ตอนที่ 306 – ความลับที่ใหญ่ที่สุด
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ประสบกับเรื่องอย่างกำแพงอาคมพังทลาย ฉินซีสงบนิ่งมาก แสดงกระบี่อัคนีสามพลังหยางออกมา แผ่ขยายม่านพลังกระบี่ ดึงตัวโม่เทียนเกอบินไปข้างหน้า ความเร็วหลบหนีของเมฆบินไปถึงขีดจำกัด บินไปที่ทางออกของภูเขามาร
ตลอดทาง ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนล้วนเคลื่อนไหวโดยพร้อมเพรียง บินหนีไปยังทางออก
นี่เป็นช่วงเวลาแห่งการหนีเอาชีวิตรอด ทุกผู้คนล้วนหยิบเอาทักษะพิเศษที่เก็บไว้ก้นหีบออกมา ไม่มีคนกล้าออมมืออีกแล้ว
ถึงจะเป็นเช่นนี้ ยังมีผู้ฝึกตนที่หนีออกไปไม่ทันถูกกำแพงอาคมที่พังทลายกลืนเข้าไป กลายเป็นเถ้าถ่านสีดำในพริบตา
โม่เทียนเกอเห็นกับตาว่าพรตเต๋าคูมู่และถงเทียนอวิ๋นสองคนที่ตอนเริ่มแรกร่วมทางกับพวกเขาก็ถูกกำแพงอาคมกลืนเข้าไปด้วย เสียชีวิตในพริบตา
เข้าภูเขามารมาไม่นานพวกเขาก็แยกทางกับสองคนนี้แล้ว ภายหลังจากปากคำของจิ่งสิงจื่อจึงรู้ว่าพวกเขามีจิตใจชั่วร้ายแอบแฝงจริง ๆ ต่อเฟิ่งเหนี่ยงจื่อเป็นการเห็นความตายโดยไม่ช่วย แล้วก็มองดูเหลยตงชิงเสียชีวิตไปอีก ทั้งสองคนกลับอาศัยหญ้าวิญญาณหมื่นปีต้นนั้นเกาะติดกับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ เข้าสู่ซากโบราณสถานเหล่าเซียน
ขณะนี้พวกเขาสองคนกลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ คิดว่าเกาะติดกับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เหล่านั้นไปแล้วก็ไม่ได้รับผลประโยชน์อะไร! ก็ใช่อยู่หรอก นางกับฉินซีสองคนมีซือฟุระดับการฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ก็ไม่เคยคิดจะติดตามเข้าไปกับประมุขเต๋าจิ้งเหอ พวกเขานึกจริง ๆ หรือว่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เหล่านั้นจะปกป้องพวกเขาเพื่อหญ้าวิญญาณหมื่นปีต้นเดียว บางทีพวกเขาอาจจะรู้ เพียงแต่อายุขัยจวนจะสิ้นสุดลงแล้ว ใส่ใจไม่ได้แล้ว
การพังทลายของกำแพงอาคมยิ่งมายิ่งเร็ว เสียงครืน ๆ ดังไม่จบไม่สิ้น ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนบินหนีไปที่ทางออก ฉินซีเริ่มแรกยังสงบนิ่ง ถึงตอนท้ายก็ลนลานแล้ว
การเคลื่อนไหวที่ใหญ่โตขนาดนี้เทียบกับเมื่อแปดสิบกว่าปีก่อนยังน่ากลัวกว่า ซือฟุคาดการณ์ได้ไม่ผิดเลย ครั้งนี้เทียบกับครั้งที่แล้วอันตรายยิ่งกว่า!
แต่คนจะวิ่งเร็วอีกแค่ไหนก็ไม่เร็วเท่ากำแพงอาคมพังทลาย อย่างรวดเร็วมาก ผู้ฝึกตนด้านหลังพวกเขาไม่ไกลก็ถูกกลืนเข้าไปแล้ว เสียงร้องน่าสังเวชดังอยู่ข้างหูไม่จบไม่สิ้น
“ไม่ไหว!” โม่เทียนเกอร้อง “พวกเราเป็นอย่างนี้หนีไม่ได้……”
ฉินซีจะไม่รู้ได้อย่างใด แต่เวลานี้จะไปเสาะหาสถานที่ปลอดภัยได้ที่ไหน ภูเขามารพังทลายครั้งที่แล้ว นั่นเป็นเขากับเยี่ยไห่โชคดี พอดีหลบอยู่ในถ้ำภูเขาของยอดเขาว่านเริ่น หากมิเช่นนั้นก็จะต้องหนีไม่รอดแน่นอน!
เวลานี้ เขาก็ไม่ใส่ใจที่จะออมมือแล้ว ม่านพลังกระบี่แผ่ขยาย ส่องแสงเจิดจ้า สกัดกั้นอำแพงอาคมล่องลอยที่ยิ่งมายิ่งมากในอากาศ มือขยับไม่หยุด คุ้ยสมบัติหลายชิ้นออกมาจากในกระเป๋าเอกภพ บางอันแปะไว้บนร่างตนเอง บางอันยัดเยียดให้โม่เทียนเกอ กล่าวอย่างรีบร้อนว่า “อย่างน้อยที่สุดก็สามารถกันไว้ได้”
เหนือศีรษะมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น โม่เทียนเกอสีหน้าแปรเปลี่ยนกลับกลาย ได้ยินเพียงฉินซีพูดว่า “ไม่ทันแล้ว ได้แต่สู้สักตั้ง!” ว่าแล้วเขาทำศาสตร์มุทรา พลังวิญญาณทั้งร่างขยับ ตั้งใจจะใช้ทักษะลับ
โม่เทียนเกอตะลึงในใจ ถึงนางจะไม่รู้ว่าที่ฉินซีใช้ออกมาเป็นทักษะลับอะไร แต่ศาสตร์นิ้วของเขานางกลับดูออก นี่เป็นการจะใช้เลือดสกัด! ทักษะเวทอย่างนี้พอใช้ออกมา ผลลัพธ์ที่ดีคือพักผ่อนช่วงระยะเวลาหนึ่ง ผลลัพธ์ที่แย่ก็คือระดับการฝึกตนเสื่อมถอย! เขาอยู่ก่อเกิดตานเต็มขั้นแล้ว หากระดับการฝึกตนเสื่อมถอยก็ไม่รู้ว่านานเท่าไรจึงจะสามารถผูกจิตวิญญาณได้
“ซือเกอ อย่า –”
ฉินซีไม่สนใจ บังคับเลือดสกัดหลายหยดออกมาจากในร่างกาย เขาเหยียดมืออกไป บนตัวกระบี่เกิดแสงสีแดงสว่างขึ้นมาในพริบตา กำลังจะเร่งเร้ากระบี่อัคนีสามพลังหยาง ชั่วพริบตาถัดมาจู่ ๆ พลังวิญญาณก็ไม่มั่นคง แสงสีแดงบนตัวกระบี่อัคนีสามพลังหยางอ่อนลง เขาสีหน้าแปรเปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้ใช้เลือดสกัดเสาะหาตำแหน่งของเทียนเกอความแข็งแกร่งของเขาก็สูญเสียไปบ้างแล้ว ขณะนี้แม้แต่ทักษะลับก็ใช้ไม่ได้แล้ว
เมื่อพบจุดนี้ฉินซีก็ลนลานขึ้นมาจริง ๆ แล้ว! ก่อนหน้านี้เนื่องจากทักษะลับอันนี้ เขาสงบนิ่งมากมาโดยตลอด อย่างมากก็เสี่ยงรับความบาดเจ็บพาเทียนเกอออกไป แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเนื่องจากก่อนหน้านี้สูญเสียเลือดสกัด ไม่มีทางใช้ทักษะลับออกมา!
“เทียนเกอ!” ในใจพลิกตลบเป็นร้อยเป็นพันรอบ ท้ายที่สุด ฉินซีกัดฟัน กุมมือของโม่เทียนเกอเอ่ยว่า “หากหนีไม่ได้ พวกเราก็ตายด้วยกันเถอะ!” พูดแล้วก็ไม่รอให้นางตอบคำ กลายร่างเป็นแสงหลบหนีอีกครั้ง บินหนีไปที่ทางออก ตอนนี้ชีวิตอยู่ในห้วงคับขันแล้ว
โม่เทียนเกอกลับดึงมือของเขากะทันหัน หยุดชะงักลงไป
“เทียนเกอ!” ฉินซีกระวนกระวาย “เป็นไรหรือ”
โม่เทียนเกอสีหน้าเคร่งขรึม เงยหน้าขึ้นมอง บนท้องฟ้าเมฆดำพลิกตลบ ครอบคลุมทั่วแผ่นฟ้า เห็นได้ชัดว่ากำแพงอาคมที่เพิ่งเปิดไม่เสถียร ก่อให้เกิดการพังทลายของกำแพงอาคมบนท้องฟ้าเป็นบริเวณกว้าง เป็นอย่างนี้ต่อไปเพียงชั่วขณะก็จะถล่มมาถึงตรงนี้ ถึงเมฆบินของฉินซีจะมีความเร็วยิ่ง แต่จะสามารถหนีพ้นหรือไม่บอกได้ยากจริง ๆ
ฉินซีลนลานแล้ว “ยังไม่ไปอีกก็ไม่ทันแล้วนะ!”
โม่เทียนเกอไม่พูดไม่จา กอดเอวของเขา รวบรวมพลังวิญญาณที่ปลายนิ้ว ชี้ไปที่หว่างคิ้ว ไข่มุกทรงกลมอันใหญ่ลูกหนึ่งปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้ว ส่องแสงสีขาวอันเลือนรางออกมา
ฉินซีเบิกตากว้าง นี่คือ—
เสียงวายุอัสนีบนฟ้าเข้มข้นยิ่งขึ้น ความเร็วที่กำแพงอาคมพังทลายยังเร็วไปกว่าที่พวกเขาคาดคิด บนพื้นมีคนถูกม้วนเข้าไปไม่หยุด ถึงขนาดที่ว่าแม้แต่จะร้องโหยหวนยังไม่มีเวลาจะร้องก็หายลับไปไม่เหลือร่องรอยอย่างนี้แล้ว
โม่เทียนเกอท่องคาถาเงียบ ๆ ใช้ศาสตร์เวทตีไปที่ไข่มุก แสงสีขาวระเบิดออกทันใด กลืนทั้งสองคนเข้าไป
หลังจากแสงขาวจางหาย ฉินซีตะลึงงันแล้ว
เรือนไม้ไผ่ ป่าไผ่ ลมบริสุทธิ์พัดโชย ลำธารน้อยไหลริน ยังมีกลิ่นสมุนไพรวนเวียนที่ปลายจมูก
คุ้นเคยอยู่บ้าง แต่ก็เป็นทิวทัศน์ที่ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง
พอเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน โม่เทียนเกอผ่อนลมหายใจออกมา เฟยเฟยส่ายหางทิ้งตัวเข้าสู่อ้อมอกนาง ร้องจิ๊ ๆ
นางยิ้ม กอดเฟยเฟยอย่างรักใคร่ สุดท้ายลูบหัวของมัน ปล่อยเสี่ยวหั่วจากในกระเป๋าสัตว์วิญญาณ ให้พวกมันสองตัวไปเล่น มองดูอย่างละเอียด นานแล้วที่ไม่ได้เก็บกวาด ในแปลงสมุนไพรมีวัชพืชงอกขึ้นมาอีกแล้ว นางเอาหุ่นเชิดหินสลักออกมาจากในกระเป๋าเอกภพ ให้พวกมันไปเก็บกวาดแปลงสมุนไพร หุ่นเชิดสองตัวนี้ที่พละกำลังไร้ผู้ต้านดันมาทำงานจิปาถะแทนนาง
ทำพวกนี้เสร็จแล้ว นางเงยหน้ามอง ฉินซีในที่สุดก็ได้สติกลับคืนมาแล้ว
ในแววตาของเขามีความตื่นตะลึง แล้วก็มีความตระหนักรู้ ประสานสายตากับนาง อุทานออกมาว่า “ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว ที่แท้นี่จึงเป็นความลับที่ใหญ่ที่สุดของเจ้า”
โม่เทียนเกอยิ้มแย้ม จูงเขาเข้าไปในเรือนไม้ไผ่ หยิบเบาะหนึ่งใบขึ้นมาโยนให้เขา “เรื่องอื่นท่านไม่ต้องถามแล้วสินะ?”
“อืม” ฉินซีค่อย ๆ ย้อนรำลึก ทักษะหลอมยาของนาง โอสถเหล่านั้นของนาง หญ้าวิญญาณหมื่นปี ระดับการฝึกตนของสัตว์วิญญาณ เรื่องราวที่ทำให้คนไม่เข้าใจทั้งหมดของนางล้วนมีที่มาจากตรงนี้ : โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน!
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถามว่า “โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนี้ของเจ้ามาจากไหนหรือ น่าจะมิใช่บรรพบุรุษท่านนั้นของเจ้ามอบให้สินะ?”
โม่เทียนเกอส่ายหน้า “มิใช่” จงมู่หลิงเคยพูดว่า โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนอันเป็นที่รู้จักมีเพียงสอง ล้วนเป็นของผู้ฝึกตนแปลงเทพ จะเอาจากที่ไหนมามอบให้นางหนึ่งอัน ถึงจะมี ปีนั้นนางเป็นแค่ผู้ฝึกตนสร้างฐานพลัง จะไม่มอบให้นาง
“เช่นนั้นเจ้าได้มาอย่างไร”
โม่เทียนเกอคิดแล้วเอ่ยว่า “ถือเป็นวาสนาน่ะ ตอนที่ได้สิ่งของนี้มา ข้าเดิมไม่รู้ว่าคืออะไร ภายหลังเข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของบรรพบุรุษจึงรู้ว่าที่แท้เป็นของเล่นนี้”
“ตอนนั้น……” ฉินซีพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้ว “มิน่าเล่าตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ระดับการฝึกตนของเจ้าจึงพัฒนาได้เร็วปานนั้น ที่แท้ไม่ใช่แค่เพราะว่าได้รับศาสตร์แห่งต้นกำเนิด อีกทั้งยังได้รับสมบัติท้าทายสวรรค์เช่นนี้”
โม่เทียนเกอเห็นเขาน้ำเสียงเต็มไปด้วยความทอดถอน ในแววตากลับไร้ความละโมบสักครึ่งส่วน ยิ้มออกมาบาง ๆ ให้เขารู้ความลับที่ใหญ่ขนาดนี้เดิมทีเป็นการวางเดิมพันหนึ่งครั้ง โชคดีที่จนถึงขณะนี้เขาไม่ได้ทรยศต่อความไว้วางใจของนาง
“ท่าน…… ไม่ถามว่าเพราะอะไรข้าไม่บ่งบอกท่านหรือ”
ได้ยินคำถามนี้ของนาง ฉินซียิ้มแล้ว เอื้อมมือไปแตะใบหน้าของนาง เอ่ยว่า “นี่ต้องถามหรือ ถึงจะเป็นตัวข้าเองก็จะไม่บ่งบอกความลับที่ใหญ่ขนาดนี้ต่อผู้อื่น ราษฎรไร้ผิด ผิดที่ครอบครองหยก ที่โลกฝึกเซียนยิ่งเป็นเช่นนี้เป็นเป็นพิเศษ เจ้าเข้าใจการปกป้องตัวเอง นั่นดีที่สุดแล้ว”
โม่เทียนเกอเงยหน้ามองเขา ถามอีกว่า “พูดอย่างนี้ หากข้าไม่บ่งบอกต่อท่านเลยตลอดไป ท่านก็จะไม่ตำหนิข้า?”
ฉินซีส่ายหน้า “จะตำหนิเจ้าเพราะอะไร ถึงเจ้าจะไม่พูดจนชั่วชีวิต ข้าก็ไม่มีอะไรจะตำหนิเจ้า อันที่จริงข้ารู้สึกว่าวันนี้เจ้าพาข้าเข้ามาค่อนข้างเสี่ยงทีเดียว เจ้ามั่นใจขนาดนี้เลยหรือว่าข้าเห็นโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนี้แล้วจะไม่เกิดจิตใจชั่วร้าย”
โม่เทียนเกอลังเลครู่หนึ่ง ตอบว่า “เมื่อครู่ไม่มีเวลาจะคิดสิ่งอื่น เพียงคิดว่าพวกเราไม่สามารถตายอยู่ที่นั่น…… อีกอย่าง ที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนี้ข้าเป็นนาย อยู่ที่นี่ ท่านทำร้ายข้าไม่ได้หรอก”
“คนที่มีเล่ห์เหลี่ยมล้ำลึกอย่างแท้จริงจะไม่ทำร้ายเจ้าที่นี่” ฉินซีเอ่ย “หากข้าหลังจากรู้ความลับของเข้าแล้วไม่มีท่าทีผิดปกติอันใดที่นี่ แต่หลังจากออกไปก็กักขังเจ้าเอาไว้ ขอถามเจ้าว่า เจ้าควรจะทำเยี่ยงไร”
น้ำเสียงของเขาเข้มงวดอยู่บ้าง ถึงขนาดเจือด้วยการกล่าวหา
โม่เทียนเกอตะลึงไป ถามว่า “ข้าเชื่อท่าน ไม่ดีหรือ”
ฉินซีถอนหายใจ พูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเชื่อข้า แต่รู้จักคนรู้หน้าไม่รู้ใจ …… ความไว้วางใจมีบางครั้งที่จะต้องจ่ายค่าตอบแทน และอันนี้ของเจ้า ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายออกไปมันใหญ่โตเกินไป เกิดไม่ระวังก็จะร่างแหลกเหลวเลย!”
เห็นโม่เทียนเกอถูกดุจนก้มศีรษะ ฉินซียิ้มขึ้นมาอีก “แน่นอนว่าข้าสามารถเป็นข้อยกเว้น เพียงแต่ว่าจะต้องไม่มีครั้งหน้าเด็ดขาด รู้รึเปล่า”
“อืม” โม่เทียนเกอเผยรอยยิ้มออกมา “ย่อมจะไม่มีครั้งหน้า ถ้าหากมิใช่ท่าน ข้าก็ไม่พาท่านเข้ามาหรอก!”
คำถามนี้นางเคยคิดมาหลายครั้งมาก ๆ หากมิใช่อันตรายถึงแก่ชีวิตของวันนี้นางไม่มีเวลาให้ใคร่ครวญ ก็จะไม่พาฉินซีเข้ามา ในความเป็นจริงแล้ว หลังจากที่พาเขาเข้ามาในใจนางก็หวาดหวั่น แต่ปฏิกิริยาเมื่อครู่ของฉินซีทำให้นางรู้สึกว่าความไว้วางใจของตนเองคุ้มค่าแล้ว
คิดถึงภยันตรายของวันนี้ นางถามอย่างกังวลใจว่า “ซือฟุยังอยู่ที่ซากโบราณสถานเหล่าเซียน จะมีอันตรายหรือไม่”
ปัญหานี้ทำให้ฉินซีเงียบงันไปครู่หนึ่ง เขาจะไม่กังวลใจได้อย่างไร แต่ตอนนี้กำแพงอาคมใหญ่ในภูเขามารพังทลาย พวกเขาไม่สามารถออกไปได้เป็นอันขาด
“ซือฟุมิใช่คนที่จะล้มลงอย่างง่ายดายขนาดนั้น” เขาเอ่ย “พวกเราดูแลตัวเองก่อนเถิด ผ่านไปหลายวัน รอจนกำแพงอาคมเสถียรค่อยไปเสาะหาตำแหน่งของซือฟุ”
“อืม” โม่เทียนเกอก็ไม่มีหนทางที่ดีอะไร ได้แต่เป็นเช่นนี้แล้ว
สัมผัสได้ว่าบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนหนักอึ้งอยู่บ้าง นางหัวเราะขึ้นมา “ในเมื่อเข้ามาแล้ว ข้าพาท่านไปดูแปลงสมุนไพรเถอะ ทักษะปรุงยาข้ายังไม่เท่ากับท่าน จะจัดการกับหญ้าวิญญาณพวกนี้อย่างไร ท่านอาจจะสามารถให้คำแนะนำแก่ข้าสักหน่อย” พูดแล้วก็ดึงเขาไปที่แปลงสมุนไพร หยิบยกเรื่องในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนมาเล่าให้เขาฟังบางส่วน
ฉินซีมองดูสมุนไพรที่ขึ้นอย่างแน่นขนัดในแปลงสมุนไพร ตกตะลึงไปพักใหญ่ อุทานออกมาว่า “สมุนไพรเหล่านี้เพียงพอให้สำนักใหญ่แห่งหนึ่งใช้ไปหลายร้อยปีแล้ว หากว่าไม่เก็บเกี่ยวจนเกินไป เพียงพอที่จะสนับสนุนสำนักแห่งหนึ่งให้เป็นใหญ่ในเทียนจี๋ตลอดไปเลย”
“ถ้าพูดอย่างนี้ข้าไม่กล้าหยิบออกไปใช้แล้ว หญ้าวิญญาณหมื่นปีหนึ่งต้นสามารถทำให้ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ลงมือช่วงชิง หลายต้นขนาดนี้…… ไม่รู้ว่าจะก่อให้เกิดความปั่นป่วนอะไร”
“อืม เจ้าพูดถูก” ฉินซีเห็นด้วย “ถึงจะเน่าอยู่ที่นี่ก็ไม่สามารถหยิบออกมาตามอำเภอใจ ไม่อย่างนั้นไม่เพียงเจ้าจะมีความยุ่งยากครั้งใหญ่ เทียนจี๋ก็จะเกิดจราจลด้วย”
เข้าก้มหน้ามองดูแปลงสมุนไพรโดยรอบ มีหญ้าวิญญาณมากมายที่เพียงเคยได้ยินมาในตำนานแต่ไม่เคยพบเห็น หญ้าวิญญาณพวกนี้ผ่านการดูแล อายุจากสูงไปต่ำ จากหมื่นปีถึงพันปีถึงหลายร้อยปี มีบ้างที่เพียงเพิ่งจะหยั่งราก
“เจ้าบอกว่าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนคงอยู่มาหลายแสนปีแล้ว เพราะอะไรหญ้าวิญญาณเหล่านี้ที่มีอายุมากที่สุดก็เพียงแค่หลายหมื่นปีเล่า”
คำถามนี้โม่เทียนเกอรับรู้มาจากความทรงจำในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน “หญ้าวิญญาณก็มีอายุขัย พูดโดยทั่วไปแล้วคือหนึ่งหมื่นปีถึงหลายหมื่นปี ดังนั้นให้ดีที่สุดตอนที่ถึงหมื่นปีก็เก็บพวกมันมาหลอมปรุงเป็นโอสถเสีย เพราะว่าเวลานี้ คุณสมบัติยาของพวกมันจะไปถึงขีดจำกัด เติบโตต่อไปอีกก็เพียงแต่จะตาย”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” เป็นครั้งแรกที่ฉินซีได้ยินเรื่องพวกนี้ โลกฝึกเซียนในปัจจุบัน หญ้าวิญญาณหมื่นปีน้อยนักจะปรากฏขึ้นบนโลก เรื่องราวนี้ไม่มีใครรู้จริง ๆ
โม่เทียนเกอยืนอยู่ในแปลงสมุนไพร มองดูหญ้าวิญญาณที่ถึงหมื่นปีแล้วมากมาย มองดูหุ่นเชิดหินสลักที่กำลังยุ่งสองตัวนั้นอีกที ยิ้มเอ่ยว่า “ในเมื่อพวกเราออกไปไม่ได้ก็มาช่วยข้าจัดระเบียบแปลงสมุนไพรเถอะ!”
…………………………………..