หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 313 – ปรากฏการณ์สวรรค์ผูกจิตวิญญาณ

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 313 – ปรากฏการณ์สวรรค์ผูกจิตวิญญาณ

ปีนี้ถึงเวลาที่สำนักเทียนเต้าเปิดการชุมนุมสาวกเต๋าอีกครั้ง บนเขาอวี้เหิงมีคนไป ๆ มา ๆ คึกคักไร้ที่เปรียบ

สิบปีก่อนในภูเขามาร สำนักเทียนเต้าสูญเสียผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่หนึ่งคนและผู้ฝึกตนก่อเกิดตานหลายคน ยังมีศิษย์ระดับต่ำจำนวนมากมาย ความแข็งแกร่งลดลงไปอย่างมาก นามสำนักอันดับหนึ่งของเทียนจี๋สั่นคลอนอย่างรุนแรง ด้วยเหตุนี้ บุคคลชั้นสูงของสำนักเทียนเต้าจึงได้ตัดสินใจเปิดประตูภูเขาออกกว้างทันที รับศิษย์ปริมาณมาก

หากเป็นแต่ก่อน การตัดสินใจนี้ถึงจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ความแข็งแกร่งตกต่ำลงได้ในทันที แต่ผ่านไปร้อยปีสำนักเทียนเต้าย่อมจะค่อย ๆ ฟื้นฟูความแข็งแกร่งขึ้นมา ยังคงนั่งในตำแหน่งสำนักอันดับหนึ่งของเทียนจี๋

แต่เจ็ดสิบกว่าปีก่อน หลังการก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจครั้งนั้น สำนักฝึกเซียนต่าง ๆ ล้วนเพิ่งจะฟื้นฟูพลังชีวิตขึ้นมา เผชิญกับภัยพิบัติใหญ่นี้อีกครั้งก็พากันเปิดประตูภูเขาออกกว้าง สถานการณ์ในอดีตที่ศิษย์มากมายยากจะเข้าประตูภูเขากลายเป็นเหตุการณ์ที่สำนักต่าง ๆ แย่งชิงลูกศิษย์ไปทันที สำนักเทียนเต้าถึงจะได้ชื่อว่าสำนักอันดับหนึ่ง แต่พลังอำนาจตกต่ำลงไปบ้าง ก็ไม่อาจการันตีได้ว่าในสถานการณ์นี้ตนเองจะแย่งชิงศิษย์อันยอดเยี่ยมได้อย่างเพียงพอ

ด้วยเหตุนี้ อาจารย์เต๋าหยางหลินอาจารย์ใหญ่ที่ได้รับแต่งตั้งใหม่ของสำนักเทียนเต้ากังวลจนแทบจะผมหงอกแล้ว ถึงเขาจะเป็นอาจารย์ใหญ่ แต่เบื้องบนต้องอธิบายต่อผู้อาวุโสจิตวิญญาณใหม่ผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย เบื้องล่างต้องจัดการการแย่งชิงอำนาจ ปัญหานี้หากแก้ไขไม่ได้ดีไม่แน่ว่าท่าน ๆ อาวุโสจิตวิญญาณใหม่ผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายจะไม่พอใจ อาจารย์ใหญ่ก็จะเปลี่ยนคนแล้ว พอดีว่าถึงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่นี้จะเป็นถุงกระสอบ แต่มันมีความสำคัญมากต่อผลประโยชน์ของวงศ์ตระกูล ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำก็สามารถไม่ทำ

คิดถึงตรงนี้ อาจารย์เต๋าหยางหลินถึงกับอิจฉาพวกร่อนเร่เหล่านั้นขึ้นมาบ้างแล้ว ถึงพวกเขาจะไม่มีวงศ์ตระกูลหนุนหลัง การฝึกตนลำบากยากแค้น แต่สามารถทุ่มเทจิตใจไปที่การฝึกตน ไม่ต้องสนใจเรื่องทางโลกพวกนี้ นี่ก็เป็นโชคดีนะ!

แต่ว่าสำนักเทียนเต้าจะทรงพลังไม่เท่าอดีตอีกสักเพียงใดก็ดีกว่าสำนักฝึกเซียนขนาดเล็กขนาดกลางพวกนั้นมาก พอบอกว่าจะเปิดการชุมนุมสาวกเต๋า เขาอวี้เหิงก็มีผู้ฝึกตนระดับต่ำกรูกันมานับไม่ถ้วนทันที เขาเพียงหวังว่าในหมู่ผู้ฝึกตนระดับต่ำเหล่านี้จะมีศิษย์ที่พรสวรรค์โดดเด่นสักหลายคน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ถือได้ว่ามีคำอธิบายต่อผู้อาวุโสผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายแล้ว

“อู๋เหล่าซาน ท่านมาทำไม” บนเขาอวี้เหิง ในหมู่ผู้ฝึกตนระดับต่ำที่รอให้การชุมนุมสาวกเต๋าเปิดมีคนตะโกนขึ้นมา

ผู้ที่ถูกคนเรียกเป็นผู้ฝึกตนหน้าขาวหนวดสั้นอายุสามสิบปีผู้หนึ่ง ระดับการฝึกตนเพียงหลอมรวมพลังวิญญาณขั้นเจ็ด หากเป็นในอดีต ระดับการฝึกตนอย่างนี้ไม่ต้องคิดถึงการชุมนุมสาวกเต๋าของสำนักเทียนเต้าเลย เพียงสามารถไปลองเสี่ยงโชคที่สำนักฝึกเซียนเล็ก ๆ เผอิญว่าพวกเขาเจอกับช่วงเวลาที่ดีพอดี สิบปีนี้ สำนักเทียนเต้าแทบจะจัดการชุมนุมสาวกเต๋าทุกปี ศิษย์หลอมรวมพลังวิญญาณขั้นเจ็ดจำนวนมากก็สามารถกราบเข้าสำนัก

ผู้ที่ถูกเรียกขานว่าอู๋เหล่าซานนี้หันหน้าไป เห็นบุรุษร่างโปร่งที่ตะโกนเรียกเขาก็เบ้ปากเอ่ยว่า “ท่านหลี่ซื่อหยางสามารถมา เหตุใดข้าอู๋ซานเต๋อจะไม่สามารถมา”

สถานการณ์นี้ในการชุมนุมสาวกเต๋าปีใกล้ ๆ นี้พบเห็นไม่น้อย แต่เดิมที หากเป็นการชุมนุมสาวกเต๋าที่สามปีหรือว่าสิบปีจัดขึ้นหนึ่งครั้ง ถึงเวลาผู้ที่มารวมตัวกันเป็นผู้ฝึกตนเล็ก ๆ จากหลากหลายสถานที่จำนวนมาก ผู้ที่ไม่รู้จักกันมีมาก แต่ว่าทุก ๆ ปีล้วนจัด ผู้ฝึกตนที่จะมาเข้าร่วมการชุมนุมสาวกเต๋าก็มีมากเท่านั้น คนคุ้นเคยก็ย่อมจะมากแล้ว

บุรุษร่างโปร่งที่เรียกว่าหลี่ซื่อหยางได้ยินแล้วก็หัวเราะฮี่ ๆ ขึ้นหน้าไปโอบไหล่อู๋ซานเต๋อเอ่ยว่า “อู๋เหล่าซาน พวกเราจะดีจะชั่วก็รู้จักกันเล็กน้อย ข้าก็แค่ร้องทักทาย ไม่ได้มีความหมายอื่นอีก ท่านอย่าเข้าใจผิดนะ!”

“เข้าใจผิด หึ!” สายตาที่อู๋ซานเต๋อเหล่มองหลี่ซื่อหยางค่อนข้างดูแคลน “ช่างเถอะ คำพูดของหลี่ซื่อหยางท่านสามารถเชื่อถือได้ ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้ว!”

“นี่ ๆๆ ท่านพูดอะไรของท่านกันเนี่ย” หลี่ซื่อหยางตบไหล่ของเขาอย่างแรง “เรื่องเก่าก่อนก็ลืมไปเถิด พวกเราเป็นคนรู้จักเก่าแก่ สามารถพบกันในการชุมนุมสาวกเต๋านี้เป็นโชคชะตาใหญ่ขนาดไหน? มา ๆๆ คุยกันหน่อย ไม่แน่ว่ายังสามารถชี้แนะอะไรกันสักหน่อยนะ”

อู๋ซานเต๋อเหล่มองเขาอย่างไม่ไว้ใจหลายที ท้ายที่สุดถูกโน้มน้าวจนได้ ก็ใช่ ตอนนี้พวกเขาล้วนมาเข้าร่วมการชุมนุมสาวกเต๋า ถึงตอนยังเล็กมีข้อขัดแย้ง แต่ก็ไม่ได้มีความแค้น คุยกันก็ดี

ทั้งสองคนจึงเสาะหามุมมุมหนึ่ง เริ่มพูดเรื่องของการชุมนุมสาวกเต๋า ถกเรื่องการฝึกตน แลกเปลี่ยนข่าวสาร

พวกเขาล้วนหลอมรวมพลังวิญญาณขั้นเจ็ด ถ้าเป็นแต่ก่อนนี้ไม่มีโอกาสเข้าสำนักใหญ่อย่างสำนักเทียนเต้าจริง ๆ แต่ไม่สามารถทิ้งโอกาสอย่างนี้ ไม่แน่ว่าปีไหนสำนักเทียนเต้ารับศิษย์เพียงพอแล้วก็จะเข้าไม่ง่ายอย่างในตอนนี้อีก

คุยเรื่องข่าวสารที่แต่ละคนได้ยินมาจบแล้ว หลี่ซื่อหยางยังอยากจะคุยต่อ ถามขึ้นมาว่า “ข้าว่านะอู๋เหล่าซาน เจ็ดสำนักใหญ่ล้วนรับศิษย์ เหตุใดท่านก็มาที่สำนักเทียนเต้าเล่า”

อู๋ซานเต๋อลูบหนวดเล็ก ๆ ร้องหึคำหนึ่ง เอ่ยว่า “ยังจะมีเหตุผลอะไรได้? ใกล้! อีกอย่างหนึ่ง สำนักเทียนเต้าจะดีจะเลวก็ได้ชื่อว่าสำนักอันดับหนึ่ง เทียบกับสำนักอื่นแล้วดีกว่าหน่อย”

“ไม่ถูก ๆ” หลี่ซื่อหยางโบกมือพูดว่า “อู๋เหล่าซาน คำพูดนี้ท่านพูดผิดแล้ว”

“ผิดแล้ว?” อู๋ซานเต๋อถลึงตา “ผิดตรงไหน เจ็ดสำนักใหญ่ โรงเรียนตานติ่งไม่ต้องพูดแล้ว เจ็ดสิบกว่าปีก่อนเสียหายร้ายแรง ขนาดในตอนนี้ก็เป็นโรงเรียนขนาดกลาง สำนักหลิงโซ่วฝึกทักษะการควบคุมอสูรโดยเฉพาะ พวกเราผู้ฝึกตนทั่วไปที่ไม่มีพรสวรรค์ในการควบคุมอสูรยากจะได้เข้าสำนัก สำนักเจิ้งฝ่าหรือ ก็ฝึกเวทวารีเป็นพิเศษอีก พวกเราล้วนไม่มีรากวิญญาณวารี สำนักปี้อวิ๋นยิ่งไม่ต้องพูดแล้ว พวกเขาตั้งข้อเรียกร้องต่อผู้ฝึกตนบุรุษสูงมาก สำนักกู่เจี้ยนก็ไม่เลว แต่พวกเขาเป็นสำนักฝึกกระบี่ ฝึกตนขึ้นมาใหม่ไม่ง่ายดาย นับอย่างนี้ที่เหลือก็คือโรงเรียนเสวียนชิงและสำนักเทียนเต้า ถึงแม้ว่าโรงเรียนเสวียนชิงก็ดี แต่สุดท้ายแล้วก็ยังแพ้สำนักเทียนเต้าอยู่นิดหน่อย……”

“ผิด ๆๆ!” หลี่ซื่อหยางพูดคำว่าผิดสามครั้งรวดขัดคำพูดของอู๋ซานเต๋อ หยีตาลงพูดว่า “เอ่ยถึงการฝึกตน ข้าหลี่ซื่อหยางอาจจะไม่เท่าท่าน แต่เรื่องพวกนี้ ท่านอู๋เหล่าซานก็เห็นไม่ชัดเจนเท่าข้าแล้ว!”

ถึงอู๋ซานเต๋อจะไม่ยอมรับ แต่ในคำพูดของหลี่ซื่อหยางยอมรับว่าการฝึกตนไม่เท่าเขา ทำให้ในใจเขาปลอดโปร่งสิบส่วน ก็เลยไม่ถือสาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ถูกเขาพูดขัด แต่เขายังคงรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองพูดไม่ผิด “ผิดตรงไหน ท่านลองพูดมาดูทีซิ!”

“อันที่จริงที่ท่านพูดตอนเริ่มต้นล้วนถูกต้อง โรงเรียนตานติ่งสำนักหลิงโซ่วอะไรนี่ ไม่ความแข็งแกร่งอ่อนลงแล้วก็ไม่เหมาะสมกับพวกเรา แต่ที่ท่านพูดว่าโรงเรียนเสวียนชิงแพ้สำนักเทียนเต้านิดหน่อย นั่นมันผิดแล้ว!”

“เพราะอะไร” อู๋ซานเต๋อถลึงตาพูดว่า “โรงเรียนเสวียนชิงแต่เดิมก็แพ้สำนักเทียนเต้านิดหน่อย ถึงสำนักเทียนเต้าสิบปีก่อนจะมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สิ้นชีพไปหนึ่งคน แต่ก็มีหกคน ในนั้นเป็นจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายสองคน! โรงเรียนเสวียนชิงมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายแค่คนเดียว ถึงสิบปีก่อนไม่มีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สิ้นชีพ ปัจจุบันนี้ยังมีห้าคน แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายหนึ่งคนมีค่ามากกว่าจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นหลายคน! ความแข็งแกร่งนี้แค่มองก็รู้แล้ว!”

“ฮี่ ๆ! ท่านมองแค่จุดผิวเผินนะ!” หลี่ซื่อหยางพูดอย่างเต็มไปด้วยความภาคภูมิ “ไม่ผิด สำนักเทียนเต้าปัจจุบันนี้ ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่แกร่งกว่าโรงเรียนเสวียนชิงอยู่บ้างจริง ๆ แต่ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าหลายร้อยปีถัดจากนี้เล่า?”

อู๋ซานเต๋อมองเขาอย่างระแวง “ทำไม ท่านคิดจะบอกว่าโรงเรียนเสวียนชิงถัดจากนี้จะมีผู้ฝึกตนมากมายเลื่อนระดับเป็นจิตวิญญาณใหม่หรือ แต่สำนักเทียนเต้าก็มีศิษย์ผู้มากพรสวรรค์ไม่น้อย ตรงไหนที่แย่กว่าโรงเรียนเสวียนชิง”

“ไม่ใช่แย่!” ที่นี่ถึงอย่างไรก็คือสำนักเทียนเต้า หลี่ซื่อหยางมาถกเถียงขนานใหญ่อยู่นี่ ระหว่างประโยคคล้ายจะเชื่อว่าสำนักเทียนเต้าไม่สู้โรงเรียนเสวียนชิง ดึงดูดความสนใจของคนอื่นมาแต่แรกแล้ว ผู้ที่มาเข้าร่วมการชุมนุมสาวกเต๋าของสำนักเทียนเต้าล้วนค่อนข้างมีความประทับใจต่อสำนักเทียนเต้า ได้ยินคำพูดเขาก็มีแววตาไม่เป็นมิตรแต่แรกแล้ว หลี่ซื่อหยางเป็นคนที่ลื่นไหลอย่างนี้ย่อมจะสังเกตเห็นจุดนี้แล้ว เขาพูดอย่างไม่เร่งไม่ร้อนทันทีว่า “ข้าเคยพูดตรงไหนว่าสำนักเทียนเต้าแย่กว่าโรงเรียนเสวียนชิง สิ่งที่ข้าพูดคือ ตอนนี้ท่านตัดสินไปว่าโรงเรียนเสวียนชิงแพ้สำนักเทียนเต้าแล้ว ยังเร็วไปนะ! ไม่ผิด ในด้านความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ สำนักเทียนเต้าแกร่งกว่าบ้าง แต่พัฒนาการของสำนัก สิ่งที่พึ่งพาไม่ใช่แค่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ทว่าคือศิษย์ระดับต่ำหลายพันคน!”

ที่ล้อมรอบพวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกตนระดับต่ำระดับหลอมรวมพลังวิญญาณที่หวังจะเข้าสำนัก ได้ฟังคำพูดนี้แล้วจิตใจปรอดโปร่ง ไม่ได้เป็นปรปักษ์ต่อหลี่ซื่อหยางขนาดนั้นแล้ว

หลี่ซื่อหยางพูดต่อว่า “ท่านเคยคิดหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นการก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจ หรือว่าภัยพิบัติภูเขามารสองครั้ง สำนักเทียนเต้าสูญเสียศิษย์ระดับต่ำไปมากน้อยเท่าใด ระดับหลอมรวมพลังวิญญาณ ระดับสร้างฐานพลัง ศิษย์สองระดับนี้อย่างน้อยที่สุดก็หายไปเป็นพันคน! ยังมีระดับก่อเกิดตานก็มีมากเจ็ดแปดคน เดิมทีส่วนที่สำนักเทียนเต้าแกร่งกว่าโรงเรียนเสวียนชิงก็คือตรงนี้ ศิษย์หลอมรวมพลังวิญญาณมากกว่าโรงเรียนเสวียนชิงเป็นพันคน ศิษย์สร้างฐานพลังก็มากกว่าหนึ่งร้อย ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานมากกว่าเกือบสิบคน! ก็เพราะศิษย์ระดับต่ำมาก ศักยภาพจึงสูง ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ของสำนักเทียนเต้าจึงมากกว่าโรงเรียนเสวียนชิงคนสองคนเสมอ!”

คำพูดเหล่านี้ดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกตนระดับต่ำรอบด้าน คนมากมายมาชุมนุมกัน ผู้ที่ไม่ได้มาชุมนุมก็เงี่ยหูตั้งใจฟัง

หลี่ซื่อหยางยิ่งภาคภูมิใจ เอ่ยเสียงดังว่า “แต่พวกท่านรู้หรือไม่ว่าโรงเรียนเสวียนชิงในการก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจไม่ได้สูญเสียศิษย์หลอมรวมพลังวิญญาณเลย ภัยพิบัติภูเขามารสองครั้งก็เนื่องจากอยู่ไกลจากภูเขามารเกินไป มีศิษย์ระดับต่ำน้อยคนเข้าร่วม นับอย่างนี้แล้ว โรงเรียนเสวียนชิงจากศิษย์หลอมรวมพลังวิญญาณถึงผู้ฝึกตนก่อเกิดตานเทียบกับสำนักเทียนเต้าไม่ได้แย่กว่าเลย ไม่แน่ว่ายังจะมากกว่าบ้างด้วยซ้ำ!”

พูดถึงตรงนี้ มีคนสอดแทรกว่า “สหายเต๋าท่านนี้ เรื่องเหล่านี้ท่านไปรู้มาจากที่ไหน ท่านไม่ได้เป็นศิษย์ของสำนัก จำนวนคนของศิษย์สำนักใหญ่ไปทราบมาจากที่ใด”

“ฮี่!” หลี่ซื่อหยางเหลือบมองผู้ฝึกตนที่ตั้งคำถามคนนั้น เชิดหน้าขึ้นสูงพูดว่า “พี่ชายท่านนี้ ท่านไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ก็ย่อมจะไม่รู้! สำนักใหญ่จะใหญ่อีกแค่ไหนก็ไม่ถึงหมื่นคน จำนวนของผู้ฝึกตน พวกเราผู้ฝึกตนเล็ก ๆ ถึงจะไม่ได้รับรู้ตัวเลขที่แน่ชัด แต่ประมาณการเอาก็สามารถทำได้นะ”

ในกลุ่มคนมีคนตอบรับว่า “ไม่ผิด สหายเต๋าท่านนี้พูดถูกแล้ว นี่ไม่ได้เป็นเรื่องเร้นลับอะไร ดูจำนวนศิษย์ที่สำนักใหญ่เหล่านี้รับไปทุก ๆ ปีก็ประมาณการโดยคร่าว ๆ ได้แล้ว”

“ใช่ ๆ!” มีคนเห็นด้วย หลี่ซื่อหยางดีใจยิ่งยวด เอ่ยต่อไปว่า “สหายเต๋าท่านนี้พูดไม่ผิดเลยสักนิด ก็คือประมาณการจากจำนวนศิษย์ที่รับ”

“เอาล่ะ ๆ” มีคนทนดูท่าทางเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจของเขาไม่ได้ ส่งเสียงออกมาว่า “มีคำพูดก็รีบพูด ซุบซิบพวกนี้ทำอะไร!”

ถึงคำพูดจะไม่สุภาพ แต่กลับรอฟัง หลี่ซื่อหยางก็ไม่ได้โมโห พูดต่อว่า “ได้ พูดเรื่องจริงจังต่อนะ ด้านจำนวนศิษย์ระดับต่ำ โรงเรียนเสวียนชิงไม่ได้แย่กว่าสำนักเทียนเต้าแล้ว เช่นนั้นในด้านศักยภาพก็สามารถพูดได้ว่าทัดเทียมกัน แต่ยังมีจุดหนึ่ง ไม่รู้ว่าทุกคนสังเกตเห็นหรือไม่ โรงเรียนเสวียนชิงในเหตุการณ์หลายครั้งนี้ ความสูญเสียน้อยมาก หรือแม้กระทั่งไร้ความสูญเสีย! นี่สำหรับสภาพจิตใจในการฝึกตนของศิษย์แล้วสำคัญมาก ครุ่นคิดถึงจุดนี้ ศักยภาพของศิษย์ระดับต่ำโรงเรียนเสวียนชิงเกรงว่าจะเหนือล้ำกว่าสำนักเทียนเต้าแล้ว!”

หลี่ซื่อหยางกวาดสายตาไปหนึ่งรอบ เห็นกลุ่มผู้ฝึกตนล้วนนิ่งเงียบไม่เปล่งวาจา ไม่ได้โต้แย้งคำพูดของเขา เลยพูดต่อว่า “เช่นนั้นโรงเรียนเสวียนชิงตอนนี้แตกต่างที่ตรงไหนหรือ ก็คือผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ยังถูกสำนักเทียนเต้ากดไปหนึ่งช่วงศีรษะ! เผอิญว่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั้งหลายของสำนักเทียนเต้ามีผู้ที่เผชิญกับการนั่งละสังขารค่อนข้างมาก ทว่าโรงเรียนเสวียนชิงถึงความแข็งแกร่งจะไม่เทียบเท่า แต่ส่วนใหญ่อายุขัยยังเหลือเกินครึ่ง นับอย่างนี้แล้ว ใครมีอนาคตดีกว่าไม่ต้องให้ข้าพูดมากหรอกกระมัง? ข้ากล้าพูดว่าหากโรงเรียนเสวียนชิงมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ออกมาก่อน เช่นนั้นจะทรงพลังรุ่งเรืองมาก นามของสำนักอันดับหนึ่งของเทียนจี๋อาจจะต้องเปลี่ยนไปเป็นพวกเขาแล้ว!”

ในกลุ่มคนเงียบงันไป ผ่านไปครู่หนึ่ง มีคนเอ่ยชวนทะเลาะว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สหายเต๋าท่านนี้ทำไมไม่ไปโรงเรียนเสวียนชิงเล่า ดันมาเข้าร่วมการชุมนุมสาวกเต๋าของสำนักเทียนเต้า!”

คำพูดนี้ฟังแล้วก็คือผู้สนับสนุนของสำนักเทียนเต้า หลี่ซื่อหยางก็ไม่โมโห ยิ้มเอ่ยว่า “พี่ชาย ท่านไม่เคยไปโรงเรียนเสวียนชิงสินะ? ข้าขอบอกท่านว่าโรงเรียนเสวียนชิงสูญเสียศิษย์ระดับต่ำไม่มาก หลายปีนี้ฟื้นฟูดังเดิมแต่แรกแล้ว พวกเขาในหลายปีนี้ถึงแม้ว่าเปิดประตูภูเขาออกกว้างเหมือนกัน แต่การรับศิษย์เข้มงวดดังเดิม! ข้าหลี่ซื่อหยางถึงจะมีความเฉลียวฉลาดเล็กน้อย แต่พูดถึงการฝึกตนก็ไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึงแล้ว! ที่จริงไม่มั่นใจนะ!”

คนผู้นั้นยิ้มเย็นอีก “ท่านมั่นใจขนาดนี้ว่าโรงเรียนเสวียนชิงจะมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ออกมาก่อนหรือ ไม่แน่ว่าจะเป็นสำนักเทียนเต้าออกมาก่อนนะ! ถึงเวลาผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ยังคงมากกว่าโรงเรียนเสวียนชิง ความแข็งแกร่งก็แกร่งกว่าพวกเขา สำนักอันดับหนึ่งของเทียนจี๋ พวกเขาแย่งอย่างไรล้วนแย่งไม่ได้!”

“ข้าไม่ได้พูดเลยนะว่าโรงเรียนเสวียนชิงจะต้องออกมาก่อนแน่ ๆ!” หลี่ซื่อหยางพูดอย่างผู้บริสุทธิ์ “ข้าเพียงวิเคราะห์เรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นเท่านั้น สิ่งที่พูดมาตลอดคือความเป็นไปได้ ทุกคนล้วนได้ยินใช่ไหม”

ผู้ชมทุกคนพากันพยักหน้า สิ่งที่ทุกคนพูดคือความเป็นไปได้จริง ๆ แต่ถึงจะพูดว่าเป็นเพียงความเป็นไปได้ หลี่ซื่อหยางกลับวิเคราะห์อย่างชัดเจนมีตรรกะ ในกลุ่มคนที่รายล้อม คนที่ค่อนข้างมีความมั่นใจต่อคุณสมบัติและระดับการฝึกตนของตนเองยังคิดว่า ถ้าหากโรงเรียนเสวียนชิงไม่ได้ลดคุณสมบัติในการรับศิษย์จริง ๆ ก็คือมีความเชื่อมั่นมากเลยหรือ เช่นนั้นตนเองจะไปลองที่โรงเรียนเสวียนชิงก่อนดีหรือไม่

“หึ!” คนผู้นี้เห็นผู้ชมล้วนเห็นด้วยกับหลี่ซื่อหยางก็หงุดหงิด เอ่ยอย่างโกรธเคืองว่า “ท่านก็รอไปเถอะ จะต้องเป็นสำนักเทียนเต้าที่มีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ออกมาก่อน ถึงเวลา โรงเรียนเสวียนชิงยังคงเป็นที่สอง!”

หลี่ซื่อหยางยิ้มเอ่ยว่า “พี่ชายท่านนี้ เรื่องประเภทนี้บอกได้ยากจริง ๆ อาจจะเป็นสำนักเทียนเต้า แล้วก็อาจจะเป็นโรงเรียนเสวียนชิง แต่ว่า กล่าวถึงที่สุดแล้วเป็นเรื่องของพวกเขาสำนักใหญ่ พวกเราผู้ฝึกตนเล็ก ๆ ไม่มีเรื่องก็คุยเหลวไหลกันก็พอ ถึงอย่างไรพวกเราแม้กระทั่งสำนักยังไม่ได้เข้าไปเลยนะ!”

“ใช่ ๆ!” อยู่ต่อหน้าคนนอก อู๋ซานเต๋อก็ยืนอยู่ข้างหลี่ซื่อหยาง “ก็แค่คุยกัน สหายเต๋าท่านนี้ไม่ต้องตื่นเต้น ไม่ต้องตื่นเต้น……”

พูดถึงตรงนี้ จู่ ๆ ได้ยินเสียงฟ้าผ่า ท้องฟ้าจู่ ๆ ปรากฏแสงสีทองยาวหมื่นจ้างวูบขึ้น ผู้คนสองตาพร่าพราย วายุอัสนีแปรปรวน อัสนีคำรามไม่สิ้นสุด!

ผู้ฝึกตนทั้งหมดเงยหน้าจ้องมอง เห็นเพียงว่าในท้องฟ้าสูง ๆ ปรากฏแสงวิญญาณนับไม่ถ้วนวูบวาบ ในนั้นมีสาลิกาวิญญาณโบยบิน เมฆมงคลแปรปรวน แรงกดดันอันกล้าแข็งครอบคลุมลงมา พวกเขาผู้ฝึกตนเล็ก ๆ พลังวิญญาณทั่วร่างปั่นป่วน ลมหายใจตัดขัด มีคนที่ระดับการฝึกตนอ่อนหน่อยถึงขนาดกระอักโลหิตคุกเข่าลงไป

กลุ่มคนเริ่มอลหม่าน มีคนร้องว่า “อะไรกัน นี่มันเป็นสิ่งของอะไร”

ภายหลังมีคนที่ความรู้กว้างไกลตะโกนว่า “ปรากฏการณ์สวรรค์ มีคนผูกจิตวิญญาณแล้ว ผูกจิตวิญญาณแล้ว!”

ผู้ฝึกตนเหล่านั้นที่เมื่อครู่ฟังหลี่ซื่อหยางอภิปรายเสียใหญ่โตแอบตกตะลึง สำนักเทียนเต้ามีคนผูกจิตวิญญาณอีกแล้วหรือ ดูท่าโรงเรียนเสวียนชิงไม่อาจกลายเป็นสำนักอันดับหนึ่งจริง ๆ เสียแล้ว

ส่วนหลี่ซื่อหยางกับอู๋ซานเต๋อสบตากัน ในแววตาเผยความขมขื่น คงไม่ได้บังเอิญขนาดนี้จริง ๆ หรอกกระมัง? เช่นนั้นพวกเขาไยมิใช่วุ่นวายเสียเปล่า? แต่นี่เป็นปรากฏการณ์สวรรค์ผูกจิตวิญญาณจริง ๆ โดยไร้ข้อกังขา!

ในอากาศ แสงสีทองยิ่งมายิ่งแสบตา ค่อย ๆ ย้อมเมฆมงคลจนกลายเป็นสีแดงดุจเพลิง เมฆมงคลแปรปรวน ก่อตัวเป็นรูปร่างอย่างหนึ่งขึ้นมาช้า ๆ – ปีกทั้งคู่สยายกว้าง ขนหางพัดพลิ้ว เสียงร้องใสเสนาะ สัตว์เทพพญาหงส์!

…………………………….

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท