ตอนที่ 310 – น้ำไหลถึงก่อเกิดคูคลอง
คนสองคนติดอยู่ในสถานที่อันประดุจดั่งสวนท้อเหนือโลกีย์ บูชาฟ้าดิน ทำสาบานเลือด เรื่องราวบางอย่างก็เกิดขึ้นตามครรลอง วันเวลาซึ่งเดิมทีสงบสุขอบอุ่นนี้จึงมีความหวานเพิ่มขึ้นเป็นครั้งคราว
พวกเขาล้วนมิได้มีนิสัยระอุอุ่น ถึงจะยืนยันความรักและฝึกตนร่วมสัมพันธ์แล้วก็เพียงแค่มีความสุขกับความอบอุ่นอันอ่อนจางนี้
โม่เทียนเกอพึงพอใจต่อวันเวลาอย่างนี้มาก ไม่รู้สึกว่าเหงาเกินไป แล้วก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการฝึกตน พวกเขาอยู่ร่วมกันเช่นนี้ เป็นเพื่อนกันและกัน สามารถค้นคว้าเรื่องการฝึกตน สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
เพียงแค่หลังจากที่พวกเขาอยู่ร่วมกันไม่นานมาก ฉินซีก็ค้นพบว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง
จากนั้นเป็นโม่เทียนเกอ นางก็รู้สึกว่าในตานเถียนของตนเองคล้ายกับจะมีอะไรขยับเขยื้อน
พวกเขาล้วนค้นพบอาการลุกนั่งไม่เป็นสุขของอีกฝ่าย
โม่เทียนเกอถามก่อนว่า “ท่านมีตรงไหนไม่ถูกต้องใช่หรือไม่”
ฉินซีขมวดคิ้ว พยักหน้า ถามเหมือนกันว่า “เจ้าเล่า? ก็รู้สึกหรือไม่ว่า……”
“อืม” โม่เทียนเกอพะว้าพะวังอยู่บ้าง “อันนี้ ทำอย่างไร? พลังวิญญาณที่ได้รับมาอย่างนี้จะไม่เสถียรหรือไม่”
“ได้อย่างไรเล่า” คำถามนี้ทำให้ฉินซียิ้มแล้ว หากมีปัญหาทำไมโลกฝึกเซียนยังมีคนตั้งมากขนาดนี้ฝึกตนร่วมสัมพันธ์? “อย่าคิดมาก เจ้าฝึกตนให้ดี ๆ ก็พอ” เขาหยุดชะงักแล้วเอ่ยอีกว่า “เดิมทีข้าเตรียมจะรออีกสักช่วงหนึ่งค่อยผูกจิตวิญญาณ แต่ตอนนี้กลับรอไม่ได้แล้ว”
“เอ๊ะ?”
“ตอนนี้พลังวิญญาณในกายข้าโหมกระหน่ำ ตานเถียนและชีพจรปราณไม่อาจรองรับได้แล้ว หากปล่อยพลังวิญญาณพวกนี้ไว้อย่างนี้กลับไม่เป็นการดีต่อตนเอง ดังนั้นจำเป็นต้องผูกจิตวิญญาณแล้ว”
“อ้อ” โม่เทียนเกอฟังเข้าใจแล้ว พลังวิญญาณสั่งสมถึงระดับหนึ่ง ร่างกายไม่อาจกักเก็บได้อีกก็จะเรียกร้องให้เลื่อนระดับโดยอัตโนมัติ คิดว่าตอนนี้เขาจะต้องกำลังมาถึงขั้นตอนนี้แล้ว
“เช่นนั้นเมื่อใดท่านจะผูกจิตวิญญาณ”
ฉินซีคิดแล้วเอ่ยว่า “สามวันให้หลังเถอะ พลังวิญญาณนี้ไม่อาจสะกดกลั้นได้นานนัก”
“เร็วอย่างนี้เชียวหรือ”
ฉินซีลูบศีรษะนาง ยิ้มว่า “ไม่มีทางแล้ว ข้าก็คิดไม่ถึงว่าหลังจากฝึกตนร่วมสัมพันธ์จะเป็นอย่างนี้…… จู่ ๆ ได้รับพลังวิญญาณมากขนาดนี้ เจ้าก็คงจะไม่สบายเหมือนกัน ไม่สู้ฉวยตอนที่ข้าผูกจิตวิญญาณกักตนให้ดี ๆ ไม่แน่ว่จะสามารถเข้าสู่ก่อเกิดตานขั้นกลางได้ในคราเดียว”
“อืม” โม่เทียนเกอพยักหน้า ยอมรับข้อเสนอแนะของเขา ก่อเกิดตานมาได้หกเจ็ดปีแล้ว นางปรับตัวมาโดยตลอด ปัจจุบันนี้อาวุธเวทคู่ชีพสำเร็จแล้ว วิชาเวทต่าง ๆ นานาก็ค่อย ๆ มีความเข้าใจ เป็นเวลาที่จะกักตนต่อไปแล้ว
คิดจะเข้าสู่ก่อเกิดตานขั้นกลางได้ในคราเดียวยังคงยากมาก ผู้ฝึกตนทั่วไปอยู่ที่ก่อเกิดตานขึ้นต้นทั่วไปแล้วต้องเสียเวลานานหลายร้อยปี แม้แต่ผู้ฝึกตนอัจฉริยะก็ต้องสามสี่ร้อยปี แน่นอนว่าก็ไม่ใช่ไม่มีความหวังแม้แต่นิดเดียว พลังวิญญาณอันเต็มเปี่ยมในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ยาฟ้ากระจ่างนับไม่ถ้วนใช้ไม่หมดไม่สิ้น บวกกับพลังวิญญาณหยางที่ได้รับจากฉินซี…… หากนางฝึกตนอย่างราบรื่น ไม่แน่ว่าจะสามารถพุ่งขึ้นก่อเกิดตานขั้นกลางในช่วงเวลานี้ได้จริง ๆ แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ไม่แน่ว่าจะมีความเสี่ยงที่ระดับชั้นไม่เสถียรขึ้นมาอีก……
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร พลังวิญญาณไม่เสถียร นางก็จำเป็นต้องกักตนแล้ว
หลังจากทั้งสองคนพูดตกลงกันเช่นนี้ สามวันถัดไป ต่างคนต่างทำการเตรียมตัวสำหรับการกักตน
เวลาหลายปีนี้ที่พวกเขาจัดระเบียบแปลงสมุนไพรได้หลอมโอสถออกมามากมาย ไม่ต้องหลอมโอสถอีกเป็นการชั่วคราว ด้วยเหตุนี้การเตรียมการก็เรียบง่ายแล้ว เพียงแค่จัดแจงห้องฝึกตนที่จะกักตนใหม่เท่านั้น
การผูกจิตวิญญาณไม่เหมือนการฝึกตนตามปกติ ไม่สามารถถูกคนรบกวนได้เป็นอันขาด แม้แต่โม่เทียนเกอจะเพียงแค่ดูอยู่ข้าง ๆ ก็ไม่ได้ ดังนั้นจะต้องเป็นห้องฝึกตนที่แยกเป็นเอกเทศ
เพื่อการนี้ โม่เทียนเกอจงใจเอาม่านพลังรวบรวมพลังวิญญาณหนึ่งอันในหนังสือม่านพลังเสวียนจีติดตั้งให้ฉินซีในห้องฝึกตนอันเป็นเอกเทศ วิชาม่านพลังที่ฉินซีใช้อยู่ถึงจะเป็นของดี แต่ทางด้านนี้ถึงอย่างไรก็ไม่สู้โม่เทียนเกอ หนังสือม่านพลังเสวียนจีกล่าวได้ว่าเป็นตำราม่านพลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเทียนจี๋ มีของสิ่งนี้อยู่ ความสำเร็จในวิชาม่านพลังของโม่เทียนเกอเอามาจัดอันดับในเทียนจี๋ ผู้ที่เหนือกว่านับได้ถ้วนเลย
เพียงเสียเวลาไปหนึ่งวันก็เตรียมการสิ่งของทุกอย่างแล้วเสร็จ สองวันที่เหลือ ทั้งสองคนก็ไม่ได้ทำอย่างอื่น เพียงเดินเล่นเอ่ยความในใจ ผ่อนคลายอารมณ์ ในการผูกจิตวิญญาณสภาวะจิตใจสำคัญมาก อารมณ์ก็เป็นหนึ่งในสภาวะจิตใจ
ถึงวันที่สาม ฉินซีมองดูเวลา ในที่สุดเอ่ยว่า “จวนจะถึงเวลาแล้ว”
โม่เทียนเกอเห็นเขาสีหน้าเคร่งขรึม อดถามมิได้ว่า “ท่าน……ยังดีอยู่นะ?”
ฉินซีก้มหน้ามองนาง “อะไรยังดี?”
โม่เทียนเกอใคร่ครวญในใจ เอ่ยอย่างปลอบประโลมว่า “ปัจจุบันนี้ท่านฝึกตนเต็มขั้นแล้ว พลังวิญญาณเต็มเปี่ยม การผูกจิตวิญญาณเป็นเรื่องที่น้ำไหลถึงก่อเกิดคูคลอง อย่าได้เคร่งเครียดเลย”
ฉินซีชะงัก ยิ้มแล้ว “เจ้ากลัวว่าข้าก่อนหน้านี้ผูกจิตวิญญาณล้มเหลวสามครั้ง ในใจมีเงามืดหรือ”
“……” โม่เทียนเกอยิ้มอย่างอิหลักอิเหลื่ออยู่บ้าง “ข้าไม่เคยผูกจิตวิญญาณ ไม่มีหนทางออกความเห็นให้ท่าน……”
พูดยังไม่ทันจบ ฉินซีกลับถอนหายใจออกมา เอื้อมมือไปกอดนาง
โม่เทียนเกอคิดแล้วกลืนคำพูดที่เหลือกลับลงไป ยื่นมือออกไปโอบเอวของเขาเช่นกัน
ทั้งสองคนโอบกอดกันเงียบ ๆ ครู่หนึ่ง ฉินซีอ้าปากขึ้นมา น้ำเสียงอ่อนโยน “จิตใจของเจ้าข้าเข้าใจดี วางใจเถิด ตัวข้ารู้ว่าทำอะไรอยู่”
“……อืม” โม่เทียนเกอตอบรับเบา ๆ นางรู้ว่าเขามีความคิดเป็นของตัวเองเสมอ ปัจจุบันนี้จิตมารถูกทำลายแล้ว ทำอะไรอยู่ตนเองทราบประจ่าง แต่ว่านางยังอดห่วงไม่ได้
ความรู้สึกชนิดนี้นางไม่เคยมีเลย นางมิใช่ไม่เคยห่วงคนอื่น ตอนยังเล็กเป็นมารดา ภายหลังเป็นท่านอารอง แต่ว่าสองคนนี้ถึงนางจะห่วงก็จะไม่มีความรู้สึกอย่างนี้อยู่ในใจตลอดเวลา นางนึกมาตลอดว่าอารมณ์ของตนเองสงบนิ่งมาก ขณะนี้จึงรู้สึกได้ว่าที่แท้ในเวลาเดียวกับที่สงบนิ่งก็สามารถรุนแรงมากได้ด้วย
อดกอดแน่นขึ้นอีกไม่ได้ ไม่ใช่กลัวจะสูญเสีย ทว่าอยากจะใกล้ชิดยิ่งขึ้น
ใต้แก้ม ทรวงอกของฉินซีขยับไหว ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นอีกทั้งพึ่งพาได้
เวลาผ่านไปทีละนิด ๆ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดนางปล่อยออกมา “ท่าน…… เข้าไปเถิด”
ฉินซีกลับไม่ขยับ ยังคงกอดรอบเอวของนางอย่างมั่นคง
“……ซือเกอ?”
เนิ่นนานให้หลัง เขาถอนหายใจยาว “ครั้งแรกที่รู้สึกว่าไม่เต็มใจจะกักตนอยู่บ้าง”
โม่เทียนเกอไม่พูดจา บนใบหน้ากลับปรากฏรอยยิ้มอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความรู้สึกที่อารมณ์สามารถได้รับการตอบสนองอย่างนี้ช่างดีแท้ ๆ
“กลัวอะไร” นางเอ่ยเสียงอ่อน ๆ “รอท่านออกมา ข้าก็ยังจะอยู่ที่นี่”
“แต่ว่า…… จะไม่ได้พบกันตั้งหลายปี” เขาพูด น้ำเสียงแผ่วเบา
ประโยคนี้ทำให้โม่เทียนเกอตะลึงงัน จากนั้นก็ถอนหายใจ นี่ก็คือผู้ฝึกตน นอกเสียจากภายภาคหน้าระดับการฝึกตนของพวกเขาใกล้เคียงกัน ปรับแก้วิชาเวทชนิดเดียวกัน จึงจะสามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่คนหนึ่งกักตนหลายปีไม่ได้พบหน้ากันได้
นางไม่รู้สึกเลยว่าคนสองคนจะต้องเกาะติดอยู่ด้วยกันตลอด แต่ว่าความรู้สึกที่ต้องแยกจากกันเป็นครั้งคราวหลายปีหรือถึงขนาดหลายสิบปีมันไม่ค่อยจะน่ายินดีจริง ๆ
แต่ว่าไม่ว่าภายหลังจะเป็นอย่างไร การผูกจิตวิญญาณเป็นการแยกจากที่จำเป็น คิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอเร่งเขาอีกว่า “เวลาไม่เช้าแล้ว ท่านยังไม่เข้าไปอีก?”
ฉินซียังคงไม่ขยับ
โม่เทียนเกอลนลานนิดหน่อยแล้ว ครั้งนี้เขาไม่ได้เลือกเวลาผูกจิตวิญญาณด้วยตนเองเลย ทว่าเป็นร่างกายมาถึงขีดจำกัดแล้ว หากถ่วงเวลาเนิ่นช้าไป นางก็ไม่รู้ว่าจะมีอันตรายหรือไม่ จึงผลักเขาว่า “ซือเกอ!”
ฉินซีขยับแล้ว เอ่ยว่า “เจ้าเรียกข้าว่าอะไร”
โม่เทียนเกอตะลึงไป “อะไรนะ”
“จู่ ๆ ข้าก็คิดขึ้นมาได้ว่า พวกเราเป็นสามีภรรยากันแล้ว หรือว่าเจ้าไม่ควรเปลี่ยนคำเรียกขาน?”
หัวข้อที่เปลี่ยนอย่างกะทันหันทำให้โม่เทียนเกอตั้งรับไม่ทันอยู่บ้าง “แต่ท่านเดิมทีก็เป็นซือเกอข้า……ไม่อย่างนั้นให้เรียกว่าอะไร”
ฉินซีก้มหน้าลงหัวเราะแผ่วเบา “ในโรงเรียนเสวียนชิงคนที่เรียกข้าว่าซือเกอถึงจะมีไม่มาก แต่ก็มีอยู่หลายคน…… ข้าอยากได้คำเรียกขานอย่างหนึ่งที่จะเป็นของเจ้าเพียงคนเดียว”
ความสนิทสนมในคำพูดนี้ทำให้ใบหน้าของโม่เทียนเกอร้อนขึ้นมา “ท่านพูดอะไร”
ฉินซีก้มหน้าลงมองดวงตาทั้งคู่ของนาง เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “เรียกข้าว่าสามี ดีหรือไม่”
“……” โม่เทียนเกอรู้สึกว่าหน้าร้อนมาก ควบคุมตัวเองอยู่นานมาก ในที่สุดบีบออกมาสองคำว่า “ไม่เอา”
ฉินซีเลิกคิ้ว ฉงนอยู่บ้าง “เพราะอะไร”
“ไม่เอาก็คือไม่เอา” อันนี้…… ถึงนางจะรู้ว่าทั้งสองคนเป็นสามีภรรยากันแล้ว แต่คำสองคำนี้ก็เรียกออกจากปากไม่ได้ สนิทสนมเกินไปแล้ว……
“ก็เรียกสักคำ คำเดียวก็ไม่ได้หรือ”
“ไม่เอา” โม่เทียนเกอเบือนหน้าไปด้านข้างอย่างหนักแน่น ไม่ได้ นางเรียกไม่ออก
ฉินซียืนกราน จับศีรษะนางหันมา “ข้าจะต้องไปกักตนอยู่แล้ว ตั้งหลายปีที่จะไม่ได้พบกัน เจ้าก็จะไม่แม้แต่จะเรียกสักคำหรือ”
“……ไม่เอา”
“ไม่เอาจริง ๆ?”
“ไม่เอา”
นางถึงตายก็ไม่ปริปาก ฉินซีได้แต่เพียงถอนหายใจ “เอาเถอะ ไม่เรียกก็ได้ เช่นนั้นก็ต้องทำอะไรหน่อยนะ”
“……”
เห็นนางไม่มีปฏิกิริยา ฉินซีทอดมองนางต่อไป
โม่เทียนเกอขบฟัน ดึงศีรษะของเขาลงมา ประทับไปที่ริมฝีปากของเขาเร็ว ๆ “ได้แล้วนะ……อืมม์……”
พูดยังไม่จบ เขาดึงนางกลับมาอย่างรวดเร็วมาก ครั้งนี้มิใช่สัมผัสแผ่วเบาดุจแมลงปอแตะผิวน้ำ ทว่าเป็นจุมพิตลึกซึ้งที่ลิ้นและริมฝีปากพัวพันกัน
“อย่าพูด” ฉินซีกระซิบระหว่างริมฝีปากและฟันของนาง จุมพิตอีกครั้ง แขนข้างหนึ่งโอบเอวของนาง เกาะติดบนร่างของตนเองอย่างแนบแน่น แขนอีกครั้งคลำไปบนเอวของนาง
โม่เทียนเกอรู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร นางรู้สึกว่าบุ่มบ่ามเกินไป แต่กลับไม่ได้ห้ามอย่างหนักแน่นมาก ถึงแม้จะเตรียมใจมาแต่แรกว่าต้องแยกจากนั้นเป็นครั้งคราว แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เพิ่งจะแต่งงานกัน……
หลังจากทำสาบานเลือด พวกเขาก็มีสัมผัสทางร่างกาย แต่ว่าครั้งแรกนั้นแทบจะเป็นหายนะ ทั้งสองคนมีชีวิตมาครึ่งชีวิตแล้ว ด้านความรักยังมึน ๆ งง ๆ จะต้องทำอย่างไรก็เพียงแค่รู้โดยคร่าว ๆ แล้วจะเข้าใจเพลิดเพลินกับความดีงามของการสัมผัสทางร่างกายได้อย่างไรเล่า
หลังจากครั้งนั้น ถึงพวกเขาจะจุมพิต จะโอบกอด จะพัวพันกัน แต่ไม่ได้ใกล้ชิดกันแบบนั้นอีก
ทว่าการจุมพิต, โอบกอด, พัวพันกันพวกนั้น อันที่จริงก็ทำให้พวกเขารู้สึกดีงามแล้ว
ในที่สุดเขาแตะถูกเข็มขัด กระชากมันเปิด ถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นอย่างเคยคุ้น
“ซือเกอ……” พริบตาที่แผ่นหลังสัมผัสบนโต๊ะ โม่เทียนเกอใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดยันตัวขึ้นมา เอ่ยอย่างรีบร้อนว่า “ท่านควรจะไป……กักตน……”
“บอกแล้วนะ อย่าพูด” ฉินซีก้มหน้าลงจุมพิตนางอีกครั้ง เสื้อผ้าเลื่อนไหลลงจากปลายนิ้วของเขาอย่างต่อเนื่อง
ใต้การปิดบังของชุดเต๋าคือส่วนโค้งส่วนเว้าอันอ่อนนุ่มของสตรี ผิวหนังเปิดเผยในอากาศ กลับทำให้นางไม่สบายใจอยู่บ้าง เขาค้นพบความไม่สบายใจของนาง กุมมือของนางอย่างปลอบโยน ประทับจุมพิตแผ่วเบาลงบนกระดูกไหปลาร้าของนาง จากกระดูกไหปลาร้าอันอ่อนโยนถึงหัวไหล่อันอ่อนช้อย สุดท้ายหยุดอยู่ที่หน้าอก
“ซือเกอ……” นางอุทาน
ครั้งนี้ฉินซีไม่ได้ตอบ เขาฉีกเสื้อผ้าของตนเองอย่างอลหม่าน กอบกุมเอวของนาง
โม่เทียนเกอกัดฟัน แต่กลับไม่มีความเจ็บปวดที่คาดคิด นางสับสนอยู่บ้าง กลับได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ของฉินซีที่ข้างหู “ตั้งใจหน่อย”
คิดอะไรอีกไม่ทันแล้ว คลื่นยักษ์สูงเสียดฟ้าถาโถมเข้าใส่พวกเขา……
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ทั้งสองคนค่อย ๆ สงบลง
ฉินซีถอนหายใจอีก ดึงชุดชั้นนอกของตนเอง สวมเสื้อผ้าให้นางก่อนแล้วค่อยแต่งตัวเอง
รอจนทั้งสองคนสวมเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย เขากอดนางอย่างไม่ยินยอมอีกครั้ง “ข้า……ไปนะ……”
“อืม” โม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้น ทอดมองเขา “ไปอย่างวางใจเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่เสมอ”
…………………………………..