ตอนที่ 289 – จุดสูงสุดยอดเขาว่านเริ่น
โม่เทียนเกอประหลาดใจอยู่บ้าง หรือว่าก่อนหน้านี้นางคาดเดาจิตใจของจิ่งสิงจื่อผิดไปแล้ว เขาถึงกับยินดีจะร่วมกระทำการกับพวกเขา อีกทั้งไม่ชังที่ระดับการฝึกตนของนางต่ำเกินไปหรือ
แต่หันมาคิดอีกที สถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว นอกจากพวกเขา จิ่งสิงจื่อไม่มีพันธมิตรที่สามารถเลือกได้ ถึงระดับการฝึกตนของนางจะต่ำหน่อย คนสามคนก็สามารถขึ้นไปลองฟันฝ่าอุปสรรค
บนใบหน้าของฉินซีดูไม่ออกว่าอะไรคือความชอบความชัง เพียงถามว่า “สหายเต๋าจิ่ง ท่านมิใช่เพิ่งจะเก็บชีวิตกลับคืนมาหรือ เพราะอะไรยังอยากจะขึ้นไปเล่า”
จิ่งสิงจื่อแตะจมูกแล้วพูดว่า “เมื่อครู่เป็นคนคนเดียวไร้หนทาง ในเมื่อได้พบเจอพวกท่าน ย่อมจะต้องกลับไปดูหน่อยว่าสามารถหากำไรได้หรือไม่ จะอย่างไรซากโบราณสถานเหล่าเซียนขึ้นไปได้ไม่ง่ายดาย” พูดถึงตรงนี้ กะพริบตาอีกครั้ง “ข้าว่านะ ท่านมั่นใจเสียขนาดนี้ว่าสามารถพาซือเม่ยท่านไป ที่จริงในใจเกาะกุมกุญแจสำคัญเอาไว้แต่แรกแล้วสินะ?”
“……”
ฉินซีไม่พูดไม่จาไปพักหนึ่ง ดูสีหน้าของเขามิใช่ไม่ยินดี แต่ก็ไม่ได้ตกลงในทันที
โม่เทียนเกอมองจิ่งสิงจื่อ ทันใดนั้นก็รู้สึกคุ้นเคยมาก – จริงด้วย ฉินซีก็เคยกระทำเช่นนี้ ว่าไปแล้ว พวกเขาสองคนถึงนิสัยใจคอไม่ได้เข้ากันนัก แต่ในการพูดคุยกันให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยมากประการหนึ่งอยู่เสมอ…… พวกเขาทั้งสองสามารถมีความสัมพันธ์อย่างคุ้นเคยอะไรหรือ นิสัยใจคอไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง แล้วก็ไม่เห็นด้วยกับทัศนคติในการจัดการเรื่องราวของกันและกันโดยสิ้นเชิง
“ข้าบอกก่อนนะ ถึงข้างบนแล้ว สถานที่ที่พวกเราอยากไปเป็นเพียงมุมหนึ่งของซากโบราณสถานเหล่าเซียน ถ้าหากท่านอยากจะไปยังสถานที่อื่น พวกเราจะไม่ไปเป็นเพื่อนท่านเด็ดขาด”
จิ่งสิงจื่อไม่ใส่ใจสักนิด “ตามสบาย”
“เช่นนั้นก็ได้ ร่วมมือกันเถอะ” พอฉินซีพูดอย่างนิ่งสงบจบแล้ว จิ่งสิงจื่อก็เพียงแค่ยิ้ม ทั้งสองคนมิได้ชนหมัด แล้วก็ไม่ได้ทำเรื่องราวอันใดที่เทียบได้กับการทำสัญญา จากนั้นต่างคนต่างทำธุระของตัว
แผ่นดินไหวภูเขาสะเทือนครั้งนี้ดำเนินไปถึงหนึ่งวันเต็ม ๆ จนถึงตอนที่ภูเขานิ่งสงบ ทั้งสามคนล้วนเกร็งจนสุดจะทนแล้ว
พวกเขาทุกคนล้วนใช้วิธีการป้องกันที่แกร่งที่สุดออกมา อีกทั้งเตรียมพร้อมจะลงมือทุกเวลา ถึงจะเพียงตระหนกแต่ไร้อันตราย การสูญเสียพลังวิญญาณกลับมากยิ่งนัก อีกอย่าง กลางทางยังมีปราณปีศาจล่องลอย สิ้นเปลืองพลังวิญญาณไปอีกไม่น้อย
ทั้งสามคนพักอยู่ในถ้ำภูเขาเล็ก ๆ หนึ่งวันเต็ม รอจนพลังวิญญาณเต็มเปี่ยมจึงบินขึ้นจุดสูงสุดของยอดเขาต่อ
เมื่อมีจิ่งสิงจื่อเข้าร่วม เส้นทางนี้ก็ง่ายดายมากแล้ว ม่านพลังกระบี่อัคนีสามพลังหยางของฉินซี ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของโม่เทียนเกอ แล้วบวกกับแสงกระบี่คุ้มครองกายของจิ่งสิงจื่อ เดิมทีนึกว่ายังต้องใช้เวลาอีกหนึ่งวันกว่าจึงสามารถไปถึงจุดสูงสุดของยอดเขา แต่เพียงแค่หนึ่งวันก็ไปถึงแล้ว หากมิใช่เพราะว่ากำแพงอาคมพังทลายแล้วยอดเขาปลดปล่อยปราณปีศาจออกมาปริมาณมากซึ่งทั้งสามคนไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่แน่ว่ายังจะเร็วกว่านี้อีก
ถึงจุดสูงสุดของยอดเขาแล้ว โม่เทียนเกอตะลึงลาน “นี่คือ……ซากโบราณสถานเหล่าเซียน?”
เห็นเพียงกองหินอยู่ทั่วทุกที่ พลังวิญญาณปราณปีศาจผสมปนเป รกชัฏไปหมด ตรงไหนที่ควรค่าแก่คำว่าเซียน?
ฉินซีเอ่ยว่า “ซากโบราณสถานเหล่าเซียนที่เรียกกันก็แค่เป็นการเรียกขานของพวกเราชนรุ่นหลังเท่านั้น ภูเขามารเป็นเป็นสนามรบตั้งแต่บรรพกาล ว่ากันว่าฝังร่างเหล่าเซียนเอาไว้ อันที่จริงเป็นแค่สถานที่ซึ่งเหล่าเซียนสิ้นชีพเท่านั้น”
โม่เทียนเกอถอนหายใจ เวลาที่เซียนปีศาจยังไม่แบ่งแยกจากกัน พวกที่สิ้นชีพลงที่นี่เป็นมนุษย์เซียนตัวจริง ความสำเร็จที่บรรลุถึงอาจบางทีพวกเขาทั้งชีวิตก็ยังไม่สามารถเอื้อมถึง แต่มนุษย์เซียนเหล่านี้ก็ล้มลงในสถานการณ์เช่นนี้เอง
จิ่งสิงจื่อยิ้มแย้มเอ่ยว่า “ท่านอย่าได้ดูเบาสถานที่แห่งนี้ ถึงจะผ่านมาหลายปีขนาดนี้ก็ยังมีสมบัติของเหล่าเซียนไม่น้อยเหลืออยู่ ต้องดูว่าท่านมีวาสนาจะได้รับมาหรือไม่”
“จริงหรือ” ทอดสายตามองไกลก็มองไม่ออกว่ามีสถานที่พิเศษอะไร มีเพียงตรงเดียวที่พลังวิญญาณกล้าแข็งเกินไป กลางอากาศมีชั้นพลังวิญญาณโปร่งใสหนึ่งชั้นล่องลอย เทียบกับพลังวิญญาณที่เคยเห็นมาก่อนสะอาดบริสุทธ์กว่านัก สถานที่ซึ่งชั้นพลังวิญญาณนี้ปกคลุม ปราณปีศาจทำได้เพียงร่อนเร่อยู่รอบนอก
“นั่นคืออะไร ทำไมข้าไม่เคยเห็นพลังวิญญาณที่พิเศษเช่นนี้มาก่อนเลย”
“นี่คือปราณเซียน” ฉินซีเอ่ย “มนุษย์เซียนที่ตายที่นี่มีมากนัก หลังจากพวกเขาตาย ร่างกายจะไม่หลงเหลืออยู่ ล้วนกลายสภาพไปเป็นปราณเซียน”
“……ที่แท้เป็นเช่นนี้”
“เอาล่ะ ถ้าพวกท่านมีคำพูดอยู่อีก ภายหลังก็ค่อย ๆ พูดเถิด ควรจะทำงานกันแล้ว” จิ่งสิงจื่อโบกมือ กระบี่บินที่แผ่นหลังหลุดจากฝัก สั่งสมพลังเตรียมปฏิบัติการ เดินนำหน้าไปก่อน
ฉินซีก็พยักหน้าให้นาง “ไปเถิด”
ถึงจะไม่มีปราณปีศาจ แต่ปราณเซียนก็น่ากลัวพอกัน พวกเขาเป็นเพียงผู้ฝึกเซียนเล็ก ๆ ยังมิใช่มนุษย์เซียน พลังอันกล้าแข็งที่บรรจุอยู่ในปราณเซียนไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถรับเอาไว้ได้ พอร่ายกายถูกปราณเซียนแทรกซึมก็จะตัวระเบิดตาย
ทั้งสามคนใช้วิธีการป้องกันต่าง ๆ นานา เข้าสู่หมู่หินอย่างระมัดระวังรอบคอบ
ก่อนที่จะถึงยอดเขาว่านเริ่น พวกเขายังสามารถมองเห็นกระดูกบนพื้นเป็นครั้งคราว แต่ที่จุดสูงสุดของยอดเขาว่านเริ่นนี้กลับสะอาดหมดจด เนื่องจากหลังมนุษย์เซียนตายลงไปแม้แต่กระดูกก็ยังไม่เหลือไว้ ทว่ากลายสภาพเป็นปราณเซียนไปตรง ๆ
โดยรอบมีร่องรอยของทักษะเวทจำนวนมากหลงเหลือ ถึงแม้จะผ่านไปนับล้านปี ร่องรอยเหล่านี้ยังคงสามารถแยกแยะออกได้อย่างชัดเจน เพราะว่ามนุษย์เซียนมีความสามารถที่จะเคลื่อนภูเขาผลาญทะเล ทักษะเวทของพวกเขาทรงพลังเกินไปแล้ว ร่องรอยที่หลงเหลือย่อมชวนตื่นตาตื่นใจหาใดเปรียบ
ยกตัวอย่างเช่นยอดเขาว่านเริ่นนี้ เดิมทีมันเชื่อมต่อกับยอดเขาอื่น เพียงแต่ไม่รู้ว่าถูกอุปกรณ์เซียนอะไรฟันจนขาดก็เลยกลายเป็นยอดโดดเดี่ยวเช่นนี้ ก้อนหินบนยอดเขาว่านเริ่นนี้ พวกเขาแม้แต่จะขยับสักก้อนก็ยังไม่ง่ายดาย สำหรับมนุษย์เซียนกลับฟันขาดได้อย่างง่าย ๆ
ยังมียอดเขานี้มีทะเลสาบขนาดมหึมา ดูอย่างละเอียดแล้วกลับเป็นร่องรอยของทักษะเวทวารีที่เหลือทิ้งเอาไว้ ผ่านไปล้านปีถึงกับยังคงอยู่
ยังมีกองหินเหล่านี้ ร่องรอยเผาไหม้พวกเนี้ หลุมโพรงขนาดมหึมา ไม่มีใดมิใช่ร่องรอยของทักษะเวท
ถึงจะไม่ได้เห็นซากสังขารของมนุษย์เซียน โม่เทียนเกอกลับได้เห็นมหาสงครามอันยิ่งใหญ่นั้นในล้านปีก่อนของจริง นี่ทำให้นางเกิดความรู้สึกมหัศจรรย์ประการหนึ่ง คล้ายกับว่าตนเองได้รับประสบกาณ์ของมหาสงครามนั้นด้วยตัวเอง มองเห็นฉากเหตุการณ์ที่ทักษะเวทลอยว่อน อุปกรณ์เซียนปะทะกัน
ฉินซีจงใจเดินช้ามาก คล้ายกับตั้งใจจะให้นางสัมผัสกับความรู้สึกเช่นนี้ให้ดี ๆ จิ่งสิงจื่อมีสีหน้าจริงจังอย่างที่พบเห็นได้น้อย มองดูทิวทัศน์เบื้องหน้าอย่างเงียบงัน
ทั้งสามคนที่ก้าวไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าตามสบายถูกการจู่โจมที่มาอย่างกะทันหันทำให้เสียกระบวน
จิ่งสิงจื่อเดินอยู่ข้างหน้าสุด จู่ ๆ พอเหยียบเท้าลงไปก็ได้ยินเสียง “แก๊ก” เบา ๆ จากนั้นควันจาง ๆ ก็ฟุ้งขึ้นมา
ปฏิกิริยาของจิ่งสิงจื่อก็รวดเร็ว กระบี่บินลอยขึ้นมาอย่างว่องไว ตัวคนกระโดดไปกลางอากาศแล้ว วูบหลบอัสนีหนึ่งสายอย่างเต็มกลืน
โม่เทียนเกอกับฉินซีสองคนบินหนีไปในพริบตา กระบี่อัคนีสามพลังหยางของฉินซีตีโต้กลับทันที โม่เทียนเกอโบกมือ ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวกลายรูปเป็นควันจาง ๆ เข้าไปพัวพัน ในเวลาเดียวกัน ในมือกำอาวุธเวท เตรียมพร้อมลงมือได้ทุกเมื่อ
จากนั้น ทั้งสามคนล้วนตะลึงงัน
เพราะว่าไม่ใช่อสูรมาร แล้วก็มิใช่กำแพงอาคม ทว่าเป็น…….เป็นเพียงควันจาง ๆ ก้อนหนึ่งหรือ
แสงกระบี่ของจิ่งสิงจื่อแทงทะลุไปแล้ว กระบี่อัคนีสามพลังหยางของฉินซีก็มีรัศมีแดงเพลิงลุกโชนในพริบตา แต่ว่าควันจาง ๆ ก้อนนี้ถูกตัดขาดไปแล้วในพริบตาก็รวมตัวขึ้นมาใหม่
“นี่คืออะไร” จิ่งสิงจื่อตื่นตะลึง มองไปทางฉินซี “ครั้งที่แล้วท่านเคยเห็นไหม”
ฉินซีส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้”
โม่เทียนเกอย่อมยิ่งไม่รู้
เพิ่งจะพูดสองประโยคนี้ ควันจาง ๆ ก้อนนั้นก็ค่อย ๆ ลอยมาทางพวกเขา
ทั้งสามคนไม่กล้าประมาท ต่างคนต่างล่าถอย โม่เทียนเกอช้าหน่อย เพียงรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดบนแขน ก้มหน้าลงมอง ตรงที่ที่ควันจางเคลื่อนผ่าน ม่านหมอกของผ้าเช็ดหน้าไหมขาวถึงกับถูกกัดกร่อนไปแถบหนึ่ง แขนเสื้อของนางก็ไหม้ไปแถบหนึ่ง
ฉินซีขึ้นหน้ามาดึงตัวนาง หลังจากล่าถอยไปได้ระยะทางหนึ่งก็เลิกแขนเสื้อของนางขึ้น กลับเห็นว่าบนแขนที่เดิมทีเรียบลื่นของนางก็ถูกเผาไหม้ไปแถบหนึ่งเช่นเดียวกัน
ฉินซีสีหน้าแปรเปลี่ยนกลับกลาย “เจ็บไหม”
โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “ช่างมันไปก่อน ของสิ่งนี้จะทำอย่างไร”
จิ่งสิงจื่อกลับมีสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มอีกแล้ว เหลือบมองมาแวบหนึ่ง กล่าวว่า “กระบี่บินตัดไม่สำเร็จ ทักษะเวทเผาไม่ได้ ยังสามารถทำอะไรได้เล่า ได้แต่หนีแล้ว!”
ทันทีที่พูดจบก็ควบคุมกระบี่บินรีบหนีไปอย่างบ้าคลั่ง
ฉินซีเห็นแล้วส่ายหน้า พริบตาต่อมาสะบัดแขนเสื้อนำเมฆบินออกมา ดึงตัวโม่เทียนเกอแล้วก็หนีไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
ควันจางก้อนนั้นไล่ตามมา ความเร็วไม่ได้ช้า แต่ไม่ว่าจะเป็นกระบี่บินของจิ่งสิงจื่อหรือว่าเมฆบินของฉินซีล้วนมีความเร็วอย่างยิ่ง ผ่านไปไม่นานนัก ควันจางนั้นในที่สุดไม่ได้ไล่ตามมาอีก
ทั้งสามคนหยุดลง ล้วนผ่อนลมหายใจออกมา
“นี่มันของเล่นพิสดารอะไรน่ะ” จิ่งสิงจื่อกระซิบ
ไม่มีคนตอบเขา ฉินซีดึงแขนเสื้อของโม่เทียนเกอดูผิวหนังที่ถูกควันจางกัดกร่อนไป ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ไม่ถูก สิ่งนี้……”
แรกเริ่มเพียงรู้สึกเจ็บนิดหน่อย ตอนนี้โม่เทียนเกอรู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกไฟเผาเแล้ว อีกทั้งความเจ็บปวดนี้ยังยิ่งมายิ่งร้ายกาจ เดิมทีนางอดทน ถึงตอนท้ายก็อดไม่อยู่แล้ว ดึงแขนเสื้อของฉินซี เหงื่อเย็นแตกพลั่ก “เจ็บมากเลย”
ฉินซีรู้นิสัยของนาง หากมิใช่ว่าเจ็บจริง ๆ จะไม่ร้องออกมาเป็นอันขาด หยิบโอสถหนึ่งเม็ดออกมาจากในกระเป๋าเอกภพทันที “กินลงไป”
โม่เทียนเกอกลืนอย่างเชื่อฟัง รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
ฉินซีกดแขนของนาง ค่อย ๆ ปลดปล่อยพลังวิญญาณ เริ่มจากบาดแผล ตรวจสอบอย่างละเอียดทีละนิด ๆ
“เป็นอย่างไร สิ่งของนี้มีอะไรพิสดาร” จิ่งสิงจื่อเห็นท่าทางนี้ของพวกเขาก็ถามออกมา
ฉินซีไม่ได้พูด ผ่านไปพักหนึ่ง จู่ ๆ ก็ทำมุทราใช้ศาสตร์ออกมา ไฟแท้กลุ่มหนึ่งผุดขึ้นมาจากฝ่ามือของเขาแปะลงบนแผลไหม้ดำแถบนั้น
โม่เทียนเกอผงะ ไฟแท้ของเขามิใช่ไฟแท้ของผู้ฝึกตนอย่างสามัญเลย เดิมทีสิ่งที่ฝึกก็คือวิชาเวทสายไฟ ร่างกายยังครอบครองพลังวิญญาณหยางอันบริสุทธิ์อีก พอเผาลงมา แขนที่ตอนแรกรู้สึกชาไปแล้วก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกประเภทขึ้นมาใหม่
ฉินซีพบเห็นแล้ว เขาหยุดลงชั่วขณะ เรียกใช้พลังวิญญาณหยางเอามาล้อมรอบไฟแท้ จากนั้นค่อย ๆ เผา
ความเจ็บปวดเบาบางลงไปเล็กน้อย โม่เทียนเกอค่อย ๆ สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณหยางที่เข้าไปในกาย ไม่ต้องให้นางขยับเขยื้อนเอง พลังวิญญาณอินในกายก็ขึ้นไปต้อนรับ ทั้งสองหลอมรวมกัน ไฟแท้ของฉินซีถูกพลังวิญญาณอินหยางสองอย่างกักเอาไว้ ค่อย ๆ แผดเผา ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ แผลไหม้ดำก้อนนั้นในที่สุดก็เริ่มหดเล็ก
รอจนสีไหม้ดำนี้หายไปจากแขนของโม่เทียนเกอ พลังวิญญาณของทั้งสองคนถึงกับเผาผลาญไปเกินครึ่งแล้ว
จิ่งสิงจื่อดูแล้วไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไร ขณะนี้เห็นพวกเขาหยุดลงจึงถามว่า “นี่คือเรื่องอันใด ไฟแท้ของท่านในเมื่อสามารถเผามัน เพราะอะไรเมื่อครู่กลับไม่ได้”
ฉินซีเอ่ยว่า “นี่เป็นไฟแท้สุดหยางที่ข้าหยั่งรู้ขึ้นมาตอนที่ผูกจิตวิญญาณ ไม่เหมือนกับไฟแท้บนกระบี่อัคนีสามพลังหยาง”
“เช่นนั้นเหตุใดเมื่อครู่ไม่ใช้”
คำถามนี้ทำให้ฉินซีร้องหึเบา ๆ คำหนึ่ง “ท่านพูดเสียง่ายดาย ไฟแท้นี้เคลื่อนไหวได้ลำบากยิ่ง ควันนั้นเร็วเกินไป มันไม่ทัน”
“อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้” จิ่งสิงจื่อพยักหน้า “ในเมื่อท่านสามารถรักษา เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว”
“อ้าว?” จิ่งสิงจื่อไม่เข้าใจ “นี่มันเพราะอะไร”
ฉินซีกลับไม่ตอบคำ เพียงส่ายหน้า เอ่ยกับโม่เทียนเกอว่า “พักผ่อนสักครู่หนึ่งก่อน ฟื้นฟูพลังวิญญาณ”
ไฟแท้สุดหยางของเขาเกรี้ยดกราดเป็นพิเศษ หากมิใช่ว่าพลังวิญญาณอินหยางสองอย่างของเขากับโม่เทียนเกอสามารถใช้เป็นกันชน เกรงแต่ว่าปราณมืดก้อนนี้ยังเผาไม่หมด มือของโม่เทียนเกอก็จะถูกเขาเผาไปหมดแล้ว
………………………………….