หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 315 – รับบาดเจ็บและถูกขัง

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 315 – รับบาดเจ็บและถูกขัง

รั้งอยู่ที่สำนักเทียนเต้าเพียงสองวัน วันที่สอง โม่เทียนเกอและฉินซีเปลี่ยนทางกลับไปที่โรงเรียนเสวียนชิง

สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าน่าสนใจคือ ก็ไม่รู้ว่าเป็นเล่ห์กลที่ใครคิดออกมา โรงเรียนเสวียนชิงส่งศิษย์สองคนมากระพือเชื้อไฟที่การชุมนุมสาวกเต๋าของสำนักเทียนเต้า อยากจะกระตุ้นให้ผู้ฝึกตนที่มีคุณสมบัติดี ๆ บางส่วนไปที่โรงเรียนเสวียนชิง

เผอิญตอนที่พูดถึงว่าสำนักเทียนเต้ากับโรงเรียนเสวียนชิงใครมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ออกมาก่อนคนนั้นก็สามารถนั่งในตำแหน่งสำนักอันดับหนึ่งของเทียนจี๋ได้อย่างมั่นคง พวกเขาทลายอาคมออกมาจากภูเขามาร ก่อให้เกิดปรากฏการณ์สวรรค์ผูกจิตวิญญาณ ทำให้ศิษย์สองคนนี้นึกว่าสำนักเทียนเต้าพอดีมีคนผูกจิตวิญญาณ ล้มเหลวในตอนจบ

ไม่นานหลังจากนั้น ข้อเท็จจริงแพร่ออกไปอย่างฉุดไม่อยู่ ได้ทราบว่าผู้ที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์สวรรค์ผูกจิตวิญญาณเป็นผู้ฝึกตนของโรงเรียนเสวียนชิง มีผู้ฝึกตนหนึ่งกลุ่มถอยออกจากการชุมนุมสาวกเต๋าของสำนักเทียนเต้าตามคาด ตั้งใจจะเปลี่ยนทางไปคุนอู๋ตะวันตก ไปลองเสี่ยงโชคที่โรงเรียนเสวียนชิง ศิษย์สองคนนี้ยินดีอย่างเหนือความคาดหมาย จากนั้นติดต่อกับพวกเขาสองคน

ในเมื่อเป็นศิษย์โรงเรียนเสวียนชิง ทั้งบนร่างแบกรับ “หน้าที่สำคัญ” พวกเขาจึงไม่ปฏิเสธ พาศิษย์สร้างฐานพลังสองคนนี้ขึ้นมา – ถ้าให้พวกเขาบินกลับโรงเรียนเสวียนชิงเอง คาดว่าต้องใช้เวลาหลายเดือน

การปรากฏขึ้นของปรากฏการณ์สวรรค์ผูกจิตวิญญาณทำให้พวกเขาสิ้นเปลืองน้ำลายน้อยลงไปไม่น้อย ปิดภารกิจได้ตรง ๆ สองคนนี้หลั่งน้ำตาด้วยความซาบซึ้งบูชาฉินซีไม่รู้แล้ว แล้วก็มีความอยากรู้อยากเห็นเป็นอันมากต่อโม่เทียนเกอ ฉินซีนิสัยเย็นชา อีกทั้งปัจจุบันนี้เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่แล้ว สองคนนี้ไม่กล้าถามมาก เห็นโม่เทียนเกอค่อนข้างเมตตาจึงมารุมล้อมนางถามนู่นถามนี่ แต่ละคำ ๆ เรียกซือซูอย่างสนิทสนมไร้ที่เปรียบ

ติดอยู่ที่ภูเขามารมาสิบปี โม่เทียนเกอก็อยากสอบถามข่าวของภายนอกบ้าง คุยกับศิษย์สร้างฐานพลังสองคนนี้มาตลอดทาง

“ชิงเวยซือซู ได้ยินว่าท่านไม่ถึงหนึ่งร้อยปีก็ก่อเกิดตานทองคำแล้ว ร้ายกาจเกินไปแล้ว! พวกเราก่อนหน้านี้เคยได้ยินถึงท่าน แต่ไร้โอกาสได้พบเสมอ ตอนนี้สามารถพบท่าน เป็นวาสนาของสามชาติโดยแท้!”

ศิษย์สร้างฐานพลังชื่อหลี่หยางสองคนนี้ ปากเหมือนเคลือบด้วยน้ำผึ้ง คำพูดเยินยอออกมาอย่างคล่องปาก

โม่เทียนเกอย่อมไม่ยึดถือคำพูดของเขาเป็นจริงเป็นจัง เพียงรู้สึกว่าน่าสนใจยิ่ง จึงยิ้มเอ่ยว่า “พวกเจ้าสองคนทำภารกิจปากหวานโดยเฉพาะหรือไร วาจาจึงร้ายกาจมาก!”

ศิษย์อีกคนที่ชื่อว่าอู๋เต๋อฟังแล้วละอายอยู่บ้าง เอ่ยว่า “ชิงเวยซือซูอย่าได้ถือสา พวกเรามักจะไปที่สำนักอื่นเพร่กระจายข่าวสารบางอย่าง เด็กนี่พูดจนชิน คำพูดยกยอออกมาอย่างคล่องปาก ไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่น” ว่าแล้วเหลือบมองหลี่หยาง “ซือซูเป็นคนกันเอง เลิกพูดเหลวไหว”

หลี่หยางตบศีรษะ เผยรอยยิ้มขัดเขินออกมา “ชิงเวยซือซู คำพูดนี้ของศิษย์ถึงจะเป็นการยกยอ แต่สิ่งที่พูดล้วนเป็นความจริง ท่านกับโส่วจิ้งซือซู…… อ้อ ไม่ใช่ โส่งจิ้งซือจู่ ในโรงเรียนเป็นตำนานนะ พวกเราหวังจะได้พบหน้าอยู่แต่แรกแล้ว น่าเสียดายที่ท่านทั้งสองล้วนเป็นเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง ล้วนยากจะได้พบ”

คำพูดนี้เป็นความจริง ฉินซีไม่ต้องพูดแล้ว น้อยนักจะปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน ถึงแม้จะเป็นศิษย์ที่เข้าโรงเรียนมาหลายสิบปีก็มีคนน้อยมากที่เคยเห็น โม่เทียนเกอยามปกติก็ไม่ได้ออกไปเคลื่อนไหวมาก นอกเสียจากหกสิบกว่าปีก่อนตอนที่เป็นตัวแทนประมุขเต๋าจิ้งเหอจัดการกิจธุระ ไป ๆ มา ๆ ยอดเขาต่าง ๆ จัดการเรื่องราวบ่อย ๆ ในหลายสิบปีนี้ไม่ออกท่องเที่ยวภายนอกก็กักตนฝึกตน

โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ ละทิ้งหัวข้อนี้ ถามขึ้นมาว่า “พวกเจ้าสองคนจัดการเรื่องราวแทนโถงผู้ดูแล คิดว่าข่าวสารฉับไว ไม่รู้ว่าสิบปีนี้สถานการณ์ของโรงเรียนเป็นอย่างไร”

“สถานการณ์ของโรงเรียน?” อู๋เต๋อคิด ๆ แล้วตอบว่า “ซือซูคิดจะถามถึงความแข็งแกร่งและพลังสภาวะของโรงเรียนในปัจจุบันนี้หรือขอรับ ดีมากเลย! จะว่าไป โชคดีที่พวกเราอยู่ไกลถึงคุนอู๋ตะวันตก ห่างจากภูเขามารไกลมาก ทุกครั้งที่ภูเขามารเปิด ถึงจะมีซือซูก่อเกิดตานกับซือจู่จิตวิญญาณใหม่หลายท่าน ศิษย์สร้างฐานพลังลงมากลับเข้าร่วมน้อยนัก ด้วยเหตุนี้ความสูญเสียไม่มาก สิบปีก่อนกำแพงอาคมใหญ่ของภูเขามารพังทลาย พวกเราเพียงสูญเสียซือซูก่อเกิดตานสองท่าน สหายร่วมโรงเรียนสร้างฐานพลังหลายคน เทียบกับสำนักอื่นหลาย ๆ แห่งแล้วดีมาก”

“อ้อ?” รู้แต่แรกจากสำนักเทียนเต้าว่าซือฟุกับหัวเหยียนซือซูไม่เป็นไร แต่โม่เทียนเกอยังถามอีกรอบ “ซือจู่จิตวิญญาณใหม่ทั้งสองท่านล้วนสบายดีสินะ?”

หลี่หยางชิงตอบก่อนว่า “ซือซูวางใจ! ซือจู่จิตวิญญาณใหม่ทั้งสองท่านล้วนหนีออกมาทันเวลา เพียงแต่ล้วนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย”

อันนี้โม่เทียนเกอและฉินซีเตรียมใจเอาไว้แต่แรกแล้ว ด้วยเหตุนี้ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจอันใด เพียงถามหนึ่งประโยคว่า “ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วสินะ?”

มิคาดว่าหลี่หยางกลับถามว่า “ซือซู เป็นคนของสำนักเทียนเต้าบ่งบอกท่านว่าจิ้งเหอซือจู่ได้รับบาดเจ็บสถานเบา หัวเหยียนซือจู่ได้รับบาดเจ็บสาหัสใช่หรือไม่ขอรับ”

“มิผิด” โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว สบตากับฉินซีแวบหนึ่ง ฟังจากความหมายในคำพูดนี้ หรือว่าข่าวสารไม่แม่นยำ?

อู๋เต๋อถอนหายใจ กล่าวแทนว่า “ชิงเวยซือซู, โส่วจิ้งซือจู่ คำพูดนี้อันที่จริงเป็นสิ่งที่ปล่อยออกไปให้คนอื่นฟัง ความจริงมิใช่เช่นนี้เลย อาการบาดเจ็บที่หัวเหยียนซือจู่ได้รับอันที่จริงแล้วไม่ได้สาหัสขนาดนั้น ไม่เพียงชีวิตไร้อันตราย แถมยังไม่ได้สูญเสียระดับการฝึกตนด้วย คาดว่าเยียวยาผ่านสิบปีนี้ไปก็หายดีแล้ว”

โม่เทียนเกอหว่างคิ้วกระตุก ไล่ถามว่า “เช่นนั้นจิ้งเหอซือจู่เล่า สบายดีอยู่หรือ”

ตามคาด อู๋เต๋อกล่าวต่อว่า “สถานการณ์ของจิ้งเหอซือจู่กลับไม่ได้ดีมาก อันที่จริงปีนั้นเป็นจิ้งเหอซือจู่ที่ใช้พลังจนหมดสิ้นจึงสามารถหนีออกมาจากภูเขามารกับหัวเหยียนซือจู่ ก่อนที่พวกเราจะออกจากภูเขาได้ยินว่าจิ้งเหอซือจู่ยังกักตนรักษาบาดเจ็บ ไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นเช่นใด”

โม่เทียนเกอกับฉินซีแลกเปลี่ยนสายตากัน ต่างคนต่างขมวดคิ้วครุ่นคิด ที่แท้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับเป็นซือฟุ ข่าวสารที่เล่าลือกันภายนอกล้วนเป็นของปลอม

นี่เข้าใจได้ไม่ยาก ถึงโรงเรียนเสวียนชิงจะมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่หกคน แต่เพียงมีจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายหนึ่งคน จิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางหนึ่งคน ระดับการฝึกตนของประมุขเต๋าจิ้งเหอคือจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางจุดสูงสุด พลังในวิชาต่อสู้ไม่ได้ด้อยกว่าผู้ฝึกตนขั้นปลาย การคงอยู่ของประมุขเต๋าจิตวิญญาณใหม่เช่นนี้หนึ่งคนสำหรับโรงเรียนเสวียนชิงเป็นความหมายเช่นไรไม่ต้องพูดมาก ในสถานการณ์ที่สำนักเทียนเต้าสูญเสียความแข็งแกร่งและโรงเรียนเสวียนชิงมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นสำนักอันดับหนึ่งของเทียนจี๋ ข่าวนี้ย่อมต้องปกปิดไว้ไม่พูด

คิดถึงตรงนี้ ทั้งสองคนอดกังวลขึ้นมามิได้ ซือฟุปัจจุบันนี้เป็นจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางจุดสูงสุดแล้ว กลับมาได้รับบาดเจ็บสาหัส จะไม่อาจเลื่อนขั้นเป็นจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายด้วยเหตุนี้หรือไม่

อู๋เต๋อกับหลี่หยางสองคนชั่งคำพูดสังเกตสีหน้า เห็นใบหน้าพวกเขามีแววกังวล ร้องขานรับเป็นลูกคู่กันขึ้นมาทันทีว่า “ซือซูและซือจู่ไม่ต้องกังวลเกินไปขอรับ ถึงพวกเราจะถือว่าเป็นศิษย์แกนหลักของโรงเรียน แต่ก็เป็นเพียงผู้ฝึกตนสร้างฐานหลังเล็ก ๆ สองคน หากจิ้งเหอซือจู่มีภัยถึงชีวิตจริง ๆ นั่นจะเป็นข่าวลับขั้นสุดยอดแล้ว ก็จะไม่ให้พวกเรารู้”

“ก็ใช่ ยอดเขาชิงฉวนหลายปีนี้ยังรุ่นเรืองดังเดิม ได้ยินว่าจิ้งเหอซือจู่ยังจะพบปะกับศิษย์เป็นครั้งคราว เห็นได้ว่าไม่มีเรื่องใหญ่อะไร”

ฉินซีใคร่ครวญสักครู่แล้วพยักหน้า สุดท้ายเปิดปากกล่าวคำพูดว่า “สิ่งที่พวกเจ้าพูดก็มีเหตุผล”

ได้รับคำชมจากซือจู่จิตวิญญาณใหม่ อู๋เต๋อหลี่หยางสองคนปลาบปลื้มไม่รู้แล้ว เยินยอฉินซีอีกรอบ ฟังแล้วโม่เทียนเกอทั้งกังวลใจทั้งรู้สึกตลก

ปล่อยวางเรื่องของประมุขเต๋าจิ้งเหอไปชั่วคราว โม่เทียนเกอถามขึ้นมาอีกว่า “พวกเจ้าเข้าใจเรื่องในโรงเรียนเช่นนี้ รู้จักศิษย์สร้างฐานพลังผู้หนึ่งที่ชื่อเยี่ยเจินจีหรือไม่”

“เยี่ยเจินจี?” หลี่หยางถาม “ผู้ที่ซือซูพูดคือศิษย์ในสังกัดของโส่วจิ้งซือซู่ หลานของซือซูท่าน?”

คิดไม่ถึงว่าเพียงพูดชื่อ หลี่หยางนี้จะนึกขึ้นมาได้แล้ว โม่เทียนเกอประหลาดใจ “เจ้ารู้จักจริง ๆ หรือ”

หลี่หยางส่ายหน้าเอ่ยว่า “เยี่ยซือเกอเป็นศิษย์ชั้นนำในศิษย์ชั้นนำ พวกเราสองคนเป็นเพียงผู้ดูแลของโถงผู้ดูแล บ่อยครั้งวิ่งเต้นอยู่ภายนอก ไหนเลยจะสามารถรู้จักกับเขา? เพียงเคยพบเห็นเท่านั้น”

“อ้อ เช่นนั้นพวกเจ้ารู้สถานการณ์ของเขาหรือไม่ ปีนั้นเขาออกจากโรงเรียนไปหาประสบการณ์กลับมาแล้วหรือไม่”

อู๋เต๋อดึงหัวข้อมา ยิ้มเอ่ยว่า “พูดถึงเรื่องนี้ นั่นก็เป็นเรื่องสนุกเลยล่ะ!”

โม่เทียนเกออึ้งไป “เกิดอะไรขึ้น”

หลี่หยางแย่งพูดอีกครั้งว่า “เยี่ยซือเกอสาบสูญไปสิบปี ไม่มีข่าวคราวมาโดยตลอด คาดไม่ถึงว่ามีปีหนึ่ง เมืองคุนคงจู่ ๆ ส่งข่าวมา มีผู้ฝึกตนอิสระชื่อนักเดินทางไป๋อวี้คนหนึ่งถูกสังหาร เป็นฝีมือของผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังสองคน และภายหลังสาขาที่อยู่เมืองคุนจงของพวกเราก็ได้รับข่าวของเยี่ยซือเกอ……”

“นักเดินทางไป๋อวี้?” โม่เทียนเกอกับฉินซีแลกเปลี่ยนสายตากัน ในแววตาแต่ละคนล้วนมีความตื่นตะลึง

ฉินซีเห็นโม่เทียนเกอไม่เข้าใจ เอ่ยปากว่า “นักเดินทางไป๋อวี้ก็เป็นคนของสมาคมผู้ฝึกตนอิสระเมืองคุนจง อายุสี่ร้อยปี รูปลักษณ์เหมือนเด็ก ว่ากันว่าฝึกเต๋าฝึกตนร่วมสัมพันธ์เป็นพิเศษ…… ข้าเคยเดาว่า คนที่ตาเฒ่าถงอยากให้เจ้าใช้ถั่วหอมสวรรค์แลกเปลี่ยนกับแร่อวี้สุ่ยก็คือนักเดินทางไป๋อวี้”

“มิผิด” หลี่หยางตอบรับ “โส่วจิ้งซือจู่พบเห็นมากความรู้กว้างขวางโดยแท้ นักเดินทางไป๋อวี้นี้เป็นผู้ฝึกตนอิสระของเมืองคุนจง ระดับก่อเกิดตาน ตามที่ซือเกอซึ่งเคยเห็นพูด เห็น ๆ อยู่ว่าเป็นคนชรา กลับคล้ายคนวัยเยาว์ แถมใส่ใจเป็นพิเศษคล้ายอิสตรี…… ชื่อเสียงไม่ค่อยจะดีนัก คนหลายคนพูดว่าเขาใช้ทักษะดูดกลืนจึงสามารถรักษาความเยาว์วัยได้ตลอดกาล”

โม่เทียนเกอพยักหน้า “สรุปว่าเจินจีพบกับเรื่องอะไร”

อู๋เต๋อพูดต่อว่า “ว่าไปแล้วเยี่ยซือเกอก็โชคร้ายโดยแท้ เขาท่องไปถึงเมืองคุนจง ช่วยชีวิตสตรีนางหนึ่งอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผลคือสตรีนางนั้นเป็นเตาหลอมที่นักเดินทางไป๋อวี้เล็งเอาไว้ ก็เลยจับเขาไปด้วย โชคดีที่เนื่องด้วยฐานะของเยี่ยซือเกอ นักเดินทางไป๋อวี้ไม่กล้าลงมือสังหารต่อเยี่ยซือเกอ เยี่ยซือเกอเพื่อปกป้องสตรีนั้น ทั้งสองคนถูกนักเดินทางไป๋อวี้ขังมาเป็นสิบปี……”

ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดนี้แล้ว โม่เทียนเกอตะลึงขึ้นมาก่อน แล้วจึงโกรธแค้น “นักเดินทางไป๋อวี้นี้ ขวัญกล้าดีนักนะ! ถึงกับกล้ากักขังศิษย์ของโรงเรียนเสวียนชิงเรา!”

“ใครว่าไม่ใช่ล่ะขอรับ? ภายหลังก็ไม่รู้ว่าเยี่ยซือเกอใช้วิธีการอะไร ถึงกับข้ามระดับไปฆ่านักเดินทางไป๋อวี้แล้วจึงหนีออกมา……” หลี่หยางส่ายหน้าพูดว่า “ตามที่ซือเกอของสาขาเมืองคุนจงพูดมา ตอนที่เยี่ยซือเกอกับสตรีนั้นหนีออกมา ทั้งสองคนล้วนถูกทรมานจนไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว!”

“ภายหลังเล่า” ฉินซีขมวดคิ้วถาม “นักเดินทางไป๋อวี้นั่นกักขังศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงเรา สำนักอาจารย์จัดการไปแล้วหรือ”

“นี่ย่อมแน่นอน” ทราบว่าโส่วจิ้งซือจู่ท่านนี้มีศิษย์ที่รับเข้าสำนักเพียงหนึ่งคน หลี่หยางรีบเอ่ยว่า “เยี่ยซือเกอพอกลับถึงเขาไท่คัง สำนักอาจารย์ล้วนสั่นสะเทือน จิ้งเหอซือจู่ออกประกาศด้วยตัวเอง แทบจะเอาเลือดล้างสมาคมผู้ฝึกตนอิสระเมืองคุนจง เวลานั้นเรื่องนี้สั่นสะเทือนคุนอู๋ สมาคมผู้ฝึกตนอิสระดับสูญชั่วข้ามคืน ภายหลังจิ้งเหอซือจู่หายโกรธจึงรับปากว่าจะปล่อยคนที่ไม่เกี่ยวข้อง สมาคมผู้ฝึกตนอิสระของเมืองคุนจงในปัจจุบันนี้สร้างขึ้นใหม่หมด”

ได้ฟังคำพูดนี้แล้ว โม่เทียนเกอและฉินซีจึงรู้สึกหายโกรธ หากนักเดินทางไป๋อวี้ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งสองคนจะต้องไปฆ่าที่เมืองคุนจงทันที เจินจีเป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา ถึงกับแทบจะถูกคนอื่นทรมานจนตาย แค่คิดก็รู้สึกแค้นแล้ว

โดยเฉพาะโม่เทียนเกอคิดถึงว่า นักเดินทางไป๋อวี้นี้ในเมื่อสิ่งที่ฝึกคือทักษะดูดกลืน แล้วยังเป็นคนของสมาคมผู้ฝึกตนอิสระเช่นนั้นกว่าครึ่งก็คือสหายเก่าคนนั้นที่ถงเทียนอวิ้นบอก นางกับถงเทียนอวิ้นสัญญาว่าได้รับถั่วหอมสวรรค์จากภูเขามารแล้วจะแลกกับแร่อวี้สุ่ยพันปี หากก่อนหน้านี้นางได้พบหน้ากับนักเดินทางไป๋อวี้นี้ ไม่แน่ว่าจะไม่ทำให้เจินจีได้รับความทรมานมากขนาดนี้ เสียใจภายหลังมากมายนัก โชคดีที่เจินจีหนีออกมาแล้ว หากมิเช่นนั้น นางต้องเสียใจไปชั่วชีวิตจริง ๆ

…………………………….

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท