ตอนที่ 329 – ออกทะเล
“ผู้อาวุโสเยี่ย จากนี่ไปตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่ตั้งสายแร่ศิลาวิญญาณของพวกเรา น่านน้ำทะเลเขตนี้ปลอดภัย ไม่มีอสูรทะเลที่อันตรายอะไร นอกจากนี้ นี่คือแผนที่ทะเล เป็นสิ่งที่เหล่าบรรพจารย์ของสำนักถ่ายทอดลงมา บนนั้นจดการกระจายตัวของอสูรทะเลเอาไว้ แต่เพราะว่าระดับการฝึกตนจำกัด สถานที่หลายแห่งพวกเราก็ไม่เคยไป ไม่แน่ว่าจะน่าเชื่อถือ”
โม่เทียนเกอรับแผนที่ทะเลจากเว่ยเฮ่าหลาน เอ่ยด้วยใจจริงว่า “ขอบคุณท่านมาก มีแผนที่ทะเลแผ่นนี้ ข้าจะเดินทางได้ปลอดภัยขึ้นมากเลย”
เว่ยเฮ่าหลานยิ้มแล้วโบกมือ “ผู้อาวุโสเยี่ยเป็นผู้อาวุโสรับเชิญของสภาปี้เซวียนเรา อีกทั้งมีความเมตตาต่อพวกเรา เรื่องเล็กน้อยนี้ย่อมสมควรแล้ว”
โม่เทียนเกอก็เข้าใจ สถานการณ์ในปัจจุบันของสภาปี้เซวียนมีศิลาวิญญาณมีลูกศิษย์ สิ่งที่ขาดก็คือช่องทางหาทรัพยากรธรรมชาติที่ขาดแคลนบางอย่างและการชี้แนะของผู้ฝึกตนระดับสูง ดังนั้นนางผู้เป็นผู้อาวุโสรับเชิญคนนี้สำหรับสภาปี้เซวียนแล้วสำคัญมาก เว่ยเฮ่าหลานจะต้องพยายามสุดความสามารถเติมเต็มข้อเรียกร้องของนางเพื่อขอร้องนางให้ช่วยเหลือสภาปี้เซวียน แทนที่จะแค่อาศัยความที่ได้ผ่านความทุกข์ยากมาด้วยกันเมื่อหลายสิบปีก่อนรวมทั้งที่บรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักเป็นบรรพบุรุษของนางแล้วจึงไปขอให้นางตอบรับข้อเรียกร้องทุกอย่าง
ถึงอย่างไรนางอยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิงมีตำแหน่งไม่สามัญ ด้วยเส้นสายของนาง การอยากจะได้รับโอสถจำนวนหนึ่งหรือแม้กระทั่งวิชาเวทก่อเกิดตานก็จะง่ายดายขึ้นมากมาย อีกทั้งตัวนางเองมีระดับการฝึกตนสูง อนาคตสดใส หากภายภาคหน้าผูกจิตวิญญาณใหม่ได้สำเร็จ ขอเพียงมาดูแลครั้งสองครั้งเป็นครั้งคราว สภาปี้เซวียนก็จะมีผลประโยชน์มหาศาลแล้ว
แต่ว่าโม่เทียนเกอไม่ถือสาการวางแผนของเว่ยเอ่าหลานเลย ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ที่โลกฝึกเซียนแห่งนี้ ใครเล่าจะสามารถทำดีต่อคนคนหนึ่งโดยไม่มีจิตเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง ขอเพียงนางไม่มีเจตนาร้ายก็พอแล้ว อีกอย่าง นางกับสภาปี้เซวียนคงความสัมพันธ์อย่างนั้นเอาไว้เทียบกับคนแปลกหน้าแล้วก็น่าเชื่อถือกว่ามาก
รับแผนที่ทะเลมา โม่เทียนเกอจู่ ๆ คิดถึงเรื่องหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าสำนักเว่ย มีเรื่องหนึ่ง ข้าอยากขอร้องท่าน”
“อ้อ? ผู้อาวุโสเยี่ยเชิญพูด”
โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “ใกล้ๆ เมืองหลินไห่มีหมู่บ้านประมงแห่งหนึ่ง ในหมู่บ้านมีชาวประมงชื่อสุ่ยซาน หกสิบปีก่อนตอนที่ข้ามาหลินไห่เคยมีวาสนากับบ้านพวกเขา เขามีบุตรีอยู่คนที่ทดสอบได้ห้ารากวิญญาณ ปัจจุบันนี้น่าจะมีอายุหกสิบแปดปีแล้ว ปีนั้นหลินไห่โกลาหล ไม่รู้ว่าครอบครัวพวกเขาอยู่ดีหรือไม่ ยังต้องขอให้ท่านช่วยข้าสืบข่าว”
ได้ยินว่านี่เป็นเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ เว่ยเฮ่าหลานตกปากรับคำทันที “ผู้อาวุโสเยี่ยวางใจได้เลย เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
“เช่นนั้นก็ขอขอบคุณล่วงหน้า”
ส่งมอบเรื่องราวเสร็จแล้ว โม่เทียนเกอเงยหน้าทอดมองตงไห่
สุดขอบสายตา น้ำทะเลไร้ขอบเขต ลมทะเลพัดโชย เกลียวคลื่นใสทอประกาย
ตอนที่ลมเฉื่อยตะวันทอแสง มหาสมุทรสงบนิ่งงดงามถึงเพียงนี้ แต่ว่า ตอนที่มันพลุ่งพล่านขึ้นมา คลื่นโหมแปรปรวนดังจะถล่มทลาย เมื่อเผชิญหน้ากับเพลิงแค้นของมัน มนุษย์ แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนก็ยากจะเผชิญหน้าโดยง่าย นอกเสียจากฝึกตนไปถึงจิตวิญญาณใหม่ มีความสามารถในการเคลื่อนภูเขาผลาญทะเล จึงจะสามารถเผชิญหน้ากับความพิโรธของมหาสมุทรได้โดยไม่หวั่นเกรง
โม่เทียนเกอคาดเดาว่าถ้ำพำนักนั่งละสังขารของโม่เหยาชิงตั้งอยู่ในส่วนลึกของตงไห่ จะต้องมีอันตราย ถึงจะมีแผนที่บอกเส้นทางที่นางทิ้งเอาไว้ แต่การล่วงล้ำเข้าน่านน้ำทะเลก็จะมีอสูรทะเลขั้นสูงโผล่ออกมา อาจจะเพราะคำนึงอย่างนี้ จึงตั้งกำแพงอาคมอันซับซ้อนอย่างนั้นขึ้นมา
แต่ว่านางไม่กลัว ทางหนึ่งอาวุธเวทคู่ชีพพัดแห่งสวรรค์และโลกาของนางเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่แล้ว สมบัติชิ้นนี้พลังฆ่าฟันไม่ได้สูงมากเลย การป้องกันกักขังกลับเป็นชั้นหนึ่ง ยิ่งบวกกับรองเท้าย่ำเมฆา, ผ้าเช็ดหน้าไหมขาว, โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนาง วิธีการรักษาชีวิตมากมาย มิใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานทั่วไปจะเทียบเทียมได้ ขอเพียงไม่โชคร้ายจนเกินไปก็จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
“เจ้าสำนักเว่ย ข้าไปก่อนนะ”
เว่ยเฮ่าหลานกุมมือ “ผู้อาวุโสเยี่ย กลับมาเร็ว ๆ นะ” พบนางครั้งนี้ เว่ยเฮ่าหลานเกรงใจขึ้นมาก ถึงแม้ว่าระหว่างทั้งสองคนยังคงมีความสนิทสนมอย่างแต่ก่อน แต่เลี่ยงไม่ได้ที่จะเจือความนับถืออยู่บ้าง
โม่เทียนเกอยิ้ม เมฆก่อตัวที่ใต้ฝ่าเท้า ยกขึ้นกลางอากาศ กลายร่างเป็นแสงหลบหนีสายหนึ่งพุ่งไปยังส่วนลึกของมหาสมุทร
หลังจากเลื่อนระดับเป็นก่อเกิดตาน รองเท้าย่ำเมฆาซึ่งเป็นอาวุธเวทชั้นสุดยอดนี้จึงแสดงพลังของอาวุธเวทอันแท้จริงออกมา ตอนที่สร้างฐานพลัง ถึงแม้ว่านางสวมรองเท้าย่ำเมฆาแล้วก็สามารถบินเหินกลางอากาศเหมือนกัน แต่กลับไม่ได้มีความเร็วเช่นนี้ หลังจากก่อเกิดตาน พอใช้รองเท้าย่ำเมฆา เมฆก่อตัวที่ใต้ฝ่าเท้า ก้อนเมฆนี้จะนำนางเหินบิน ทำให้นางประหยัดพลังวิญญาณไม่น้อย
การเดินทางของผู้ฝึกตนก่อเกิดตานเร็วยิ่ง แค่ครึ่งวันก็ผ่านที่ตั้งของสายแร่ศิลาวิญญาณที่เว่ยเฮ่าหลานบอกไว้ไปแล้ว บินต่อไปยังส่วนลึกของตงไห่ ก็ไม่รู้ว่าจะพานพบกับอะไร
โม่เทียนเกอครุ่นคิดชั่วขณะแล้วให้ตนเองบินสูงขึ้นไปอีกหน่อยเพื่อเลี่ยงการรบกวนอสูรทะเลที่ร้ายกาจ แต่ก็ไม่สามารถบินสูงยิ่งกว่านี้ เพราะว่านางยังต้องดูผืนทะเลเสาะหาที่โม่เหยาชิงทิ้งเอาไว้
ผ่านไปห้าพันกว่าปีแล้ว ตราประทับที่โม่เหยาชิงทิ้งไว้ในปีนั้นสรุปแล้วยังจะมีประสิทธิภาพหรือไม่ โม่เทียนเกอก็ไม่มั่นใจ แต่ว่าด้วยความชาญฉลาดของโม่เหยาชิงน่าจะคิดถึงปัญหาข้อนี้จึงจะถูก คิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอวางความกังขาเหล่านี้ไปยังส่วนลึกของสมอง บินเต็มกำลัง
การบินนี้บ้นไปห้าวัน โม่เทียนเกอจากที่แรกเริ่มเพียงมองเห็นอสูรทะเลขั้นหนึ่งขั้นสอง ถึงตอนนี้พบเห็นอสูรทะเลขั้นสี่ขั้นห้าโผล่ออกมาบ่อย ๆ แล้ว
นางระมัดระวังรอบคอบมาตลอดทาง หากดึงดูดความสนใจของอสูรทะเลเหล่านี้ขึ้นมาก็จะบินสูงขึ้นหน่อยหลบเลี่ยง
ถึงวันที่หก ในที่สุดโม่เทียนเกอค้นพบเกาะเล็กที่ครอบคลุมไปด้วยพลังวิญญาณบนทะเล เกาะเล็กนี้เล็กยิ่ง มีรัศมีเพียงหนึ่งลี้ คลื่นสูงครั้งหนึ่งก็อาจจะกลืนกินเกาะเล็กนี้ไปแล้ว เส้นเลือดวิญญาณก็ไม่ได้ดีมาก พลังวิญญาณอ่อนจาง เป็นเพียงเส้นเลือดวิญญาณเล็กจ้อยอันหนึ่งเท่านั้น นางกลับตื่นเต้นยินดีถึงสิบส่วน เพราะว่าบนแผ่นหยกของโม่เหยาชิงมีบันทึกถึงเกาะเล็กแห่งนี้ เพียงแต่ว่า โม่เหยาชิงบอกมาใหญ่สักหน่อย คิดว่าผ่านไปห้าฟันปี พื้นที่ของเกาะเปลี่ยนแปลงไปบ้างเป็นเรื่องปกติ ในทะเล เกาะเล็กประเภทนี้อาจจะหายสาบสูญไปในชั่วข้ามคืนเลยก็เป็นได้
บินวนรอบ ๆ เกาะเล็กนี้กลางอากาศ ไม่พบร่องรอยของอสูรทะเลขั้นสูงในบริเวณโดยรอบ โม่เทียนเกอทิ้งตัวลงบนเกาะเล็กนี้อย่างระมัดระวัง
เกาะเล็กนี้ก็ไม่รู้ว่าไม่มีคนมาเยือนนานเท่าไรแล้ว พืชพรรณประเภทเถาวัลย์งอกเงยอย่างหนาแน่น แทบจะคลุมพื้นที่ทั้งหมดนอกจากชายหาด
โม่เทียนเกอเห็นแล้วกลับปล่อยเสี่ยวหั่วออกจากกระเป๋าสัตว์วิญญาณอย่างระมัดระวัง
บนแผ่นหยกของโม่เหยาชิงบอกว่าเถาวัลย์พวกนี้พิสดารถึงสิบส่วน ดุจดั่งมีชีวิต ตราบที่เป็นสิ่งมีชีวิตก็จะถูกพวกมันมัดแล้วกลืนกิน โลกใบนี้แต่ไหนแต่ไรมาเป็นสัตว์กินพืช พืชกินสัตว์ประเภทนี้ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ ฝืนกฎเกณฑ์ดั่งมาร ดังนั้นเถาวัลย์นี้ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นหญ้ามารชนิดหนึ่ง ก็เพราะเหตุนี้ บริเวณเกาะน้อยนี้มีอสูรทะเลน้อย เพราะว่าอสูรทะเลขั้นต่ำพวกนั้นหากมาที่นี่อย่างไม่ระวังก็จะถูกเถาวัลย์พวกนี้กลืนกิน
แต่ว่าเถาวัลย์พวกนี้มิใช่ไม่มีศัตรูตามธรรมชาติ ถ้าหากเป็นอสูรมารขั้นห้าขึ้นไปก็จะมีกำลังพอฟัดพอเหวี่ยงกับพวกมัน อีกทั้งยังมีอสูรทะเลบางตัวชอบกินเถาวัลย์พวกนี้มาก เพราะว่าเถาวัลย์พวกนี้กินอสูรมารบ่อย พลังวิญญาณที่กักเก็บไว้เทียบกับหญ้าวิญญาณทั่วไปแล้วมากกว่า กลืนกินลงไปก็จะมีส่วนช่วยเหลือต่อระดับการฝึกตน
สาเหตุที่โม่เหยาชิงบันทึกเกาะเล็กพวกนี้ลงในแผ่นหยกก็เป็นเพราะว่าถัดจากนี้ยังมีเส้นทางอีกยาวไกล มหาสมุทรไม่อาจเทียบแผ่นดินที่บินจนเหนื่อยแล้วก็สามารถหยุดพัก หลายวันหรือแม้แต่หลายสิบวันมองไม่เห็นแผ่นดินก็เป็นเรื่องปกติมาก ดังนั้นหากมีคนไปหาถ้ำพำนักของนางก็จำเป็นต้องพักผ่อนบนเกาะเล็กนี้สักหน่อย
ถึงจะพูดว่าพลังวิญญาณที่สูญเสียในการบินน้อยยิ่ง แต่การที่ไม่สามารถพักผ่อนตลอดเวลา ถึงพลังวิญญาณจะมียาฟื้นฟูวิญญาณคอยเสริม ความเหน็ดเหนื่อยทางจิตวิญญาณก็จะทำให้คนทนรับไม่ได้แล้ว พอจิตวิญญาณไม่ดี ปฏิกริยาเมื่ออันตรายโผล่ออกมาก็จะช้า ความแข็งแกร่งก็จะตกลงไปมากมาย ดังนั้น โม่เหยาชิงบันทึกตำแหน่งของเกาะเล็ก ๆ ที่สามารถพักชั่วคราวเอาไว้บนแผ่นหยกมากมาย
โม่เทียนเกอมีโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนอยู่ ปัญหาข้อนี้เดิมทีไม่ได้คงอยู่ เหตุที่เสาะหาเกาะเล็กพวกนี้ หนึ่งคือใช้เปรียบเทียบ สองก็คือเพราะโม่เหยาชิงจดคุณสมบัติของเถาวัลย์พวกนี้เอาไว้ นางเกิดสนใจขึ้นมา อยากจะเก็บสะสมสักหน่อย ถึงอย่างไรที่นี่เป็นตงไห่ซึ่งมีผู้คนย่างกรายน้อย พวกผู้ฝึกตนของสภาปี้เซวียนปัจจุบันนี้ระดับยังต่ำ มาไม่ถึงที่นี่ เถาวัลย์นี้ยังพบเห็นได้น้อย เก็บสะสมสักหน่อย ไม่แน่ว่าภายหลังจะมีประโยชน์
ไม่รู้ว่าเสี่ยวหั่วไม่ได้ออกจากกระเป๋าสัตว์วิญญาณนานเกินไปรึเปล่า พอออกจากกระเป๋าสัตว์วิญญาณก็เกลือกกลิ้งอยู่ในเกาะอย่างร่าเริงไร้ที่เปรียบ
โม่เทียนเกอเห็นแล้วรีบร้องห้าม “เสี่ยวหั่ว กลับมา!”
เสี่ยวหั่วหยุดชะงัก หันหัวมามองนาง กะพริบดวงตาเม็ดเล็ก ๆ สีดำแล้วหันหัวไปจ้องมองเถาวัลย์สีเขียวนั้นอีก ท่าทางอยากจะไปมาก
พอเห็นเหตุการณ์นี้ ในสมองโม่เทียนเกอปรากฎความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา หรือว่าไม่ใช่แค่อสูรทะเล สัตว์วิญญาณซึ่งใช้ชีวิตบนบกอย่างเสี่ยวหั่วก็มีสัญชาตญาณอยากกินสิ่งนี้?
สัตว์วิญญาณกินเถาวัลย์พวกนี้แล้วสรุปว่าจะเป็นอย่างไร โม่เหยาชิงไม่ได้พูดเลย เพียงเอ่ยถึงคุณสมบัติของเถาวัลย์พวกนี้ในแผ่นหยกคร่าว ๆ ว่าหากพักผ่อนที่นี่ต้องสังเกตสักหน่อย แต่ว่า ในเมื่ออสูรทะเลชอบกิน เช่นนั้นสำหรับสัตว์วิญญาณก็น่าจะเป็นเหมือนกันกระมัง?
คิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอเอ่ยกับเสี่ยวหั่วว่า “เสี่ยวหั่ว ใช้ทักษะเวทของเจ้าโจมตีพวกมัน”
เสี่ยวหั่วกับนางจิตใจสื่อถึงกัน พอได้รับคำสั่งก็กระโดดขึ้นทันที ไฟแท้ไท่หยางพ่นออกมา
ขอเพียงเป็นหญ้าวิญญาณล้วนกลัวสิ่งของประเภททองกับไฟ ถึงแม้ว่าเถาวัลย์พวกนี้จะเป็นหญ้ามารก็ไม่แตกต่าง ไฟแท้ไท่หยางของเสี่ยวหั่วพอออกมา เห็นคาตาว่าเถาวัลย์ซึ่งเดิมที่สงบนิ่งดั่งพืชทั่วไปยกตัวขึ้นมาในพริบตา หลบเลี่ยงไฟแท้ไท่หยาง
เสี่ยวหั่วพอเห็น ลูกตาเบิกจนกลมโต กระโดดขึ้นพ่นไฟแท้ไท่หยางอีกสายหนึ่งลงที่รากของเถาวัลย์ตรง ๆ
ครั้งนี้ ถึงแม้เถาวัลย์พวกนี้จะหนีอย่างแตกตื่นก็หนีไม่รอด รากถูกเผาจนไหม้ดำทันที กิ่งใบเฉาลงมา
“อูอู!” เสี่ยวหั่วร้องสองคำอย่างตื่นเต้น วิ่งไปกัดกิ่งใบพวกนั้น ขบเคี้ยวเป็นการใหญ่
โม่เทียนเกอเห็นมันน่าจะจัดการได้สบายก็ไม่ใส่ใจมากความแล้ว เสี่ยวหั่วถึงอย่างไรอยู่ขั้นห้าแล้ว แล้วยังกลายพันธุ์ อสูรมารทั่วไปทำอะไรมันไม่ได้ อย่าว่าแต่เถาวัลย์พวกนี้เลย ในเมื่อมันชอบกิน เช่นนั้นก็ให้มันกินจนอิ่ม
คิดอย่างนี้แล้ว ตัวนางเองชักกระบี่บินออกมา อาศัยระดับการฝึกตนที่สูงถอนรากถอนโคนเถาวัลย์ขึ้นมาส่วนหนึ่ง ใช้พลังวิญญาณของตนเองสะกด ผนึกเข้าไปในกล่องหยก
เดิมทีเตรียมไว้ว่ารอจนเสี่ยวหั่วกินพอแล้วก็จะเข้าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนไปพักผ่อน ใครจะรู้ว่าเจ้าหนูนี่กินจนเหมือนเสพติด ไม่ยอมจากไป
โม่เทียนเกอคิด ๆ แล้วเห็นว่ารอบบริเวณไม่ได้มีอสูรทะเลขั้นสูงอะไรก็เลยปล่อยมันไป ตัวเองเสาะหาพื้นที่ตั้งม่านพลังป้องกันแล้วพักผ่อน ถือโอกาสศึกษาแผนที่เส้นทางของโม่เหยาชิง
โม่เทียนเกอหยิบแผ่นหยกรวมทั้งแผนที่ทะเลที่เว่ยเฮ่าหลานมอบให้อกอมา เปรียบเทียบทั้งสองอย่างโดยละเอียดหนึ่งรอบ
ด้านความละเอียดย่อมเป็นแผ่นของโม่เหยาชิงเยี่ยมกว่าบ้าง นางบันทึกเส้นทางการเดินทางของปีนั้นด้วยตนเองโดยละเอียด พื้นที่ตรงไหนมีเกาะแก่งสามารถระบุ มีอสูรมารอะไรบ้างล้วนกระจ่างชัด แต่แผนที่ทะเลแผ่นนั้นที่เว่ยเฮ่าหลานให้อาจจะเที่ยงตรงกว่าบ้าง เพราะว่าโม่เหยาชิงจะอย่างไรก็เป็นคนเมื่อห้าพันปีก่อน ผืนทะเลกลายเป็นท้องทุ่งมาห้าพันปี สิ่งของบางอย่างจะต้องแปรเปลี่ยนไปแล้ว เกาะเล็กก็อาจจะหายไป แล้วก็อาจจะปรากฏเกาะอีกเกาะ อสูรมารยิ่งจะอพยพ
ตามบันทึกของโม่เหยาชิง จากเกาะเล็กแห่งหนึ่งบ้านไปตะวันออกเฉียงใต้จะมีเกาะใหญ่หนึ่งเกาะ ส่วนตามแผนที่ทะเลของเว่ยเฮ่าหลาน ที่นั่นกลับไม่มีตำแหน่งของเกาะใหญ่ โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว สรุปว่าแผ่นไหนจึงจะถูกต้องเล่า
……………………………….