ตอนที่ 279 – สหายเก่า
ฉินซีหันหน้ามามอง เลิกคิ้วขึ้นช้า ๆ “พวกเขาคือ….”
“คนของสำนักอวิ๋นอู้” โม่เทียนเกอต่อคำพูด มองดูชุดเขียวบนร่างพวกเขาเหล่านี้ ถอนหายใจเบา ๆ
นี่เป็นชุดที่พวกเขาล้วนคุ้นเคย โชคดีที่เครื่องหมายสำนักข้างบนยังคงเป็นลายเมฆหลายก้อน ดูท่าเรื่องที่หลิ่วอีเตาพูดครั้งก่อนจะสำเร็จแล้ว สำนักอวิ๋นอู้ช่วงชิงอารามกลับคืน จากนี้ไม่ต้องรับการรังแกของสำนักจื่อซย่า
ทว่าสิ่งที่ทำให้โม่เทียนเกอหยุดลงไม่ใช่เพียงเพราะเห็นศิษย์ของสำนักอวิ๋นอู้ ทว่าเป็นสตรีสองคนในหมู่พวกเขาดูแล้วคุ้นเคยถึงสิบส่วน
“เป็นพวกนาง!” ฉินซีก็จดจำได้แล้ว
“อืม” มองอยู่พักหนึ่ง โม่เทียนเกอหันหน้ามา “โส่วจิ้งซือเกอ ข้า….”
“เจ้าอยากไปก็ไปเถิด ก็แค่ผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังไม่กี่คนเท่านั้น” ฉินซีน้ำเสียงเฉยเมย
โม่เทียนเกอลังเลแล้วพยักหน้า “ขอบคุณมาก”
หกคนของสำนักอวิ๋นอู้เสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอีกฝ่ายล้วนเป็นผู้ฝึกตนบุรุษ ต่อสู้พลางหยอกล้อสตรีสองคนในหมู่พวกเขาอย่างลามก
สตรีสองนางนี้ได้ยินอีกฝ่ายหยอกล้อ คนหนึ่งสีหน้าทั้งโกรธทั้งอาย คนหนึ่งกลับเย็นชาจนถึงขีดสุด
โม่เทียนเกออดหวนรำลึกไม่ได้ว่าเมื่อเกือบเจ็ดสิบปีก่อน ตอนที่พวกเขาอยู่ในหุบเขาสายหมอกก็ทนรับการแทะโลมของศิษย์สำนักจื่อซย่า ทั้งสองคนล้วนโกรธแค้น วันนี้คนหนึ่งบนใบหน้ามีความว่างเปล่าและละอาย คนหนึ่งกลับไม่สนใจทุกสิ่งอย่างแล้ว
นางถอนหายใจเบา ๆ ปล่อยแรงกดดันออกมา
แรงกดดันของผู้ฝึกตนก่อเกิดตานครอบคลุมลงมา คนสิบเอ็ดคนในที่แห่งนั้นไม่มีสักคนที่ไม่ตกใจใหญ่ พากันหยุดการต่อสู้ หันหน้ามาก็เห็นโม่เทียนเกออีกยืนอยู่ไม่ไกล รวมทั้งฉินซีที่อยู่ข้างหลังนาง
ศิษย์ห้าคนนั้นที่ไม่ใช่สำนักอวิ๋นอู้แวบแรกที่สังเกตเห็นเสื้อผ้าบนตัวพวกเขาก็ตกใจขึ้นมา รีบค้อมกายคารวะ “ที่แท้เป็นผู้อาวุโสก่อเกิดตานของโรงเรียนเสวียนชิง ผู้เยาว์ขอคารวะ”
ได้ยินคำพูดนี้แล้ว พวกสำนักอวิ๋นอู้ก็ตกใจขึ้นมาบ้าง ค้อมกายลงคารวะด้วยเหมือนกัน “พวกผู้เยาว์กราบพบผู้อาวุโสทั้งสอง”
โม่เทียนเกอพยักหน้า ทอดมองไปทางผู้ฝึกตนห้าคนนั้นก่อน “พวกเจ้าเป็นศิษย์ของสำนักอะไร”
บนใบหน้าห้าคนนั้นปรากฏสีหน้าละอาย คนที่เป็นผู้นำตอบอย่างนอบน้อมว่า “ตอบผู้อาวุโส พวกข้าเดิมเป็นศิษย์สำนักจิ้งซิน”
สำนักจิ้งซินหรือ ไม่เคยได้ยินชื่อสำนักนี้
คนที่เป็นผู้นำคนนั้นเฉลียวฉลาดเป็นที่สุด พอเห็นนางสีหน้าสับสนก็เอ่ยขึ้นทันทีว่า “สำนักจิ้งซินเป็นเพียงสำนักเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ปัจจุบันนี้….หลายสิบปีก่อนสิ้นสำนักไปแล้ว….หลังจากพวกข้าสิ้นสำนักก็กลายเป็นผู้ฝึกตนอิสระ……”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” เรื่องสิ้นสำนักประเภทนี้ไม่ได้แปลกประหลาด สำนักขนาดเล็กขนาดกลางในเทียนจี๋มีมากมาย อัจฉริยะเสื่อมสูญหรือว่ายั่วยุศัตรูแข็งแกร่งขึ้นมาก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะสิ้นสำนักในชั่วข้ามคืน ผู้คนที่หลบหนีออกมาซึ่งไม่มีที่ไปอยู่ระยะหนึ่งก็จะกลายเป็นผู้ฝึกตนอิสระ
เมื่อเป็นท่าทางใจดีของนาง คนผู้นี้ก็เกิดความกล้าขึ้น เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสเห็นหญ้าม่วงแดงต้นนี้ในสายตาหรือขอรับ หากผู้อาวุโสเห็นในสายตา ผู้เยาว์ย่อมประคองสองมือมอบให้”
ได้ยินคำพูดประโยคนี้แล้ว โม่เทียนเกออดบิดมุมปากมิได้ คนผู้นี้ช่างเจรจายิ่งนัก ถึงพวกเขาห้าคนเทียบกับสำนักอวิ๋นอู้หกคนจะมีความแข็งแกร่งมากกว่า แต่สำนักอวิ๋นอู้ก็มิใช่ไม่มีโอกาสเอาชนะเลย หากนางเห็นหญ้าม่วงแดงนี้ในสายตา พวกเขาเหล่านนี้ย่อมไม่มีความหวังแล้ว ความหมายในคำพูดของคนผู้นี้กลับเป็นว่าจะยึดคุณงามความดีของการมอบหญ้าเอาไว้ ละเลยพวกสำนักอวิ๋นอู้ – จะอย่างไรพวกเขาก็ไม่กล้ามีคำคัดค้านอะไรเหมือนกัน
สำนักอวิ๋นอู้หกคนก็ย่อมจะฟังความหมายของเขาออก แต่ละคนถลึงตาใส่ฝ่ายตรงข้าม
คนผู้นี้เลิกคิ้วขึ้นทันที กล่าวว่า “อย่าบอกนะว่าพวกเจ้ายังคิดที่จะแย่งชิงหญ้าวิญญาณกับผู้อาวุโสก่อเกิดตานอีกหรือ”
พอได้ยินคำนี้ สำนักอวิ๋นอู้ทุกคนยิ่งทั้งโกรธทั้งกระวนกระวาย ทางหนึ่งรู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างน่าเกลียดจริง ๆ คำพูดไม่กี่ประโยคก็จะยัดข้อหาว่าพวกเขาคิดจะแย่งชิงหญ้าวิญญาณกับผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน อีกทางยิ่งกลัวว่าโม่เทียนเกอจะเข้าใจผิดจริง ๆ
ในหกคน มีเพียงผู้ฝึกตนสตรีสร้างฐานพลังขั้นกลางที่สีหน้าสงบ ขณะนี้ค้อมกายยกมือด้วยความเคารพว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสทั้งสองต้องการหญ้าวิญญาณนี้ พวกผู้เยาว์ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะแย่งชิง ผู้อาวุโสอย่าได้ฟังคนผู้นี้ยุแยง”
โม่เทียนเกอมองดูผู้ฝึกตนสตรีนี้ สีหน้าสงบ ท่วงท่าผ่าเผย มีความกล้าที่จะยืนหยัดแต่เพียงผู้เดียว
นางอดถอนหายใจอีกรอบไม่ได้ “หวังซือเจี่ย ไม่พบกันนาน”
คำพูดนี้พอออกจากปาก ผู้ฝึกตนสตรีนี้กลับมึนงงไป คนอื่น ๆ ในที่แห่งนี้รวมทั้งผู้ฝึกตนสำนักอวิ๋นอู้อีกห้าคนก็ตะลึงงัน
หวังซือเจี่ย พวกเขาล้วนได้ยินผู้ฝึกตนสำนักอวิ๋นอู้เรียกผู้ฝึกตนสตรีนี้ คำที่เรียกเป็นหวังซือเจี่ยจริง ๆ
ผู้อาวุโสก่อเกิดตานท่านนี้สรุปว่าเป็นผู้ใดกัน ถึงกับเรียกขานผู้ฝึกตนสตรีนี้เช่นนี้เลยหรือ?!
ผู้ฝึกตนสตรีของสำนักอวิ๋นอู้สองคนจ้องมองโม่เทียนเกอตาไม่กะพริบ ทันใดนั้นผู้หนึ่งก็ร้องเรียกอย่างตะลึงลานว่า “ท่าน…..ท่านคือเยี่ยซือตี้?!”
โม่เทียนเกอเผยรอยยิ้ม ผงกศีรษะให้คนผู้นี้ “เฉินซือเจี่ย”
สองคนนี้พอดีเป็นหวังเชี่ยนอีและเฉินปิงของปีนั้น เฉินปิงระดับการฝึกตนสร้างฐานพลังขั้นต้น งดงามไม่ด้อยกว่าปีนั้น ส่วนหวังเชี่ยนอีสร้างฐานพลังขั้นกลางแล้ว ปีนั้นอยู่ใต้รัศมีของเฉินปิง ไม่ใช่คนที่สะดุดตามากนัก ปัจจุบันนี้กลับเย็นดุจน้ำค้างแข็ง สดใสดุจดอกท้อดอกหลี่
โม่เทียนเกออดคิดถึงประสบการณ์ของพวกเขาในหลายปีนี้มิได้ ปีนั้นเฉินปิงถูกบังคับเป็นอนุ หวังเชี่ยนอีกลับแต่งเป็นภรรยาให้กับศัตรู สิบกว่าปีให้หลัง หลิ่วอีเตาเอ่ยกับนางว่าเฉินปิงเป็นอิสระแล้ว ส่วนหวังเชี่ยนอีกลับเป็นภรรยาของคนผู้นั้น แต่ไม่รู้ว่าในวันนี้หลุดพ้นจากทะเลทุกข์แล้วหรือไม่ ดูท่าทางของพวกนางตอนนี้คล้ายกับว่าจะไม่ได้ย่ำแย่เลย
ได้ยินเฉินปิงเตือนขึ้นมา หวังเชี่ยนอีก็นึกขึ้นได้แล้ว บนใบหน้าสงบนิ่งปรากฏความตกตะลึง “ท่าน…..ท่านคือเยี่ยซือตี้จริง ๆ หรือ”
โม่เทียนเกอยิ้มขมพยักหน้า พวกนางไม่ได้พบกันหกสิบกว่าปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าพบกันอีกจะเป็นเหตุการณ์เช่นนี้
พอเห็นฉากเหตุการณ์นี้ กลุ่มห้าคนนั้นล้วนสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง คาดไม่ถึงเลยว่าผู้อาวุโสก่อเกิดตานท่านนี้ถึงกับรู้จักกับอีกฝ่าย ขณะนี้สีหน้าเต็มไปด้วยความกระสับกระส่าย ตัวสั่นสะท้าน ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสท่านนี้จะเช่นฆ่าพวกเขาด้วยความโกรธเกรี้ยวหรือไม่
ลังเลอยู่นาน คนที่เป็นหัวหน้าผู้นั้นสุดท้ายยังคงส่งเสียงออกมาว่า “ที่แท้สหายเต๋าหลายท่านนี้เป็นคนรู้จักของผู้อาวุโส พวกผู้เยาว์มีตาแต่ไร้แววโดยแท้ ยังขอให้ผู้อาวุโสอย่าได้เห็นเป็นที่ขัดตา”
พูดถึงตอนจบเป็นการอ้อนวอนแล้ว
โม่เทียนเกอกวาดมองพวกเขาผ่าน ๆ เอ่ยว่า “เอาเถิด ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้พวกเจ้า พวกเจ้าไปได้แล้ว”
ได้ยินคำพูดนี้ของนาง ทั้งห้าคนดีใจใหญ่ คำนับซ้ำ ๆ ว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสมาก ๆ” แล้วก็ไม่กล้ารีรออยู่อีก ควบคุมอุปกรณ์เวทบินหลบหนีไปที่ไกลโพ้นโดยเร็ว
โม่เทียนเกอก็ไม่ได้ใส่ใจพวกเขาอีก ยิ้มให้กับหวังเชี่ยนอีและเฉินผิง “มิผิด ซือเจี่ยทั้งสองความจำดีนัก”
พอได้รับคำยืนยันของนาง หวังเชี่ยนอีและเฉินผิงหันไปสบตากัน รู้สึกแปลกประหลาดอย่างยิ่ง ดูชุดของโรงเรียนเสวียนชิงที่นางสวมใส่ พลังกดดันของผู้ฝึกตนก่อเกิดตานทั่วร่าง ทุกท่วงท่ามั่นใจปลอดโปร่ง ไม่มีความระแวดระวังรอบคอบของปีนั้นเลย ใบหน้ายิ้มแย้มต้อนรับผู้คนเป็นหน้าตาของเยี่ยซือตี้ สิ่งที่ทำให้พวกนางยิ่งรู้สึกประหลาดคือเยี่ยซือตี้ในปีนั้นถึงจะเป็นผู้เยาว์วัยแต่ไร้ท่วงท่าของสตรีสักครึ่งส่วน ทว่าโม่เทียนเกอที่อยู่ตรงหน้าสง่างามเลิศล้ำ มีรูปลักษณ์ของสตรีอย่างเห็นได้ชัด
ผ่านไปเนิ่นนาน หวังเชี่ยนอีถอนหายใจด้วยสีหน้าหดหู่ “ที่แท้ปีนั้นพวกเรามีตาแต่ไร้แวว เยี่ยซือตี้ หลายปีมานี้ท่านสบายดีหรือไม่ ท่าน…. ภายหลังสรุปว่าไปที่ใด”
เมื่อเอ่ยถึงปีนั้น โม่เทียนเกอก็ถอนหายใจ เริ่มแรกพบหลิ่วอีเตาที่โรงเรียนเสวียนชิงถึงจะได้คุยกันถึงสถานการณ์ภายหลังจากมา นางกลับขอร้องไม่ให้เปิดเผยที่อยู่ของตนเอง ถึงแม้กับเรื่องราวของสวีจิ้งจือหลิ่วอีเตาจะไม่ได้ซื่อสัตย์นัก ดูท่าถึงที่สุดแล้วยังคงปิดบังให้นาง
“เรื่องของปีนั้น…..ซือเจี่ยทั้งสองกลับไปแล้วาสามารถถามไถ่หลิ่วซือเกอดูได้”
“หลิ่วซือเกอทราบหรือ” หวังเชี่ยนอีประหลาดใจ
โม่เทียนเกอพยักหน้า ไม่ได้พูดถึงปัญหานี้มากมาย ถามว่า “ซือเจี่ยทั้งสอง พวกท่านเหตุใดเข้ามาที่ภูเขามาร”
หวังเชี่ยนอีถอนหายใจอีกคำรบ เอ่ยว่า “เยี่ยซือตี้ไม่รู้ทั้งหมด ถึงในวันนี้พวกเราจะชิงสำนักอวิ๋นอู้กลับมาแล้ว แต่ได้รับความเสียหายอย่างหนักหนาสาหัส เหลือผู้ฝึกตนก่อเกิดตานไม่กี่คน พวกเราเหล่านี้หากก้าวไปตามลำดับขั้นตอนเกรงว่าจะไม่มีทางก่อเกิดตาน ดังนั้นมาลองเสี่ยงดู….”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” โม่เทียนเกอคิด ๆ ดู เอ่ยว่า “ที่แห่งนี้สำหรับผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังอันตรายถึงสิบส่วนแล้ว พวกท่านเก็บหญ้าวิญญาณต้นนี้ไปแล้วก็กลับไปเถิด วาสนาถึงอย่างไรไม่สำคัญเท่าชีวิต”
เฉินปิงฟังแล้วประหลาดใจแกมยินดี “เยี่ยซือตี้ ท่านบอกว่า หญ้าวิญญาณนี้ยกให้พวกเราหรือ”
โม่เทียนเกอพยักหน้า กับแค่หญ้าวิญญาณพันปี นางย่อมไม่สนใจ คิด ๆ อีกทีแล้วหยิบขวดหยกและเครื่องรางหลายชิ้นออกมาจากในแขนเสื้อ “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาระลึกความหลัง หากมีชะตาต้องกัน พวกเราออกไปแล้วค่อยมาคุยถึงความรู้สึกหลังแยกจาก พวกท่านเอาโอสถเหล่านี้ไปแล้วก็ออกไปเถิด ในนี้เป็นเขตอันตราย ไม่ใช่สิ่งที่พวกท่านจะสามารถจัดการได้จริง ๆ”
หวังเชี่ยนอีรับสิ่งของที่นางส่งให้เงียบ ๆ แล้วคำนับอย่างเคร่งขรึม “ขอบคุณมาก”
โม่เทียนเกอยิ้มเล็ก ๆ ไม่พูดมากอีก หมุนตัวเดินไปหาฉินซี
“เยี่ยซือตี้!” หวังเชี่ยนอีร้องเรียกไล่หลังนาง “ท่าน….พวกเราหลังจากนี้จะตามหาท่านได้อย่างไร”
โม่เทียนเกอโบกมือ “พวกท่านไปถามหลิ่วซือเกอเองเถอะ ภายหลังย่อมมีเวลา”
พูดจบแล้วก็เก็บลมหายใจกลับคืน จากไปพร้อมกับฉินซีทันที
เฉินปิงมองดูแผ่นหลังของพวกเขา คิ้วยิ่งมายิ่งขมวดแนบแน่น ถามอย่างปุบปับว่า “หวังซือเม่ย เจ้าดู….นั่นใช่ฉินซือเกอหรือไม่”
“ฉินซือเกอหรือ” หวังเชี่ยนอีไม่เข้าใจความหมายของนางไปพักหนึ่ง ย้อนนึกถึงหน้าตาของคนเมื่อครู่นี้ แล้วก็ตกตะลึงไป “เป็นฉินซือเกอผู้นั้นหรือ?!”
“น่าจะใช่เสียแปดส่วน” เฉินปิงมองดูแผ่นหลังของพวกเขาที่เดินจากไปด้วยกัน สีหน้าซับซ้อน “ที่แท้เยี่ยซือตี้….ถึงกับเป็นสตรี แล้วยังกลายเป็นศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงด้วยกันกับฉินซือเกอ ไม่รู้จริง ๆ ว่าพวกเขาผ่านประสบการณ์อะไรมา….”
ทั้งสองคนค่อนข้างไร้คำพูด ในใจล้วนคิดหนักเงียบ ๆ การปรากฏตัวของโม่เทียนเกอทำให้พวกนางคิดถึงเรื่องเก่าแก่หลายสิ่งหลายอย่างในปีนั้น เรื่องเก่าแก่เหล่านี้มีบ้างที่มีความสุขมาก มีบ้างที่น่าเศร้าเสียใจมาก
ผู้ฝึกตนอีกสี่คนที่เหลือมองดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างปากอ้าตาค้าง ขณะนี้ในที่สุดจึงมีหนึ่งคนอดถามขึ้นมามิได้ว่า “ซือเจี่ยทั้งสอง เหตุใดพวกท่านเรียกผู้อาวุโสท่านนั้นว่า….เยี่ยซือตี้”
หวังเชี่ยนอีหัวเราะเสียงขมคำหนึ่ง เอ่ยว่า “หกสิบกว่าปีก่อน นางเดิมเป็นศิษย์สำนักอวิ๋นอู้เรา คิดว่าตอนนั้นเป็นสตรีปลอมเป็นบุรุษ”
“อะไรนะ” ทั้งสี่คนตะลึงใหญ่ “หกสิบกว่าปีก่อน…. ซือเจี่ยยังไม่ได้สร้างฐานพลังเลยรึเปล่า”
“มิผิด” หวังเชี่ยนอีจ้องมองทิศทางที่พวกเขาจากไป “ปีนั้น…. เยี่ยซือตี้เทียบกับพวกเราแล้วยังมีระดับการฝึกตนต่ำกว่า เป็นเพียงศิษย์หลอมรวมพลังวิญญาณคนหนึ่ง เดิมนึกว่านางพบเหตุไม่คาดคิด คิดไม่ถึงว่า…..”
เรื่องราวบนโลกหล้าไม่เที่ยงแท้ ในใจนางอดนึกถึงคำพูดนี้ไม่ได้ ปีนั้นเยี่ยซือตี้, ฉินซือเกอ, เจียงซือเกอสามคนหายตัวไปพร้อมกัน เยี่ยซือตี้ยังถูกหัวหน้าสาขาบอกว่าเป็นคนทรยศ นางกับเฉินปิงล้วนไม่เชื่อ แต่หาโม่เทียนเกอไม่เจอ พวกนางก็จนหนทาง ภายหลังค่อย ๆ ลืมเลือนเรื่องราวนี้ คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าหกสิบกว่าปีให้หลัง พวกนางถึงกับได้พบเยี่ยซือตี้ใหม่อีกครั้ง จึงได้พบว่านางถึงกับเป็นสตรี อีกทั้ง….ยังก่อเกิดตานแล้วด้วย
แต่ได้ยินเฉินปิงกล่าวอย่างตื่นตะลึงว่า “ฉินซือเกอนั่น…..คล้ายกับว่าก็ก่อเกิดตานแล้วเหมือนกัน พวกเขา…..มีพรสวรรค์ถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
…………………………
ตอนที่ 280 – ยอดเขาว่านเริ่น*
ว่านแปลว่าหมื่น ยอดเขาว่านเริ่นก็คือยอดเขาหมื่นเริ่น
เริ่นเป็นหน่วยวัดความยาว หนึ่งเริ่น = 7-8 ฉื่อ ความยาวหนึ่งฉื่อนั้นขึ้นอยู่กับยุคสมัย เช่นราชวงศ์ฉิน 23 ซม. สามก๊ก 24 ซม. ราชวงศ์ถัง 30 ซม. ราชวงศ์หมิง,ชิงและปัจจุบัน 31.1 ซม.ค่ะ เพราะงั้นหนึ่งเริ่นก็ประมาณหนึ่งวาได้