าคูมู่หยุดลง มองดูรอบบริเวณ ถามถงเทียนอวิ้นว่า “ที่ที่พวกเราผ่านครั้งที่แล้วเป็นที่นี่ใช่รึเปล่า”
โม่เทียนเกอหันศีรษะมอง สี่ด้านล้วนเป็นหินขรุขระ ระหว่างหินวัชพืชงอกขึ้นมาเล็กน้อย ดูไม่ออกจริง ๆ ว่ามีอะไรแตกต่างกับสถานที่ที่เพิ่งจะผ่านมา
ถงเทียนอวิ้นก็คงจะเป็นเช่นนี้ มองดูพักหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “แยกไม่ออกแล้ว”
ทุกคนจึงพากันหยิบแผนที่ออกมา เทียบกับแผนที่หาตำแหน่ง
พรตเต๋าคูมู่บอกว่า ในภูเขามารนี้ บางครั้งจะมีวายุทิพย์กรรโชก ดังนั้นทิ้งสัญลักษณ์อะไรไว้ล้วนเปล่าประโยชน์ ได้แต่ค่อย ๆ อาศัยความทรงจำหาตำแหน่ง
โม่เทียนเกอมอง ๆ ดู ฉินซีสีหน้าเคร่งขรึมมาก ขมวดคิ้วมองไปที่ไกล ๆ ในใจนางไม่มั่นใจอยู่บ้าง ถึงฉินซีไม่แน่ว่าจะตอบ นางยังคงถามเสียงต่ำว่า “โส่วจิ้งซือเกอ อะไรรึ”
ฉินซีไม่ตอบไปพักใหญ่ ผ่านไปนาน สายตาจึงได้รั้งกลับมาจากที่ไกล ๆ เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ครั้งนี้เกรงว่ากำแพงอาคมของภูเขามารจะไม่เสถียร”
โม่เทียนเกออึ้ง จ้องมองสถานที่ซึ่งเขาเพิ่งจะมอง
ฉินซีเอ่ยต่อว่า “เจ้าดูบนฟ้า หากพลังวิญญาณและพลังปีศาจเข้าสู่สมดุลจะไม่ปรากฏฟ้าผ่าตลอดเวลา”
มองไกลสุดสายตา ที่ขอบฟ้ามีแสงสีขาวอันสว่างยิ่งกลุ่มหนึ่ง บางครั้งบางคราวจะแลบแปลบปลาบ ดูแล้วคล้ายกับฟ้าผ่า
ขณะนี้พวกเขาไม่ได้ใช้เสียงลับ ดังนั้นคนอื่น ๆ ล้วนได้ยิน
พรตเต๋าคูมู่และถงเทียนอวิ้นก็เงยหน้าจ้องมอง สีหน้ายิ่งมายิ่งหนักอึ้ง
มองอยู่พักใหญ่ พรตเต๋าคูมู่ผ่อนลมหายใจออกมา “สหายเต๋าโส่วจิ้งพูดไม่ผิด พวกเราครั้งที่แล้วถือว่าอันตรายยิ่งนัก ครั้งนี้ก็ดูท่าจะไม่เรียบง่าย ถ้าเผื่อมีกำแพงอาคมใหญ่สักอันไม่เสถียรพังทลายลง พวกเราอาจจะฝังร่างอยู่ในนี้ทั้งหมด”
เขาพูดเสียสาหัสขนาดนี้ ใบหน้าของทุกคนล้วนยิ้มไม่ออกแล้ว แม้แต่จิ่งสิงจื่อยังเก็บท่าทีเหลาะแหละ กล่าวว่า “ยังจะอันตรายกว่าพวกเราครั้งที่แล้วได้อีกหรือ”
ถงเทียนอวิ้นหัวเราะ “ครั้งที่แล้วพวกเราล่าถอยทันเวลา แต่ครั้งนี้เล่า พวกเรายากมากที่จะได้พบกับการสลายตัวของกำแพงอาคมภูเขามารสักครั้ง คิดว่าท่านก็ไม่เต็มใจทิ้งโอกาสครั้งนี้หรอกจริงไหม”
จิ่งสิงจื่อไม่พูดจา เงยหน้ามองสายฟ้าที่สุดขอบฟ้าไกลตาด้วยสีหน้าอึมครึม สายตากวาดมองในหมู่พวกเขาอีกหนึ่งรอบ
สายตานี้ของเขาเห็นได้ชัดว่าประเมินความแข็งแกร่งของผู้คนก่อน ดังนั้นคนแรกที่เขาตัดทิ้งก็คือโม่เทียนเกอ จากนั้นกวาดผ่านเฟิ่งเหนียงจื่อและเหลยตงชิงเบา ๆ สุดท้ายหยุดที่ร่างฉินซี, คูมู่พรตเต๋า, ถงเทียนอวิ้นสามคน คนที่เขามองเป็นอันดับแรกคือฉินซี แต่กวาดเห็นโม่เทียนเกอที่ข้างกายเขาแล้วก็ถอนหายใจอย่างที่แทบจะไม่ได้ยินออกมาคำหนึ่ง จากนั้นมองดูพรตเต๋าสองท่านนั้น สุดท้ายกลับส่ายศีรษะคล้ายจะยอมแพ้
รั้งสายตากลับมาแล้ว จิ่งสิงจื่อก็หันเหสายตา เห็นโม่เทียนเกอกำลังจ้องเขาตาไม่กะพริบ ก่อนอื่นเป็นความประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว กะพริบดวงตาดอกท้อใส่นาง
โม่เทียนเกอไม่สนใจกริยาที่มีความหมายยั่วเย้าของเขา เก็บสายตาเก็บคืน
พวกเขากลุ่มเจ็ดคนน่าสนใจมาก ความเคลื่อนไหวเล็กน้อยเมื่อครู่นี่ของจิ่งสิงจื่อเป็นการหาคนร่วมมือด้วยอย่างเห็นได้ชัด แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วไม่ได้อันใด
โม่เทียนเกอความแข็งแกร่งไม่เพียงพอ เฟิ่งเหนียงจื่อและเหลยตงชิงอาจจะเข้ากันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่าไม่เหมาะสม ส่วนฉินซีแบกโม่เทียนเกอก็เลยถูกเขาตัดทิ้ง แต่การที่จิ่งสิ่งจื่อตัดพรตเต๋าคูมู่และถงเทียนอวิ้นทิ้งทำให้นางรู้สึกประหลาดใจมาก คำนวณดูแล้วพรตเต๋าคูมู่และถงเทียนอวิ้นทั้งสองคนมีทั้งความแข็งแกร่งและมีประสบการณ์ ไม่ว่าจะคำนวณอย่างไรก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ทำไมจิ่งสิงจื่อสุดท้ายแล้วทำท่าทางอย่างนี้เล่า
ถึงประสบการณ์ในการจัดการเรื่องราวจะยังไม่เทียบเท่าพรตเต๋าคูมู่และพวก แต่โม่เทียนเกอคอยคาดเดาจิตใจคนแต่เล็กแต่น้อย คนที่พบเจอก็มาก ถึงแม้การคาดเดานี้จะไม่ถูกต้องทั้งหมดก็น่าจะใกล้เคียงสักเจ็ดแปดส่วน และจิ่งสิงจื่อผู้นี้ถึงจะเจ้าเล่ห์ก็ยังไม่ถึงขนาดที่มองอะไรไม่ทะลุเลย
อย่าว่าแต่จิ่งสิงจื่อ เฟิ่งเหนียงจื่อและเหลยตงชิงเข้าภูเขามารก็ล้วนนิ่งเงียบกันไปแล้ว ถึงเวลาที่อยู่ด้วยกันภายนอกจะไม่มาก แต่โม่เทียนเกอก็รู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง หรือว่าประสบการณ์ครั้งที่แล้วจะเลวร้ายจนเกินไปกันนะ นี่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ฟังจากคำบอกเล่าของฉินซี ครั้งที่แล้วพวกเขาโชคดีถอนตัวเร็ว ไม่เช่นนั้นก็คงจะฝังร่างอยู่ที่ภูเขามารนี้ ในเมื่อเรื่องราวหนักหนาสาหัส พวกเขาสีหน้าเคร่งขรึมก็สมควรแล้ว
สุดท้ายคือพรตเต๋าคูมู่และถงเทียนอวิ้นสองคน สองคนนี้ประหลาดมาก จากการคาดคะเนของฉินซี พวกเขาแลกหญ้าวิญญาณหมื่นปีมาไม่แน่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนสิ่งของกับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สักท่าน และจังหวะเวลาก็เป็นพอดีก่อนภูเขามาร ฟังอย่างนี้แล้วเป็นไปได้มากว่าจะเป็นการตระเตรียมเพื่อการเดินทางคราวนี้ แน่นอนว่าจุดนี้เป็นแค่การคาดเดาของพวกเขา ความเป็นไปได้สรุปแล้วมีเท่าไหร่ โม่เทียนเกอก็ไม่กล้ายืนยัน สิ่งเดียวที่นางกล้ายืนยันก็คือห้าคนนั้นล้วนไม่ธรรมดา
ตอนที่ถึงเมืองคุนจงพบกับคนเหล่านี้ ฉินซีเคยพูดเช่นนี้ประโยคหนึ่ง คนเหล่านี้ความประพฤติเชื่อถือได้อยู่ นิสัยประหลาดอยู่บ้าง นิสัยพูดแยก ความประพฤติเชื่อถือได้อยู่
ก็คือจจะบอกว่า ถ้าไม่มีสิ่งเร้าเป็นผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ คนเหล่านี้ล้วนเป็นสหายที่สามารถเชื่อถือได้ แต่ถ้าหากมีผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ การหักหลักก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้มาก
คิดถึงตรงนี้แล้ว นางมองทุก ๆ คนอย่างระมัดระวังอีกครั้ง จับจ้องสีหน้าและความเคลื่อนไหวของพวกเขาอย่างใส่ใจ
ในช่วงเวลานี้ พวกเขาได้ปรึกษาความเคลื่อนไหวก้าวต่อไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าสุดท้ายพวกเขาจะไปสถานที่ใด ลงท้ายยังต้องไปตำแหน่งครึ่งเขาของภูเขามาร เหนือจากครึ่งเขาขึ้นไปจะเป็นที่หาสมบัติที่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานจิตวิญญาณใหม่จะไป
เรื่องเส้นทางพวกเขาปรึกษากันแต่แรกแล้ว ขณะนี้หลังจากตกลงกัน ทั้งเจ็ดคนก็ออกเดินทางอีกครั้ง
ภูเขามารสูงยิ่ง บนอากาศเต็มไปด้วยกำแพงอาคมและกับดักพลังวิญญาณ ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ การบินเป็นสิ่งที่ปฏิบัติไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนระดับการฝึกตนอะไรล้วนเดินหน้าอย่างรอบคอบไปทีละก้าว และภูเขามารก็ใหญ่โตมโหฬาร ทิวทัศน์ยิ่งไม่มีคุณค่าให้อ้างอิงสักนิด ไม่ช้าไม่นาน รอบ ๆ พวกเขามองเงาร่างของคนอื่นไม่เห็นแล้ว มีเพียงขอบเขตของจิตหยั่งรู้ที่สัมผัสการเคลื่อนตัวของพลังวิญญาณของผู้ฝึกตนคนอื่นได้อย่างราง ๆ
“เดี๋ยวก่อน” ถงเทียนอวิ้นพูดขึ้นอย่างกะทันหัน
ทั้งกลุ่มหยุดลงมองเขา
เขาหลับตาลงคล้ายกับแผ่ขยายจิตหยั่งรู้ โม่เทียนเกอเห็นแล้วก็เพ่งมอง แต่พอมองแล้วก็ขมวดคิ้ว
ฉินซีเห็นนางสีหน้ากลับกลายก็ถามเสียงต่ำว่า “ทำไมรึ”
โม่เทียนเกอไม่ได้ตอบทันที ทว่ามองไปทางถงเทียนอวิ้นที่ลืมตาขึ้นมาแล้ว
ถงเทียนอวิ้นเอ่ยว่า “ใกล้ ๆ นี้มีการเคลื่อนตัวของพลังวิญญาณที่รุนแรงเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าเพราะสมบัติปรากฏสู่โลกหรือว่าเพราะกำแพงอาคมแตกสลาย”
พลังวิญญาณเป็นรากฐานและระดับการฝึกตนและวิชาต่อสู้ของผู้ฝึกตน ไม่ว่าจะเป็นกำแพงอาคมหรือสมบัติล้วนไม่อาจแยกขาดจากพลังวิญญาณ กำแพงอาคมอันตรายอย่างยิ่งยวด สมบัติเป็นเป้าหมายใหญ่ที่สุดของพวกเขาเหล่านี้ที่เข้าภูเขามาร หนึ่งสวรรค์หนึ่งนรก ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกอย่างไร
พริบตาเดียว ทุกคนล้วนมีตัวเลือกแล้ว ไม่มีใครล่าถอย ในเมื่อเข้าภูเขามารแล้ว นี่ก็คือวาสนาที่ใหญ่ที่สุดที่พวกเขาเสาะหา จะไม่ยอมเสี่ยงได้อย่างไร
ถงเทียนอวิ้นก็ไม่ประหลาดใจ แยกแยะทิศทาง เอ่ยว่า “ทางนี้”
ครั้งนี้พวกเขาไม่เพียงแค่เดินแล้ว ทว่าบินเรียดพื้น พบกับเรื่องราวประเภทนี้ย่อมต้องไปให้เร็วยิ่งกว่าใคร หากเดินช้า ๆ แล้วถูกคนอื่นแย่งชิงโอกาสไปก่อนก็ไม่คุ้มค่าแล้ว
เข้าภูเขามารแล้วโม่เทียนเกอก็ไม่งำประกายอีก ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวกำไว้ในมือ บินขึ้นฟ้า ความเร็วของรองเท้าย่ำเมฆาไม่ช้ากว่าพวกเขาสักนิดเดียว ทำให้พรตเต๋าคูมู่เหลือบมองนางอย่างทึ่ง ๆ
“โส่วจิ้งซือเกอ”
หูของฉินซีได้ยินเสียงลับเบา ๆ จากโม่เทียนเกอ ก็เลยกระซิบกลับไปว่า “ทำไม เจ้าพบอะไร”
โม่เทียนเกอไม่มั่นใจอยู่บ้าง เอ่ยว่า “พลังวิญญาณของทางนั้นไม่เสถียรมาก คล้ายกับจะมีหลายชิ้นส่วน”
ฉินซีอึ้งไป เหลือบมองนางอีกแวบ พยักหน้าเบา ๆ “ข้ารู้แล้ว เจ้าตั้งใจสังเกตให้มากหน่อย”
ถึงแม้ในหมู่พวกเขา จิตหยั่งรู้ของถงเทียนอวิ้นจะทรงพลังที่สุด แต่ถึงอย่างไรฉินซีก็เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานเต็มขั้น ไม่ได้อ่อนกว่าถงเทียนอวิ้นสักเท่าไร พลังวิญญาณเมื่อครู่นี้เขาก็สัมผัสได้ แต่เขากลับไม่ได้มีความรู้สึกที่ชัดเจนขนาดโม่เทียนเกอ นี่ไม่ใช่ปัญหาว่าจิตหยั่งรู้ทรงพลังหรือไม่ทรงพลังแล้ว ทว่าเป็นปัญหาด้านการควบคุมอันละเอียดอ่อนของจิตหยั่งรู้
ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณทรงพลังจริง ๆ ก่อเกิดตานขั้นต้นกับก่อเกิดตานเต็มขั้นถึงจะอยู่ในระดับก่อเกิดตานเหมือนกัน ความแข็งเกร่งกลับแตกต่างกันอย่างยิ่งยวด แต่โม่เทียนเกอเพิ่งจะก่อเกิดตาน จิตหยั่งรู้ยังเอาชนะเขาในด้านความละเอียดอ่อนไปแล้ว
คนทั้งกลุ่มมุ่งหน้าด้วยความเร็วอย่างยิ่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้อง “โอ๊ย” เบา ๆ เฟิ่งเหนียงจื่อร้องออกมาคำหนึ่ง
ทั้งหกคนหยุดชะงัก มองนาง
เฟิ่งเหนียงจื่อเอามือปิดแขน บนแขนชุ่มโชกไปด้วยเลือดแล้ว นางเอ่ยหน้าซีดเผือดว่า “ชนถูกกำแพงอาคมล่องลอยเข้า”
คนอื่น ๆ เข้าใจแล้ว กำแพงอาคมมีใหญ่มีเล็ก อันใหญ่เป็นดั่งอัสนีบนท้องฟ้า อันเล็กก็คล้ายกับฝุ่นละออง มองเห็นได้ยากมาก แต่กำแพงอาคมขนาดธุลีที่ล่องลอยเช่นนี้มีน้อยนัก เฟิ่งเหนียงจื่อนับว่าโชคไม่ดีจริง ๆ โชคดีที่เป็นเพียงอาการบาดเจ็บเล็กน้อย
เหลยตงชิงล้วงขวดหยกจากในแขนเสื้อโยนให้นาง “อดทนสักหน่อยนะ เวลามีไม่มาก พวกเราต้องไปที่นั่นเร็ว ๆ”
เฟิ่งเหนียงจื่อพยักหน้า เปิดขวดหยกเอาผงยาโปะใส่แผลของตนเอง โยนขวดหยกคืนให้เหลยตงชิง ตัวเองคลำหาโอสถเม็ดกลืนลงไป ดึงแขนเสื้อให้เข้าที่ “ไปเถอะ”
ในเมื่อเป็นการผจญภัยก็ไม่มีแบ่งชายหญิง คนอื่น ๆ ก็ไม่มีใจรักถนอมหยก เดินทางต่อไปทันที
ระยะทางหลายร้อยลี้มาถึงอย่างรวดเร็ว เห็นสิ่งของที่วางนอนอยู่กับพื้น ในแววตาของทุกคนล้วนมีความตื่นตะลึงวาบผ่าน
ถึงกับเป็นเรือลำหนึ่ง ไม่ใช่เรือแคนูเล็ก ๆ อย่างที่ถงเทียนอวิ้นใช้บิน ทว่าเป็นเรือสำราญที่ทาสีสลักเสลาอย่างวิจิตรบรรจง เรือสำราญนี้ทรุดโทรมเป็นที่สุดแล้ว สูญเสียสีสันอันสดใส แต่ทั้งลำเรือสมบูรณ์เป็นที่สุด พลังวิญญาณอันพลุ่งพล่านนั้นก็มาจากภายในเรือ
ทั้งเจ็ดคนหยุดอยู่หน้าเรือ ไม่มีผู้ใดเดินขึ้นหน้า
ภูเขามารเป็นสถานที่อะไร พวกเขาล้วนทราบกระจ่าง ที่นี่เป็นสนามรบ จะมีเรือได้อย่างไร
มองอยู่พักหนึ่ง พรตเต๋าคูมู่ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “สหายเต๋าทุกท่าน พวกท่านดูออกหรือไม่ว่านี่คืออะไร”
…………………………..
นี่พี่ฉินเขาหาคนร่วมเดินทางดีได้แค่นี้สินะ หรือว่าโลกนี้มันมีแต่คนเลว?
ตอนที่ 275 – ล้างบางอสูร