หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 304 – เถ้ากระดูก

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 304 – เถ้ากระดูก

การท่องภูเขามาร สถานที่ที่อันตรายที่สุดคือซากโบราณสถานเหล่าเซียน สถานที่อันลึกลับที่สุดในซากโบราณสถานเหล่าเซียนก็คือวังอวี้เสิน

ทั้งสองคนต่างคนต่างบอกเล่าความรู้สึกหลังพลัดพรากกัน โม่เทียนเกอได้ยินว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอไปที่วังอวี้เสินก็ถามถึงเรื่องนี้

ฉินซีเอ่ยว่า “วังอวี้เสินที่เรียกขานกันนั้นกล่าวกันว่าเป็นถ้ำพำนักเซียนให้มนุษย์เซียนพักผ่อนช่วงสงครามเซียนมารในปีนั้น ดังนั้นมนุษย์เซียนที่ล้มลงในสงครามใหญ่ล้วนฝังอยู่ใกล้ ๆ กลายเป็นซากโบราณสถานเหล่าเซียน ในวังอวี้เสินมีสิ่งของตกทอดที่มนุษย์เซียนจำนวนมากเหลือทิ้งเอาไว้ ถึงส่วนใหญ่จะเสียหายไปแล้ว อันอื่นบางอันปราณเซียนหนาแน่นไป พวกเราผู้ฝึกเซียนไม่อาจใช้ได้ แต่ก็มีวัตถุพิสดารบางอย่างที่หากได้รับมาแล้วจะเป็นวาสนาชิ้นใหญ่”

อันนี้โม่เทียนเกอทราบโดยคร่าว ๆ มาบ้างแล้ว เพียงแค่ว่าครั้งนี้คล้ายจะไม่เหมือนปกติอยู่บ้าง

“ในภูเขามาร นอกจากวังอวี้เสิน สถานที่อื่นก็มีสมบัติมากมายใช่ไหม เพราะอะไรครั้งนี้ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั้งหมดกรูกันไปที่วังอวี้เสินเหมือนฝูงผึ้ง”

ฉินซียิ้มเอ่ยว่า “ย่อมได้รับข่าวสารมาบ้าง ในวังอวี้เสินมีสมบัติหายาก” พูดถึงตรงนี้ ในแววตาของเขาปรากฏร่องรอยกังขาเสี้ยวหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่ค่อยจะมั่นใจว่า “ซือฟุเคยพูดกับข้า ในวังอวี้เสินครั้งที่แล้วปรากฏสมบัติอย่างหนึ่งขึ้นมา สำหรับพวกเขาเหล่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ไม่แน่ว่าจะสามารถทะลวงผ่านระดับชั้นได้ในคราเดียว ดังนั้นครั้งนี้ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มากขนาดนี้ล้วนคิดจะไปวังอวี้เสินเสี่ยงโชคดู”

“ถึงกับเป็นสมบัติเยี่ยงนี้?” โม่เทียนเกอได้ยินแล้วประหลาดใจอย่างใหญ่หลวง ระดับการฝึกตนยิ่งสูง สมบัติที่สามารถส่งผลดีต่อระดับการฝึกตนของตัวเองยิ่งน้อย ดังนั้นเหล่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ล้วนติดอยู่ที่จิตวิญญาณใหม่ขั้นต้น, น้อยนักจะเข้าสู่จิตวิญญาณใหม่ขั้นกลาง ผู้ที่สามารถเข้าสู่จิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

หลายพันปีทั่วทั้งเทียนจี๋ก็มีแค่สี่ห้าคนนั้น ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่จำนวนมากผ่านการฝึกตนหลายร้อยปีจนถึงขั้นสูงสุดของระดับ แต่ขาดวาสนาจะเลื่อนระดับ ประมุขเต๋าจิ้งเหซือฟุของพวกเขาก็เป็นเช่นนี้ สมมติว่าเป็นสมบัติอย่างนี้จริง ๆ ก็มิต้องสงสัยเลยที่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มากขนาดนี้ล้วนตรงไปที่วังอวี้เสิน

“ไม่เลว” ฉินซีกล่าว แล้วส่ายหน้าอีก “แต่ก็พูดว่าดีไม่ได้ สมบัติเช่นนี้ ครั้งที่แล้วปรากฏขึ้นมาแล้ว จะบังเอิญปรากฏขึ้นมาอีกในครั้งนี้ได้อย่างไร การเดินทางของซือฟุ ข้ากังวลอยู่บ้างจริง ๆ”

โม่เทียนเกอก็พยักหน้า อารมณ์หนักอึ้งอยู่บ้าง ไม่พูดถึงอย่างอื่น ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มากขนาดนี้ หากมีการกระทบกระทั่งขึ้นมา…… แต่ว่า ด้วยความแข็งแกร่งของซือฟุ จะปกป้องชีวิตน่าจะไม่ยาก

ทั้งสองคนต่างคนต่างครุ่นคิดช่วงหนึ่ง ฉินซีเอ่ยว่า “เรื่องของซือฟุ ซือฟุย่อมมีการวางแผนในใจตนเอง พวกเราก็ไม่ต้องกังวลใจแล้ว เวลาก็ไม่เช้าแล้ว พวกเราเร่งไปเก็บเถ้ากระดูกบิดาของเจ้ากลับมาแล้วออกไปให้เร็วที่สุดเถิด”

“อืม” โม่เทียนเกอลุกขึ้น คิด ๆ ดู ก้มหน้าลงมองหญ้าหอมสวรรค์ที่ปกคลุมทั่วทั้งภูเขาอีก “ในเมื่อเจอแล้ว ถั่วหอมสวรรค์พวกนี้ก็เก็บกลับไปหน่อยนะ? เอาไปแลกกับแร่อวี้สุ่ยดีกว่า”

ฉินซีมองถั่วหอมสวรรค์พวกนี้ คิดถึงเรื่องที่นางเกือบจะประสบ ไม่พอใจอยู่ในใจ เอ่ยว่า “จะเอามันไปทำอะไร แร่อวี้สุ่ยข้าหามาแล้ว”

“เอ๊ะ?” ทั้งสองคนแยกจากกันระยะเวลาเล็กน้อยแค่นี้ แร่อวี้สุ่ยก็มีแล้ว?

ฉินซีล้วงแร่อวี้สุ่ยที่สกัดออกมาจากสารสกัดหยกเพลิงประกายนั้นออกมาจากอกเสื้อ ใสบริสุทธิ์เปล่งประกาย มีขนาดสองกำปั้น

“แร่อวี้สุ่ยที่ดีขนาดนี้ ท่านไปเอามาจากไหน” โม่เทียนเกอรับมาอย่างตื่นตะลึงแกมยินดี แร่อวี้สุ่ยเช่นนี้อย่างน้อยที่สุดก็หลายพันปี อีกทั้งไร้สิ่งเจือปนสักนิด คุณภาพชั้นยอดเป็นที่สุด สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นคือแร่อวี้สุ่ยนี้ปริมาณเพียงพอ ถึงจะเสียหายไปก็สามารถหลอมขึ้นมาใหม่

ฉินซียิ้มบาง ๆ “เป็นสิ่งที่คู่เซียนหลวนเฟิ่งของสำนักปี้อวิ๋นส่งมา พูดถึงที่สุดแล้วก็คือเห็นแก่หน้าของซือฟุ”

โม่เทียนเกอเงยหน้ายิ้ม “หน้าของซือฟุมีค่าจริง ๆ แร่อวี้สุ่ยที่ใหญ่ขนาดนี้จะซื้อภายนอกยังซื้อไม่ได้เลย”

ฉินซีก็ยิ้ม “ทีนี้ก็ดีแล้ว พัดแห่งสวรรค์และโลกาของเจ้าในที่สุดก็สามารถหลอมสร้างแล้ว”

“อืม” วัสดุอื่นก็เตรียมพร้อมอยู่แต่แรก ศิลาเมฆานิ่งก็หาเจอแล้ว ตอนนี้แร่อวี้สุ่ยพันปีก็มีแล้ว กลับจากภูเขามารก็สามารถหลอมสร้างอาวุธเวทได้เลย

โม่เทียนเกอเก็บแร่อวี้สุ่ยเข้ากระเป๋าเอกภพ ทั้งสองคนพักผ่อนชั่วครู่ หยิบอาวุธเวทบินออกมา วางแผนจะไปจากยอดเขาโดดเดี่ยว

ทั้งสองคนบินไปกลางอากาศ ฉินซียืนอยู่บนเมฆบิน ก้มหน้าลงมองถั่วหอมสวรรค์ที่ปกคลุมภูเขา ขมวดคิ้วขึ้นมา ยกมือขึ้น พลังวิญญาณอัคคีควบรวมอยู่ที่ใจกลางฝ่ามือ กลายเป็นลูกบอลอัคคีหนึ่งก้อน โบกมือหนึ่งครั้ง บอลอัคคีตกลงสู่ยอดเขา ลุกเป็นไฟขึ้นมาเสียงดังลั่น

โม่เทียนเกอพอเห็นฉากนี้ก็ร้องขึ้นมาว่า “เผาพวกมันหมดเลยหรือ” หญ้าหอมสวรรค์พวกนี้หยั่งรากอยู่ที่นี่เป็นแรมปี เทียบกับหญ้าวิญญาณในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางแล้วยังเนิ่นนานกว่าอีก เผาไปไม่น่าเสียดายหรือ

ฉินซีร้องหึเสียงเย็น “ทิ้งพวกมันไว้ก็เป็นเภทภัย!” บางทีสิ่งของนี้อาจมีประโยชน์มากต่อคนอื่น แต่สำหรับเขาเป็นความทรงจำที่ไม่ดีจริง ๆ

โม่เทียนเกอคิดดู รู้สึกว่าก็จริง หากไม่มีหญ้าหอมสวรรค์พวกนี้ นางก็จะไม่เกือบประสบกับเรื่องน่ากลัวขนาดนั้นแล้ว ก็เลยไม่พูดแล้ว

เปลวไฟยิ่งมายิ่งใหญ่โต กลืนกินทั้งยอดเขา หญ้าหอมสวรรค์ทั้งหมดล้วนไหม้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ถั่วหอมสวรรค์ในเปลวไฟส่งเสียงดัง “เพี๊ยะพ๊ะ” ออกมา

เมื่อเห็นว่าหญ้าหอมสวรรค์ทั้งหมดลุกไหม้แล้ว ฉินซีโอบกอดนาง “ไปเถอะ”

โม่เทียนเกอพยักหน้า เผาให้หมดก็ดี เผาแล้วจิตใจเบาสบาย ความทรงจำช่วงนั้นนางก็ไม่คิดที่จะกลับไปหวนระลึก –

“จริงสิ จิ่งสิงจื่อเล่า” จู่ ๆ นางก็คิดถึงคำถามหนึ่งขึ้นมา

ฉินซีเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “ข้าให้เขาไปก่อนแล้ว” เขาก้มหน้าลงเหลือบมองโม่เทียนเกอ “ข้าคิดว่าเจ้าเห็นเขาแล้วจะต้องไม่มีความสุข”

“……” โม่เทียนเกอซาบซึ้งในใจ นางไม่อยากเห็นจิ่งสิงจื่ออีกจริง ๆ ยากนักที่เขาแม้กระทั่งเรื่องนี้ก็คิดถึง

ทั้งสองคนควบคุมเข็มทิศที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอเหลือทิ้งเอาไว้ ออกจากหมอกหนาอย่างราบรื่น

ประมุขเต๋าจิ้งเหอเคยพูดว่าที่นี่เป็นส่วนลึกของซากโบราณสถานเหล่าเซียนแล้ว ภยันตรายมากเกินไป มิใช่ที่ที่พวกเขาผู้ฝึกตนก่อเกิดตานควรจะมา ฉินซีก็รู้จุดนี้ พาโม่เทียนเกอกลับไปทางยอดเขาว่านเริ่น

หนึ่งวันให้หลัง มีตระหนกไร้เภทภัยหลายครั้ง ทั้งสองคนในที่สุดถือว่ากลับถึงเส้นทางดั้งเดิมแล้ว

มาถึงที่นี่ ฉินซีผ่อนลมหายใจ “ที่นี่ไม่มีอสูรมารอะไร พวกเราระวังหน่อย ใช้เวลาอีกครึ่งวันก็น่าจะสามารถไปถึงแล้ว”

คิดถึงสถานที่เป้าหมายของทั้งสองคน โม่เทียนเกอตื่นเต้นอยู่บ้าง พยักหน้า “อืม”

ทั้งสองคนเดินไปตามหินภูเขา เข้าสู่ป่าแห่งหนึ่ง

“ระวัง!” ฉินซีเอ่ย “นี่คือไม้เซาะกระดูก แตะโดนเพียงเล็กน้อยก็จะเน่าเปื่อยกลายเป็นกระดูกขาวหนึ่งกองในพริบตาเลย”

โม่เทียนเกอตกตะลึง “พิษร้ายแรงขนาดนี้เลยหรือ หากเอาออกไป ตอนที่เผชิญศัตรูไยมิใช่น่ากลัวยิ่ง?”

ฉินซีส่ายหน้า “เอาออกไปไม่ได้ พิษของไม้เซาะกระดูกนี่ถึงจะแข็งแกร่ง แต่ก็จางหายไปเร็ว หลังจากตัดออกมา ในเวลาประมาณหนึ่งวันพิษก็จะหายไปหมดแล้ว เก็บเข้ากล่องหยกก็ไม่ได้ผล”

“……ที่แท้เป็นเช่นนี้”

ทั้งสองคนใช้พลังวิญญาณคุ้มครองร่าง ปล่อยอาวุธเวทป้องกันออกมา เข้าป่าไปอย่างระแวดระวัง

“ทางนี้!” ฉินซีนำทาง บินเรียดพื้น

ไม้เซาะกระดูกหย่อมนี้พื้นที่ค่อนข้างกว้างใหญ่ ทั้งสองคนเกรงกลัวที่จะสัมผัสถูกใบไม้ เสียเวลาเนิ่นนานจึงออกจากป่า

ผ่านป่าไม้เซาะกระดูก ทิวทัศน์เบื้องหน้าแปรเปลี่ยนไป ท้องฟ้ามืดครึ้ม บนพื้นล้วนเป็นหลุมบ่อเล็ก ๆ ใหญ่ ๆ ทั่วไปหมด ในหลุมบ่อบางหลุมยังมีไฟลุกไหม้ สาดส่องแสงสีแดงเข้มไปรอบบริเวณ

โม่เทียนเกอมองหนึ่งรอบ ถามว่า “ที่นี่ทำไมถึงได้มีลักษณะแบบนี้หรือ” หลุมบ่อพวกนี้ล้วนเล็กเกินไป เห็นได้ชัดว่ามิใช่ภูเขาไฟ แต่จำนวนกลับมากมายขนาดนี้ แปลกประหลาดจริงแท้

ฉินซีเอ่ยว่า “ที่นี่เป็นร่องรอยที่มนุษย์เซียนโบราณกาลใช้ทักษะเวทสายอัคคีหลงเหลือเอาไว้”

“ทักษะเวทสายอัคคี……” โม่เทียนเกอทอดมองร่องรอยที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเบื้องหน้านี้ จิตใจเกิดความโหยหา ควรจะเป็นทักษะเวทที่กล้าแข็งเพียงใดจึงหลงเหลือร่องรอยที่ใหญ่โตขนาดนี้? บางทีสิ่งเหล่านี้ที่อยู่ตรงหน้าอาจเป็นเพียงแค่มนุษย์เซียนโบราณกาลหนึ่งคนลงมือส่ง ๆ ก็เท่านั้น

“ไป ทางนี้” ฉินซียังคงเอาเมฆบินออกมา ดึงตัวโม่เทียนเกอลอยขึ้นกลางอากาศ บินไปทางขวาช้า ๆ

ในป่าไม้เซาะกระดูก พวกเขาเพียงสามารถบินเรียดไปกับพื้น เหนือหลุมบ่อหย่อมนี้กลับเพียงสามารถบินกลางอากาศ ทักษะเวทสายอัคคีที่มนุษย์เซียนหลงเหลือเอาไว้เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่สามไฟแท้ยิ่งใหญ่ยุคปัจจุบันจะสามารถเทียบได้เลย สามไฟแท้ยิ่งใหญ่ถึงจะร้ายกาจ ถึงที่สุดแล้วเป็นไฟของมนุษย์ พวกนี้กลับเป็นเพลิงเซียน พวกเขาเหล่าผู้ฝึกตนหากโดนขึ้นมาจะต้องทนทานรับไม่ได้เด็ดขาด

บินไปพักหนึ่ง ยังคงไม่ได้บินออกจากร่องรอยตกค้างหย่อมนี้ ฉินซีกลับลดระดับลงอย่างปุบปับ

“ซือเกอ?” โม่เทียนเกอร้องเรียกคำหนึ่ง “นี่คือจะไปที่ไหน”

ฉินซีเอ่ยอย่างมั่นคงแน่วแน่ว่า “ลงไปข้างล่าง”

โม่เทียนเกอก้มหน้าลงมอง กลับเห็นว่าข้างล่างมีเพียงหลุมบ่อที่เปลวเพลิงลุกไหม้แสบตาหลายหลุม ไม่มีที่อื่นให้ไปเลย

นางกำลังงงงวย เมฆบินของฉินซียังคงลดต่ำ บินเข้าไปในหลุมบ่อหนึ่งในนั้น

“ซือเกอ!” เพลิงนี้เป็นเพลิงเซียน หากสัมผัสถูกพวกเขาต้องทนไม่ได้!

ฉินซีกุมมือของนาง เอ่ยปลอบว่า “ไม่เป็นไร วางใจเถอะ”

เห็นอยู่กับตาว่าเมฆบินกำลังจะสัมผัสถูกเพลิงเซียนในหลุม แต่จู่ ๆ ก็แล่นข้ามเพลิงเซียนชนเข้ากับกำแพงหลุม ความเร็วของเมฆบินเร็วยิ่ง ตอนที่จะชนกับกำแพงหลุม โม่เทียนเกอกลับเห็นว่าบนกำแพงหลุมมีถ้ำภูเขาแห่งหนึ่ง เมฆบินพุ่งเข้าไปในถ้ำภูเขาในพริบตา

“ถึงแล้ว” ฉินซีเก็บเมฆบิน ทอดมองถ้ำภูเขาแห่งนี้ ถอนหายใจออกมา “แปดสิบกว่าปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะกลับมาที่นี่อีก”

โม่เทียนเกอกวาดมองทั้งสี่ทิศ ปากถ้ำถึงจะเล็กยิ่ง ด้านในถ้ำภูเขากลับกว้างขวางผิดธรรมดา สี่ทิศล้วนเป็นผนังศิลาสีแดงเข้ม ดูแล้วน่าหวาดกลัว

ที่นี่……ก็คือสถานที่ซึ่งบิดาสิ้นชีพลงหรือ โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า เดินไปได้ไม่ไกลมาก นางหยุดลงแล้ว

ส่วนลึกของถ้ำภูเขาเป็นแท่นศิลาหนึ่งแท่น บนแท่นศิลานอนไว้ด้วยโครงกระดูกแห้งผุ บนร่างสวมเสื้อผ้าหลวมโพลก ไม่มีเนื้อหนังสักนิดเดียว เหลือเพียงโครงกระดูกสีขาว

มองเห็นโครงกระดูกนี้ โม่เทียนเกอละสายตาไปไม่ได้เลย นางค่อย ๆ ขยับฝีเท้า ขยับจนไปถึงเบื้องหน้าแท่นศิลา คุกเข่าลงอย่างแผ่วเบา

“บิดา ในที่สุดข้า……ได้พบท่านแล้ว……”

ถึงจะเป็นเพียงเถ้ากระดูก แยกแยะเค้าโครงอันใดของบิดาไม่ออกเลย น้ำตาของโม่เทียนเกอยังคงตกลงมาอย่างห้ามไม่ได้ นางคิดถึงเรื่องราวมากมาย วัยเยาว์อันเดียวดาย มารดาที่เจ็บไข้ วันเวลาที่ลูกกำพร้ากับมารดาม่ายพึ่งพาซึ่งกันและกัน…… เวลานั้น นางวาดหวังเท่าใดให้บิดาสามารถกลับมา คนทั้งครอบครัวใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่จนกระทั่งมารดาลาโลกไป เขายังไม่ได้กลับมา

ตอนนั้น นางมิใช่ไม่เคยแค้นบิดา แต่ในใจคิดอยู่ตลอดว่าบางทีบิดาก็อาจจะมีความยากลำบาก เขามิใช่ไม่มารับนาง เขาจะต้องมีเรื่องราวอื่นจึงไม่มารับนาง

นางเดาถูกแล้ว แต่เดาสาเหตุไม่ถูก บิดามิใช่เพราะว่ามีเรื่องจึงไม่มารับนาง ทว่า……เขาตายอยู่ที่นี่

ก่อนที่เขาจะตายได้ฝากฝังนางไว้กับคนเพียงคนเดียวที่ตนเองสามารถไว้วางใจ น่าเสียดายที่เกิดอุบัติเหตุมากหลาย นางล่องลอยไร้รากอยู่สิบปี…… สุดท้าย คนที่เขาฝากฝังยังหานางพบ คุ้มครองนางอยู่หลายสิบปี แล้วยังกลายมาเป็นคนรักของนาง……

ฉินซีคุกเข่าลงข้างกายนางอย่างแผ่วเบา “เยี่ยซยง (พี่เยี่ย) นี่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าเรียกท่านว่าเยี่ยซยง วันนี้มาถึงที่นี่คือให้เทียนเกอมาเก็บเถ้ากระดูกของท่าน แล้วก็ให้ข้ามาบอกกล่าวเรื่องหนึ่งกับท่าน เรื่องที่สัญญากับท่าน หลายปีมานี้สกุลฉินบางคนได้ทำไปแล้ว เทียนเกอเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อีกทั้งกลายเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน ความรับผิดชอบของข้าถึงวันนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว”

เขาหันไปมองโม่เทียนเกอ ยิ้มจาง ๆ บีบมือของนาง พูดต่อไปอีกว่า “เยี่ยซยง วันนั้นท่านพูดว่า บุตรีของท่านหากครอบครองร่างอินบริสุทธิ์แล้วยังมีรากวิญญาณ เรื่องของการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ยกให้ข้าดูแลเป็นหลัก ความหมายในคำพูดของท่านข้าทราบดีอยู่แก่ใจ วันนี้ถึงผลลัพธ์จะคงเดิม ข้ากลับต้องอธิบายกับท่านว่าข้ากับเทียนเกอผูกสมัครรักใคร่ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่าน – ไปอย่างวางใจเถิด”

………………………………………..

เลิกเรียกพี่เปลี่ยนเป็นพ่อตา 5555

วันนี้มีคำว่า ซยง (兄) ซึ่งแปลได้ว่าพี่ชายเหมือน เกอ (哥) เราถึงเพิ่งกลับไปดูและพบว่า ซือเกอที่แปลมาตลอดความจริงเขาใช่คำว่า ซยง ต้องเป็น ซือซยงค่ะ แต่เนื่องจากเราคุ้นชินกับคำว่าซือเกอก็เลยแปลอย่างนี้เรื่อยมา…… ต่อไปก็คงจะซือเกอต่อไปนั่นล่ะ กลับตัวตอนนี้ไม่ทันแล้ว นอกจากนี้การเรียก เกอ ๆ ที่ผ่านมาน่าจะมีหลายอันอยู่ที่เป็นซยง….. ปวดหัวเลยเนี่ย อนาคตคงจะต้องดูให้ดี ๆ แต่ที่ผ่านมากก็ปล่อยไปแล้วกันค่ะ 5555

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท