ตอนที่ 319 – หยิบโอสถออกมา
พิธีฉลองผูกจิตวิญญาณของฉินซี ประมุขเต๋าเจิ้นหยางเดิมทีวางแผนว่าจะให้คล้ายกับการผูกจิตวิญญาณของประมุขเต๋าเสวียนอินครั้งก่อน จัดพิธีอย่างหรูหรา แต่ฉินซีปฏิเสธไป เขาเชื่อว่าในเมื่อโรงเรียนเสวียนชิงทรงอิทธิพลขึ้นทุกวัน สำนักเทียนเต้าถดถอยลงทุกวัน หากพวกเขายังจัดพิธีหรูหราอย่างครั้งที่แล้วเลี่ยงไม่ได้ที่จะหยิ่งผยองอวดโอ่ไปบ้าง ยั่วยุผู้คนให้รังเกียจ ไม่สู้เก็บงำหน่อยจะดีกว่า
ประมุขเต๋าเจิ้นหยางใคร่ครวญแล้วก็ยอมรับ โรงเรียนเสวียนชิงตลอดมาไม่ใช่สำนักที่แย่งชิงชัยชนะอย่างสะดุดตา ยังคงถ่อมตัวหน่อยจะดีกว่า
ส่วนโม่เทียนเกอหลังจากทราบข้ออ้างของเขาแล้วก็แอบหัวเราะกับตัวเอง หยิ่งผยองอวดโอ่ยั่วยุผู้คนให้รังเกียจอะไรกัน พูดถึงที่สุดแล้วก็คือเขาเกลียดความยุ่งยากไม่อยากจะต้อนรับผู้อื่น! แต่ว่าอย่างนี้ดีที่สุดแล้ว ถึงเวลาอย่างน้อยนางก็ไม่ต้องออกไปพบผู้คน นางก็กลัวความยุ่งยากเหมือนกัน
พอทราบว่านางกลับมาอย่างปลอดภัย เหล่าสหายในโรงเรียนล้วนส่งเครื่องรางสื่อสารทักทายมา ในนั้นหลัวเฟิงเสวี่ยยังมาเยี่ยมเยือนถึงประตู
ไม่ได้กลับมาสิบปี นางได้ยินเรื่องซุบซิบมากมายจากปากหลัวเฟิงเสวี่ยอีกแล้ว
ก่อนอื่นคือไป๋เยี่ยนเฟยซือตี้ผู้นั้น หลังแต่งงานกับอู๋ซือเจียจึงพบว่าอู๋ซือเจี่ยผู้นี้ถึงจะอ่อนโยนซื่อสัตย์ แต่กลับมีนิสัยดื้อรั้น ควบคุมเขาตลอดเวลา กวนจนเขาเอือมระอาไม่รู้แล้ว เผอิญว่าซือฟุเขาประมุขเต๋าเจิ้นหยางปกป้องอู๋ซือเจี่ย ทำให้เขาได้แต่จนใจ
พูดถึงเรื่องนี้ หลัวเฟิงเสวี่ยยินดีในคราเคราะห์ของผู้อื่น หัวเราะเยาะไป๋ซือตี้ผู้นี้อย่างไม่เกรงใจสักนิดว่าสมน้ำหน้าแล้ว
ส่วนเจียงซือเม่ยที่ผิดหวังในความรักผู้นั้น หลายสิบปีนี้กลับสุขสบายยิ่ง คุณสมบัติของนางเดิมทีก็ไม่ได้แย่ หลายสิบปีนี้ทุ่มเทจิตใจอยู่กับการฝึกตน ถึงกับทะลวงจากสร้างฐานพลังขั้นต้นถึงขั้นปลายได้ในคราเดียว! ความเร็วเช่นนี้ทั่วทั้งเทียนจี๋ยังมีน้อยนัก หากภายหลังนางฝึกตนได้ราบรื่นเช่นนี้บางทีอายุประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบปีก็จะสามารถก่อเกิดตานทองคำได้แล้ว
ส่วนไป๋ซือตี้จนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่สร้างฐานพลังเต็มขั้น เห็นคาตาว่าเจียงซือเม่ยที่เขาดูแคลนไล่ทันตนเองแล้ว ก็ไม่รู้ว่านึกเสียใจภายหลังหรือไม่
สำหรับเรื่องนี้ หลัวเฟิงเสวี่ยได้พูดว่า “ในความเห็นข้า เจียงซือเม่ยโชคดีแล้วที่ไม่ได้แต่งกับเขา ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีความสำเร็จในวันนี้หรอก อู๋ซือเจี่ยก็น่าสงสาร ตอนนี้วัน ๆ จัดการธุระจิปาถะให้เขา เวลาฝึกตนมีไม่เท่าไหร่ เฮ้อ!”
หลัวเฟิงเสวี่ยมีมนุษย์สัมพันธ์กับศิษย์สตรีดียิ่ง อู๋ซือเจี่ยในเมื่อนิสัยอ่อนโยน คิดว่าความสัมพันธ์กับนางก็คงไม่เลว
ข้ามผ่านเรื่องนี้ไป สหายเก่าทั้งหลายขณะนี้ล้วนไม่เลว
ในระยะสิบปีนี้ ค่วงจู๋ซือเกอแห่งยอดเขาหลิงอิ่นก่อเกิดตานแล้ว คำนวณโดยคร่าว ๆ โม่เทียนเกอแรกรู้จักเขาก็เป็นเรื่องเกือบจะเจ็ดสิบปีก่อนแล้ว เวลานั้นเขาก็สร้างฐานพลังขั้นปลายแล้ว ฝึกตนราบรื่นมากมาตลอด ก่อเกิดตานก็เป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว
ส่วนเยี่ยจิ่งเหวินค่อนข้างน่าเสียดาย เคยลองหนึ่งครั้ง ก่อเกิดตานไม่สำเร็จ แต่ว่าอายุเขายังเยาว์ แค่หนึ่งร้อยปีกับอีกนิดหน่อย ไม่ต้องร้อนรนเลย
ไม่ได้พบหน้ามาสิบปี หลัวเฟิงเสวี่ยพูดคุยอยู่นานจึงได้จากไป สุดท้ายแสดงความยินดีกับนางอย่างล้อเลียนว่า “เทียนเกอ ข้ายังไม่ได้แสดงความยินดีกับเจ้าเลย ฝึกตนร่วมสัมพันธ์รู้สึกเป็นอย่างไร”
โม่เทียนเกอถูกนางหัวเราะใส่จนขัดเขิน แกล้งเอ่ยอย่างโมโหว่า “ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย ฉินซือเกออะไร เจ้าก็หลอกข้าไปด้วย!”
หลัวเฟิงเสวี่ยได้ยินแล้วหัวเราะเป็นการใหญ่ “เป็นเจ้าที่นึกเช่นนี้เอาเอง ข้าอย่างมากก็ไม่ได้อธิบายเท่านั้น มิใช่ว่าข้าหลอกเจ้าเลยนะ”
“ใช่! รู้อยู่ชัด ๆ ว่าข้าถูกหลอก ยังจะรวมหัวกันปิดบังข้า!” โม่เทียนเกอร้องหึ
“ก็ได้ ๆ!” หลัวเฟิงเสวี่ยหัวเราะพอแล้ว มาจับไหล่ของนาง “ตอนที่โส่วจิ้งซือซูพาเจ้ากลับมา ข้าก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเจ้าจะต้องไม่ธรรมดา แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้ข้ายังรู้สึกเหลือเชื่อ เจ้าเป็นคนที่โชคดีโดยแท้!”
โม่เทียนเกอกลับยิ้มเหมือนกัน “เหมือนกันล่ะ เขาก็เป็นคนที่โชคดี!”
หลัวเฟิงเสวี่ยตะลึงไป หัวเราะเป็นการใหญ่อีกครั้ง ตบไหล่ของนาง “ได้ เจ้าอยากย้ายถ้ำพำนัก ข้าก็ไม่รบกวนเจ้าแล้ว ไปก่อนนะ ภายหลังมีเวลาว่างจำไว้ว่าต้องมาคุยกับข้าด้วย”
“อืม” โม่เทียนเกอลุกขึ้น ส่งนางออกจากประตู
ออกจากถ้ำพำนักของนาง หลัวเฟิงเสวี่ยบินขึ้นกลางอากาศ ก้มหน้าลงก็พอดีเห็นโม่เทียนเกอต้อนรับฉินซีเข้าไป อดถอนหายใจออกมามิได้ ดูท่าเอ้อซือเจี่ยจะต้องเศร้าใจแล้ว แต่ว่าหวนคิดถึงประโยคนั้นของโม่เทียนเกอที่ว่า “เขาก็เป็นคนที่โชคดี” นางรู้สึกว่า ไม่เกี่ยวกับคุณสมบัติหรือสถานะ นี่อาจจะเป็นส่วนที่เอ้อซือเจี่ยสู้เทียนเกอไม่ได้สินะ?
พอหลัวเฟิงเสวี่ยไป ฉินซีก็มา ถามนางทันทีว่า “จะย้ายเมื่อใด”
โม่เทียนเกอได้ยินน้ำเสียงร้อนใจของเขาก็ยิ้มว่า “รีบร้อนขนาดนี้เพื่ออันใด ข้ามิใช่ว่าจะไม่ย้าย”
ฉินซีพูดอย่างไม่ลังเลสักนิดว่า “ข้าคิดถึงเจ้า”
ถึงทั้งสองคนจะสนิทสนมกันมานานแล้ว โม่เทียนเกอได้ยินประโยคนี้ก็ยังหน้าแดงเล็กน้อย “เอาเถอะ โถงผู้ดูแลจัดแจงเรื่องราวเรียบร้อยแล้ว ข้าจะไปได้แล้วล่ะ”
ฉินซียินดีอย่างเหนือความคาดหมาย จูงมือนางจะไปเลย “เช่นนั้นก็ไปเถอะ!”
“นี่!” โม่เทียนเกอจนใจ เอ่ยว่า “ยังมีเรื่องอื่นอีกนะ!”
ฉินซีเบิกตากว้าง “เจ้ามิใช่บอกว่าล้วนจัดแจงเสร็จแล้วหรือ ทำไมยังมีเรื่อง”
เขาสีหน้าระแวง เห็นได้ชัดว่ารู้สึกว่านี่เป็นคำพูดบ่ายเบี่ยงของนาง โม่เทียนเกอทั้งรำคาญทั้งขำ เอ่ยว่า “รีบร้อนกลับไปทำอะไร เรื่องพวกนั้นมีโถงผู้ดูแลจัดแจงเอง ตอนนี้ฟ้ายังไม่มืด พอดีให้พวกเราได้ไปพบซือฟุ!”
“อ้อ” เอ่ยถึงประมุขเต๋าจิ้งเหอ ฉินซีเก็บสีหน้าระแวงลงไป ถามนางว่า “พวกเราหยิบโอสถอะไรให้ซือฟุ?”
โม่เทียนเกอคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ยาจิตวิญญาณเก้าเลี้ยว ยาทองคำสุดกระจ่าง เม็ดชีพจรเป็นหนึ่ง พวกนี้ล้วนได้ นอกจากนี้ พวกเราเอาผลทองไร้ดอกไปอีกสองลูก”
“ผลทองไร้ดอกเก็บได้ไม่นานก็จะเหี่ยวแล้ว ถ้าอย่างนี้จะอธิบายได้ไม่ง่ายรึเปล่า”
โม่เทียนเกอยิ้ม “มีอะไรที่อธิบายได้ไม่ง่ายเหล่า ท่านเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่แล้ว ใช้ฝีมือเล็กน้อยเก็บรักษาไว้ประมาณหนึ่งปีไม่เป็นปัญหากระมัง”
ฉินซีคิดแล้วพยักหน้า “พูดมาก็ใช่ หากใช้พลังวิญญาณปริมาณมากเคลือบผลทองไร้ดอกเอาไว้แล้วใช้เครื่องรางพิเศษปิดผนึกอีก ถึงจะไม่สามารถเก็บรักษาได้นานมาก แต่ประมาณหนึ่งปีไม่ใช่ปัญหา”
หลังจากพูดจาตกลงกันอย่างนี้แล้ว ทั้งสองคนเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนไปเตรียมการ ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนมีต้นผลทองไร้ดอกสองต้น หนึ่งต้นในนั้นกำลังอยู่ในช่วงออกผล สิ่งของนี้ต้องเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขึ้นไปจึงมีประโยชน์ โม่เทียนเกอยังอยู่ระดับก่อเกิดตาน ฉินซีก็เพิ่งจะไปถึงระดับจิตวิญญาณใหม่ ไม่เคยเก็บมาโดยตลอด
ต้นผลทองไร้ใจสองต้นนี้ล้วนมีอายุหลายหมื่นปี นี่เป็นต้นไม้วิญญาณที่ค่อนข้างมีอายุยืนชนิดหนึ่ง ทุกร้อยปีออกผลหนึ่งครั้ง ทุกครั้งเพียงมีไม่กี่ผล พวกเขาเก็บอย่างระมัดระวัง ใช้กล่องหยกเก็บไว้อย่างดี ฉินซีสิ้นเปลืองฝีมือนิดหน่อยจึงปิดผนึกพลังวิญญาณลงไป
จากนั้น ทั้งสองคนออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนไปยังวังซ่างชิงด้วยกัน
ประมุขเต๋าจิ้งเหอยังคงอยู่ที่ห้องกักตน อีกทั้งครั้งนี้ประมุขเต๋าเจิ้นหยางก็อยู่ด้วย
เห็นพวกเขาสองคนมา ประมุขเต๋าเจิ้นหยางยิ้มด้วยสีหน้าเมตตา “โส่วจิ้ง ชิงเวย พวกเจ้ามาได้อย่างไร”
ยังไม่ได้จัดพิธีฉลองผูกจิตวิญญาณ ฉินซีและเทียนเกอยังคงเรียกขานว่า “เจิ้นหยางซือป๋อ”
“ดี ดี ไม่ต้องมากพิธีแล้ว” พวกเขาคารวะไปได้ครึ่งทางก็ถูกประมุขเต๋าเจิ้นหยางยกตัวขึ้นมา ฉินซีผูกจิตวิญญาณครั้งนี้ คนที่มีความสุขที่สุดก็คือประมุขเต๋าเจิ้นหยางผู้นี้เอง
โม่เทียนเกอและฉินซีลุกขึ้น คารวะให้ประมุขเต๋าจิ้งเหออีก “ซือฟุ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอวันนี้สติแจ่มใส ยิ้มเอ่ยว่า “ลุกขึ้นเถิด ยามปกติก็ไม่เคยจะเห็นพวกเจ้าสองคนมากพิธีขนาดนี้ พอแต่งงานก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว”
เมื่อได้ยินเขาพูดล้อเลียนเช่นนี้ โม่เทียนเกอจิตใจสงบลง ดูท่าสถานการณ์ของซือฟุวันนี้ไม่เลวเลย เริ่มพูดล้อเล่นแล้ว
ก่อนที่พวกเขาจะมาไม่รู้ว่าประมุขเต๋าจิตวิญญาณใหม่พูดอะไรกัน โม่เทียนเกอกับฉินซีหลังจากนั่งลงแล้ว กลับเป็นประมุขเต๋าเจิ้นหยางที่ถามขึ้นมาก่อนว่า “โส่วจิ้ง ชิงเวย พวกเจ้าสองคนมามีธุระหรือ”
ฉินซีตอบว่า “พวกเรามาดูสถานการณ์ของซือฟุ แล้วก็ถือโอกาสถามว่ามีอะไรที่สามารถช่วยเหลือขอรับ”
“อ้อ อย่างนี้เอง” ประมุขเต๋าเจิ้นหยางพยักหน้า ค่อนข้างพึงพอใจ “พวกเจ้ามีใจแล้ว อาการบาดเจ็บของซือฟุพวกเจ้าไม่ได้ร้ายแรงถึงชีวิต จุดนี้ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ขอรับ” ฉินซีมองประมุขเต๋าจิ้งเหอ ถามว่า “เจิ้นหยางซือป๋อ เช่นนั้นมีโอสถอะไรที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บของซือฟุหรือไม่ขอรับ”
“โอสถน่ะมีหลายชนิด แต่หญ้าวิญญาณที่จำเป็นหาไม่ได้ง่าย ๆ จริง ๆ เฮ้อ โลกมนุษย์ปัจจุบันนี้มีสมบัติฟ้าดินน้อยนัก พวกเราผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขึ้นไปแทบจะกินโอสถไม่ได้ สิบปีนี้ก็ได้แต่แจกจ่ายโอสถรักษาบาดเจ็บหลายตัวออกไป”
ได้ยินคำพูดนี้ โม่เทียนเกอและฉินซีแลกเปลี่ยนสายตากัน
ฉินซีหยิบกล่องหยกสองใบออกมาจากในกระเป๋าเอกภพ กล่าวกับทั้งสองคนว่า “ซือฟุ เจิ้นหยางซือป๋อ ไปภูเขามารครั้งนี้ ข้ากับเทียนเกอนับว่าโชคดีในคราเคราะห์ ได้รับสมบัติบางอย่างมาในข้างใน พวกท่านลองดูว่ามีประโยชน์ต่ออาการบาดเจ็บของซือฟุหรือไม่”
“อ้อ?” ประมุขเต๋าทั้งสองสีหน้าค่อนข้างประหลาดใจแกมยินดี สายตาของฉินซีพวกเขาก็ทราบอยู่ เขาบอกว่าเป็นสมบัติ จะต้องล้ำค่าแน่นอน
ประมุขเต๋าเจิ้นหยางรับมา ฟังฉินซีกล่าวอยู่ข้าง ๆ ว่า “ในนี่เป็นโอสถบางอย่าง สิ่งที่พวกเราได้รับเป็นหญ้าวิญญาณบางส่วน สิ่งที่เก็บรักษาไม่ได้ล้วนหลอมออกมาเป็นโอสถ ในนี่เป็นผลทองไร้ดอกสามลูก โชคดีที่ข้าผูกจิตวิญญาณใหม่แล้ว ถ้ามิเช่นนั้นก็ไม่มีหนทางเอากลับมา”
“ผลทองไร้ดอก!” ประมุขเต๋าทั้งสองล้วนตกตะลึง มองตากันเอง ประมุขเต๋าเจิ้นหยางเอาโอสถกล่องนั้นไปไว้ด้านข้าง เห็นว่าบนกล่องหยกนี้เต็มไปด้วยพลังวิญญาณก็ลอกเครื่องรางอันซับซ้อนด้านบนออกอย่างระมัดระวัง
หลังจากเปิดกล่อง ประมุขเต๋าทั้งสองสูดลมหายใจหนาวเย็นเข้าไปคำหนึ่งทันที
ในกล่องหยกวางผลไม้สีทองสามลูกเอาไว้ เปลือกเป็นสีทองที่ไร้จุดด่างพร้อยสักนิด พอเปิดฝากล่องก็ได้กลิ่นหอมของหญ้าเขียวอันหวานบริสุทธิ์ประการหนึ่ง
“ผลทองไร้ดอก……” ประมุขเต๋าจิ้งเหอสูดลมหายใจเข้าลึก ท่องพึมพำว่า “มิผิด นี่ก็คือผลทองไร้ดอก ดูจากสีสัน ต้นผลทองไร้ดอกนั้นอย่างน้อยที่สุดก็มีอายุหมื่นปีกระมัง”
ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ เพียงมองแวบเดียวก็ประเมินอายุของผลทองไร้ดอกนี้ออกแล้ว
ประมุขเต๋าเจิ้นหยางกลับมองอยู่นานแล้วจึงถอนหายใจโล่งออกออกมาคำหนึ่ง หันศีรษะไปถามฉินซีว่า “พวกเจ้าค้นพบต้นผลทองไร้ดอกนั้นที่ไหน จดจำตำแหน่งได้หรือไม่”
ฉินซีส่ายหน้า เอ่ยว่า “หลังจากภูเขามารผันแปร ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนไป ข้ากับเทียนเกอบังเอิญพบเจอตอนที่หลงทาง ภูมิประเทศพิเศษเฉพาะถึงสิบส่วน ภายหลังพวกเราก็กลับไปหา แต่ทำอย่างไรก็พาไม่เจอ”
สถานที่อย่างภูเขามารไม่อาจใช้สามัญสำนึกมาคาดเดา ฉินซีโกหกมั่ว ๆ ก็ไม่ถูกเปิดโปง
ประมุขเต๋าเจิ้นหยางมิได้ระแวงตามคาด เพียงถอนหายใจอย่างเสียดายมากสองคำ
ฉินซีถามอีกว่า “เจิ้นหยางซือป๋อ สิ่งของนี้มีประโยชน์ต่ออาการบาดเจ็บของซือฟุไหมขอรับ”
ผู้ที่ตอบเขาคือประมุขเต๋าจิ้งเหอ เขายิ้มเอ่ยว่า “ย่อมมีประโยชน์ ผลทองไร้ดอกนี้ ผู้ฝึกตนต่ำกว่าจิตวิญญาณใหม่ทนรับพลังวิญญาณของมันไม่ไหว แต่สำหรับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ หนึ่งผลก็เท่ากับปรับลมปราณหลายปีเลย”
“มิผิด” ประมุขเต๋าเจิ้นหยางมองดูผลไม้สามผลนี้ สายตาเต็มไปด้วยความไม่อยากพรากจาก เขาเองก็พบเห็นวัตถุวิญญาณชนิดนี้ได้ยาก “มีสามผลนี้ เวลาในการรักษาบาดเจ็บของซือฟุพวกเจ้าจะลดลงอย่างน้อยที่สุดสามสิบปี”
ได้ฟังคำพูดนี้ โม่เทียนเกอและฉินซีสบตากัน ดีใจถึงสิบส่วน
“เจิ้นหยางซือป๋อ ท่านลองดูโอสถเหล่านี้อีกว่ามีประโยชน์ต่อซือฟุหรือไม่”
…………………………………………