หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 277

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 277 – แสดงละคร

ออกจากป่าใบไม้แดงไปได้ระยะทางหนึ่ง ทั้งเจ็ดคนหยุดลงพักผ่อนครู่หนึ่ง เนื่องจากเตรียมตัวมาล่วงหน้า มดใบไม้แดงถึงจะดุร้ายกลับไม่ได้สร้างความเสียหายเป็นจริงเป็นจังอะไรให้กับพวกเขา เป็นเฟิ่งเหนียงจื่อที่อาจจะเป็นได้ว่าวิชาที่ใช้กับกำยานเป็นวิชาพิเศษอะไร ดูแล้วสีหน้าซีดขาวคล้ายกับว่าสูญเสียพลังวิญญาณไปเกินขนาด

พรตเต๋าคูมู่ถามว่า “เฟิ่งเหนียงจื่อ อาการบาดเจ็บของเจ้าไม่ร้ายแรงใช่ไหม”

เฟิ่งเหนียงจื่อกลืนโอสถหนึ่งเม็ด ส่ายหน้า “แค่พลังวิญญาณหมด ปรับลมหายใจหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว”

“เช่นนั้นก็ดี” พรตเต๋าคูมู่มองคนอื่น “ทุกคนปรับลมหายใจหมู่กันเถอะ ภายหลังยังมีอันตรายมากมาย ต้องรักษาสภาวะของพลังวิญญาณให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์”

หลังจากผ่านไปครึ่งวัน ในที่สุดทุกคนล้วนปรับลมหายใจเสร็จสิ้น เดินทางต่อไป

ผ่านเนินหินช่วงนี้ไป เข้าสู่ป่าไม้มืดครึ้ม

ในภูเขามาร พลังวิญญาณปั่นป่วน นอกจากส่วนที่เพิ่งจะเข้ามาที่ไม่แตกต่างจากเขาอวี้เหิง ลำดับถัดไปทั้งหมดเป็นหิน แทบจะไม่มีดอกไม้ใบหญ้าอะไรงอกเงย เริ่มจากเส้นทางช่วงนี้จึงปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ต้นไม้ต้นหญ้าเหล่านี้สีสันประหลาดอยู่บ้าง โดยมากเป็นสีเขียวเข้มขุ่น ดูแล้วทำให้คนใจไม่ดี

ฉินซีเดินไปยังข้างกายโม่เทียนเกอ กล่าวว่า “ที่นี่พลังวิญญาณกับปราณปีศาจผสมปนเป ดังนั้นต้นไม้ใบหญ้าเหล่านี้ล้วนมิใช่หญ้าวิญญาณสามัญ”

โม่เทียนเกอฟังเขาพูด สังเกตอย่างละเอียด เป็นไปตามคาด ต้นไม้ใบหญ้าเหล่านี้ล้วนมีปราณที่มืดหม่นอันคลุมเครือยิ่ง เห็นชัดว่าคือปราณปีศาจ มิน่าเล่าสีสันของต้นไม้เหล่านี้จึงเป็นเช่นนี้

เดินอยู่ในป่าช่วงหนึ่ง พรตเต๋าคูมู่หยุดลงก่อน เอ่ยว่า “ที่แห่งนี้มีหญ้าคูหรงเติบโต ก็นับได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า ทุกคนหากต้องการเก็บรวบรวมตอนนี้ก็ไปเถิด ที่นี่ปราณปีศาจเข้มข้น มากที่สุดสามารถอยู่ได้เพียงหนึ่งชั่วยาม พวกกับเวลาในการเร่งเดินทาง มีเวลาเพียงครึ่งชั่วยามให้ใช้เสาะหา หลังจากครึ่งชั่วยามมารวมตัวกันที่นี่”

โม่เทียนเกอหันไปมองฉินซี ฉินซีเอ่ยว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ากับซือเม่ยไปก่อนล่ะ”

พรตเต๋าคูมู่พยักหน้า “สหายเต๋าทั้งสองอย่าได้ลืมเลือนเวลารวมตัว”

ฉินซียกมือขึ้น มองโม่เทียนเกอแวบหนึ่ง นำหน้าออกจากกลุ่มไปก่อน

โม่เทียนเกอก็คำนับทุกคน หมุนตัวตามไป

ทั้งสองคนเดินเงียบ ๆ ไประยะทางหนึ่ง ฉินซีหยุดลงกะทันหัน “ระวังคูมู่กับถงเทียนอวิ้นสองคนนี้ไว้”

โม่เทียนเกอตะลึงไป “ซือเกอพบเห็นอะไรหรือ”

ฉินซีส่ายหน้า “จนถึงตอนนี้ไม่มีตรงไหนน่าสงสัยเลย เพียงแค่ว่าข้าคิดอย่างถี่ถ้วนอยู่นาน ตาเฒ่าถงก่อนออกเดินทางแลกหญ้าวิญญาณหมื่นปีจะต้องเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเดินทางนี้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถึงจะได้รับสมบัติอะไรในภูเขามาร ยังจะมีของประเภทไหนที่คุณค่าสูงกว่าหญ้าวิญญาณหมื่นปีอีกหรือ”

โม่เทียนเกอคิด ๆ ดูแล้วอดผงกศีรษะไม่ได้ มิผิด ถึงจะได้รับหญ้าวิญญาณหมื่นปีในภูเขามารก็เป็นเรื่องราวที่สร้างความฮือฮาอย่างยิ่งยวด มีหญ้าวิญญาณหมื่นปีอยู่ พวกเขาสามารถแลกเปลี่ยนวัตถุวิญญาณขั้นสุดยอดจำนวนหนึ่งจากผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ได้เลย ไหนเลยยังจะต้องเข้าภูเขามารอีกเล่า แผนนั้นจะต้องล้ำค่ากว่าหญ้าวิญญาณหมื่นปีเป็นแน่!

“ความหมายของซือเกอคือ…..พวกเขาอาจจะมีเจตนาร้ายต่อพวกเราหรือ”

“นี่ไม่จำเป็น” ฉินซีเอ่ย “หากแผนของพวกเขายิ่งใหญ่มาก เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องประหยัดเล็กน้อยสูญเสียใหญ่โตแล้วมาลงมือกับพวกเรา เพียงแต่ว่าสาเหตุที่พวกเรามารวมกลุ่มกันก็คือเพื่อร่วมรุกร่วมถอย หากพวกเขาทิ้งพวกเราไม่เหลียวแลตอนที่พวกเราตกอยู่ในความคับขัน พวกเราก็ยังจะอันตรายมาก”

โม่เทียนเกอเงียบไปสักพัก ถามว่า “เช่นนี้แล้ว พวกเราแยกทางกับพวกเขาล่วงหน้าก็มิใช่ดีแล้วหรือ”

“ได้แต่เป็นเช่นนี้ เสียดายติดต่อซือฟุไม่ได้” ฉินซีคิด ๆ ดูแล้วหยิบสิ่งหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อยื่นให้นาง “เอาอันนี้ไปกิน”

“นี่คือ…..” สิ่งที่ยืนให้นางคือขวดหยกบรรจุโอสถ ภายในมีโอสถสีแดงสดใสหนึ่งเม็ด กลิ่นประหลาด นางไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

“นี่คือยาแปดเซียน กินมันแล้ว ชีพจรปราณของเจ้าจะดูเหมือนปั่นป่วนยิ่งในเวลาสั้น ๆ ถึงเวลาก็แกล้งทำเป็นบาดเจ็บสาหัสท่าทางเดินไม่ไหว….. เรื่องที่เหลือยกให้ข้า”

โม่เทียนเกอเข้าใจว่าเขาคิดจะทำอะไรแล้ว สำหรับกลุ่มนี้นางเป็นคนที่มีได้ไม่มีก็ได้อย่างแท้จริง ถ้าหากนางได้รับบาดเจ็บสาหัส คนอื่น ๆ จะต้องไม่ยินยอมให้นางถ่วงพวกเขา

โม่เทียนเกอกลืนยาแปดเซียนลงไปเงียบ ๆ โดยไม่คิดมากอีก

และในเวลาเดียวกัน ตรงกลางป่าก็มีคนสองคนพูดคุยกันเสียงเบา ๆ

“พวกเรายังมีเวลานานเท่าไหร่” ผู้ที่ถามคือถงเทียนอวิ้น

พรตเต๋าคูมู่คำนวณดู เอ่ยว่า “ถ้าเร็วที่สุดยังมีเจ็ดวัน”

“เจ็ดวัน…..เวลากระชั้นชิดเกินไปแล้วนะ!” ถงเทียนอวิ้นถอนหายใจ “พวกเราแลกโอกาสนี้มาได้ไม่ง่ายดายเลย หากตามไปไม่ทันก็สูญเสียครั้งใหญ่แล้ว”

สีหน้าพรตเต๋าคูมู่กลับสงบนิ่ง “วางใจเถอะ ครั้งนี้พวกเราเตรียมการแต่แรก คนอื่นล้วนไม่ใช่มืออ่อนหัด จะต้องสามารถรีบไปถึงซากโบราณสถานเหล่าเซียนภายในเจ็ดวัน”

“พูดถึงเรื่องนี้…..” บนใบหน้าแห้งเหี่ยวของถงเทียนอวิ้นปรากฏความโหดเหี้ยมวูบผ่าน “เฟิ่งเหนียงจื่อรับบาดเจ็บสาหัส จะถ่วงพวกเราหรือไม่”

พรตเต๋าคูมู่ร้องหึคำหนึ่งน้ำเสียงเย็นชา “จุดนี้เจ้าวางใจ ข้าคิดมาดีแต่แรกแล้ว ผ่านป่าหย่อมนี้ไป พวกเราจะเจอกับอาณาเขตอาคมสับสน ถึงเวลาเพียงต้องลงมือลงเท้านิดหน่อย เฟิ่งเหนียงจื่อจะต้องผ่านไปไม่ได้!”

“เช่นนี้ดีที่สุด” ถงเทียนอวิ้นคิด ๆ ดู ถามอีกว่า “โม่ชิงเวยนั้นเล่า ถึงจิตหยั่งรู้จะโดดเด่นจริง ๆ วิธีการก็ไม่แย่ แต่ถึงที่สุดแล้วก็ยังมีระดับการฝึกตนต่ำไปหน่อย….”

“นางน่ะลืมไปเถอะ” พรตเต๋าคูมู่กล่าวช้า ๆ “ท่านดูท่าทางของฉินโส่วจิ้ง เห็นชัดว่าให้ความสำคัญกับซือเม่ยผู้นี้ยิ่ง หากพวกเราลงมือลงเท้าอะไร เกรงว่าจะปิดบังเขามิได้ เขากับพวกเรามีเรื่องกันก็ไม่ดี อีกอย่าง เฟิ่งเหนียงจื่อเจ็บหนัก โม่ชิงเวยกลับรักษาพละกำลังมาได้โดยตลอด จะมากจะน้อยก็เป็นแรงช่วยเหลือ ตอนที่วิกฤตไม่สนใจนางก็พอแล้ว” ว่าแล้วก็เหล่มองถงเทียนอวิ้น “เดิมทีเป็นท่านที่โน้มน้าวข้าว่าอาจารย์เต๋าชิงเวยผู้นี้ความแข็งแกร่งพอประมาณ น่าจะไม่ถ่วงพวกเรา”

ถงเทียนอวิ้นยิ้ม ใบหน้าแห้งเหี่ยวบิดเบี้ยวจนน่ากลัว พยักหน้าเห็นด้วยว่า “โม่ชิงเวยผู้นี้ถึงระดับการฝึกตนจะไม่สูง โชคกลับดียิ่งนัก ตลอดทางนี้ถึงกับไม่ได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งดูนางลงมือ วิชาต่อสู้ก็ไม่แย่” สั่นศีรษะอีกครั้ง “เฮ้อ ฉินโส่วจิ้งนี้ก็จริง ๆ เลย ภูเขามารเป็นสถานที่อันใด ถึงกับพาซือเม่ยที่เพิ่งจะก่อเกิดตานของตัวเองเข้ามา พวกเราไม่เพียงต้องหวั่นเกรงฉินโส่วจิ้ง ยิ่งต้องนึกถึงประมุขเต๋าจิ้งเหอซือฟุคนนั้นของพวกเขา มัดมือมัดเท้า ยุ่งยากแท้ ๆ!”

พรตเต๋าคูมู่ร้องหึคำหนึ่ง เอ่ยว่า “ท่านทำไมไม่คิดบ้างว่า โม่ชิงเวยไม่มา พวกเราจะไปได้หญ้าวิญญาณหมื่นปีมาจากที่ไหน ถึงหยกผลึกวิญญาณเป็นของดี ในสายตาผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เหล่านั้นไม่นับเป็นอะไร ไม่มีหญ้าวิญญาณหมื่นปี พวกเราก็ไม่มีเบี้ยจะต่อรองแล้ว!”

“นี่…..ก็ใช่” ถงเทียนอวิ้นถูกพรตเต๋าคูมู่โน้มน้าว แต่คิด ๆ ดูแล้วก็เกิดความกังขานิดหน่อยขึ้นมาอีก ถามว่า “ท่านรู้สึกหรือไม่ว่าโม่ชิงเวยคนนี้หน้าตาคุ้น ๆ อยู่บ้าง”

“หืม?” พรตเต๋าคูมู่ไม่ถือเป็นจริงเป็นจัง กล่าวโดยไม่ต้องคิดว่า “หรือว่าจะหน้าตาคล้ายคู่ขาเก่าของท่าน”

ถงเทียนอวิ้นร้องหึ “หน้าตาเหมือนคนไม่ใช่คนเหมือนผีไม่ใช่ผีของข้านี้ จะเอาคู่ขาเก่าอะไรมาจากไหน ท่านไม่รู้สึกจริง ๆ หรือว่านางหน้าตาคุ้น ๆ โดยเฉพาะท่าทางของวิชาต่อสู้”

เขาพูดขนาดนี้แล้ว พรตเต๋าคูมู่ก็คิดดู “คล้ายกับว่าจะมีนิดหน่อย แต่นางมิใช่ศิษย์ชั้นนำของโรงเรียนเสวียนชิงหรือ อายุอ่อนเยาว์ขนาดนี้ แล้วยังเพิ่งจะก่อเกิดตาน คิดว่าต้องอยู่เขาไท่คังฝึกตนมาตลอดจึงจะถูก พวกเราจะสามารถไปเห็นนางได้อย่างไร”

“ไม่แน่ว่าจะเห็นตัวนาง…..” ถงเทียนอวิ้นพูดพลางคิดพลาง “ข้ารู้สึกว่า…..คล้ายจะเคยเห็นสักคนที่หน้าตาคล้ายกับนางสักหน่อย”

“หน้าตาคล้ายหรือ” พรตเต๋าคูมู่คิดอยู่ครึ่งค่อนวัน ส่ายหน้า “ไม่มีความทรงจำอะไรเลย นางแซ่โม่ พวกเราเหมือนว่าไม่รู้จักผู้ฝึกตนแซ่โม่อะไรเลยนะ”

ถงเทียนอวิ้นคิดอยู่สักพักก็คิดอะไรไม่ออก กำลังอยากจะพูดอะไรหน่อย จิตหยั่งรู้จู่ ๆ ก็สัมผัสได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้ เอ่ยทันทีว่า “มีคนกลับมาแล้ว!”

ผ่านไปไม่นานมาก ในป่าไม้มีคนหนึ่งคนมุดออกมา ทั้งสองคนมองแล้วล้วนตะลึงงัน

ฉินซีสีหน้าซีดขาว แม้แต่แรงจะทักทายทั้งสองคนยังไม่มี วางโม่เทียนเกอลง ป้อนโอสถหนึ่งเม็ดให้นางก่อน จับชีพจรปราณของนาง คิ้วยิ่งมายิ่งขมวดแน่น

“สหายเต๋าโส่วจิ้ง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” พรตเต๋าคูมู่ถามขึ้นมาก่อน

ฉินซีหน้ายังไม่เงย “พวกเราพบกับอสูรร้าย”

ถึงจะเป็นเพียงประโยคเดียว อีกสองคนที่เหลือสบตากัน ล้วนเห็นความประหลาดใจในแววตากันและกัน

โม่เทียนเกอได้รับบาดเจ็บ นี่ชัดเจนมาก หน้าอกของนางทั้งหมดเป็นรอยเลือด สีหน้าขาวเผือด ลมหายใจอ่อนระโหย ดูท่าจะบาดเจ็บไม่เบา

ถงเทียนอวิ้นก็ยื่นมือออกไปจับชีพจรนาง สำรวจชีพจรปราณ พอเห็นแล้วเขาก็ขมวดคิ้ว ในชีพจรปราณปั่นป่วนเกินไปแล้วจริง ๆ! เขาขยิบตาให้พรตเต๋าคูมู่ ทั้งสองคนล้วนตกอยู่ในห้วงคิด

เฟิ่งเหนียงจื่อบาดเจ็บหนัก จะดีจะชั่วก็ยังเคลื่อนไหวได้โดยอิสระ ส่วนนางเห็นได้ชัดว่าชีวิตหายไปครึ่งหนึ่งแล้ว เทียบกับเฟิ่งเหนียงจื่อแล้วสาหัสกว่ามาก!

ฉินซีเหมือนกับไม่เห็นอะไรทั้งนั้น สีหน้ากระวนกระวายอยู่บ้าง พยุงตัวโม่เทียนเกอถามเสียงอ่อนว่า “ซือเม่ย เจ้าเป็นอย่างไร”

โม่เทียนเกอลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบากแล้วหลับตาลงไปอีกครั้งทันที เพียงส่ายหน้าเบา ๆ

“เจ้าอย่าได้เป็นห่วง” ฉินซีพูด น้ำเสียงอ่อนลงยิ่งกว่าแต่ก่อน “ปรับลมหายใจสักพักก่อน รอจนออกจากป่าแล้ว พวกเราหาสถานที่ดี ๆ มารักษาเจ้า”

ได้ยินคำพูดนี้ของเขาแล้ว พรตเต๋าคูมู่และถงเทียนอวิ้นสบตากัน สีหน้าล้วนปั้นยากอยู่บ้าง ฉินโส่วจิ้งนี่ถึงกับยังคิดจะถ่วงเวลาหรือ

“อะแฮ่ม!” พรตเต๋าคูมู่กระแอม เอ่ยว่า “สหายเต๋าโส่วจิ้ง ซือเม่ยท่านได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ได้อย่างไร”

ฉินซีไม่ได้เงยหน้า “พูดเรื่องพวกนี้ตอนนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร สหายเต๋าทั้งสอง พวกเรายังคงรีบออกจากป่าเถอะ พวกท่านก็ไม่ต้องกังวลใจ ซือเม่ยของจ้ายเซี่ย จะดูแลเอง!”

“……” ทั้งสองคนไม่ได้พูดอีก แลกเปลี่ยนสายตากันและกัน ล้วนไม่ยินดีอยู่บ้าง พวกเขาล้วนฟังออกถึงความหมายในคำพูดของฉินซี เขาพูดเช่นนี้คือจะบอกพวกเขาว่าตนเองจะไม่มีทางละทิ้งซือเม่ยผู้นี้เป็นอันขาด

ผ่านไปพักหนึ่ง เหลยตงชิง, เฟิ่งเหนียงจื่อและจิ่งสิงจื่อทยอยกันกลับมา พอเห็นท่าทางของโม่เทียนเกอกล้วนตกใจจนสะดุ้ง

“เกิดอะไรขึ้น”

ฉินซีสีหน้าเย็นชา เงยหน้าขึ้นมอง “กลับมากันหมดแล้ว เช่นนั้นก็ไปเถอะ”

“สหายเต๋าโส่วจิ้ง!” พรตเต๋าคูมู่ส่งเสียงออกมาในที่สุด “ซือเม่ยท่านได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ท่านยังจะพานางไปลำบากต่ออีกหรือ”

ฉินซีกวาดตามองเขา น้ำเสียงอึมครึมลงไปหนึ่งส่วน “สหายเต๋าคูมู่ คำพูดนี้หมายความเช่นไร จะให้ข้าทิ้งซือเม่ยไว้ที่นี่หรือ”

“ย่อมมิใช่” พรตเต๋าคูมู่รีบปฏิเสธ “เพียงแต่…. เห็นอาการบาดเจ็บของซือเม่ยท่านแล้ว จะไม่หายดีไปอีกสักพักหนึ่งอย่างแน่นอน สหายเต๋าหากดึงดันจะไปต่อ เกรงว่าอาการบาดเจ็บจะยิ่งมายิ่งสาหัสมิใช่หรือ”

ฉินซีผ่อนคลายสีหน้าลง กล่าวว่า “เช่นนั้น…. สหายเต๋ามีความเห็นอะไร”

พรตเต๋าคูมู่เห็นว่าเขาไม่คิดจะโกรธ จึงกล่าวต่อไปว่า “จ้ายเซี่ยมีความคิดอย่างหนึ่ง ไม่รู้ว่าสหายเต๋าโส่วจิ้งจะเห็นเป็นเช่นไร พวกเราเข้าภูเขามารก็ยังไม่ถึงสองวัน เวลาส่วนใหญ่เสียไปกับเรื่องราวอื่น ขณะนี้สหายเต๋าส่งซือเม่ยออกจากภูเขามารอย่างมากที่สุดก็หนึ่งวันเท่านั้น หากเป็นเช่นนี้ มิสู้ส่งนางกลับไปแล้วค่อยมาใหม่เล่า”

ทันทีที่เขาพูดออกมา ฉินซีก็ยิ้มเย็นเอ่ยว่า “ความคิดนี้ของสหายเต๋าไม่เลวเลย พูดกันถึงที่สุดแล้วคือยังรู้สึกว่าซือเม่ยข้าเป็นภาระต่อพวกท่านสินะ”

“สหายเต๋าคูมู่มิได้พูดเช่นนี้” ถงเทียนอวิ้นรับช่วง เสียงแหบเครือเสียดแทงอยู่บ้าง “สหายเต๋าลองคิดดูเอาเอง อาการบาดเจ็บที่อาจารย์เต๋าชิงเวยได้รับสาหัสขนาดนี้ หากไปต่อแล้วจะทำอะไรได้”

“เรื่องนี้พวกท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะปกป้องนางเอง!”

“สหายเต๋าโส่วจิ้ง!” เมื่อเห็นว่าเขาดื้อด้านเช่นนี้ พรตเต๋าคูมู่ก็เกิดความหงุดหงิด “พวกเราเข้าภูเขามารเพื่อหาสมบัตินะ! ท่านแบกซือเม่ยไปอย่างนี้แล้วพวกเราจะทำอย่างไร”

ฉินซีไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงจ้องมองทุกคนตรงหน้าอย่างเฉยชา พรตเต๋าคูมู่และถงเทียนอวิ้นดึงดันมาก เฟิ่งเหนียงจื่อและเหลยตงชิงหันเหสายตาออกไป จิ่งสือจิ่งถอนหายใจอย่างคล้ายจะสงสารแล้วก็ไม่มองเขาอีก

ทัศนคติของคนเหล่านี้ชัดเจนมาก ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากความ

“ข้ารู้แล้ว” ฉินซีเอ่ยปากขึ้นมาในที่สุด ตอนที่พรตเต๋าคูมู่และถงเทียนอวิ้นผ่อนลมหายใจนึกว่าเขายอมรับข้อเสนอกลับได้ยินเขาพูดว่า “พวกท่านยังคงห่วงว่าจะถูกถ่วงรั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้มิสู้แยกทางใครทางมัน ความเป็นความตายของพวกเราต่อแต่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่นแล้ว”

“ท่าน…..” ทุกคนล้วนตะลึงงัน พรตเต๋าคูมู่โพล่งขึ้นมาว่า “สหายเต๋าโส่วจิ้ง ท่านอย่าได้หุนหัน ท่านตัวคนเดียวแบกซือเม่ยมิใช่หาที่ตายหรือ”

“แปดสิบกว่าปีก่อนข้ายังเอาชีวิตรอด อย่าว่าแต่ปัจจุบันนี้เลย” ฉินซีน้ำเสียงราบเรียบ แต่เจือความภาคภูมิใจเอาไว้ “ท่านทั้งหลาย จากกันตรงนี้นะ”

เอ่ยแล้วก็ไม่สนใจพวกเขา อุ้มโม่เทียนเกอขึ้นมาเดินออกนอกป่าเพียงลำพัง

………………………….

ตอนที่ 278 – แยกทางใครทางมัน

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท