ตอนที่ 339 – ตัดสินใจจากไป
อสูรวิญญาณสามตัว เสี่ยวหั่วและเสี่ยวฝานขั้นห้า เฟยเฟยขั้นสี่ เสี่ยวหั่วเชี่ยวชาญเวทอัคคี ครอบครองไฟแท้ไท่หยาง พลังกล้าแกร่ง เสี่ยวฝานเชี่ยวชาญเวทวารี อีกทั้งเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายอย่างมหาสมุทร ครอบครองพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า เฟยเฟยถึงแม้จะไม่แข็งแกร่ง แต่ครอบครองความสามารถพิเศษที่ทำให้ผู้คนสงบจิตสงบใจ
อสูรวิญญาณเช่นนี้สามตัวทำให้ความแข็งแกร่งของโม่เทียนเกอเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อย นางกล้าพูดว่าทั่วทั้งคุนอู๋ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานที่สามารถมีอสูรวิญญาณขั้นห้าสองตัวอย่างนางมีไม่กี่คน
อสูรวิญญาณเป็นสิ่งที่เลี้ยงดูยากมาก ถึงแม้พวกผู้ฝึกตนของคุนอู๋ก็มีมากมายที่เลี้ยงอสูรวิญญาณ แต่ก็แทบจะตามระดับการฝึกตนของตนเองไม่ทันเลย จะอย่างไรความเร็วในการฝึกตนของอสูรวิญญาณก็สอดคล้องกับอายุขัยอันยาวนานคือช้ามาก ไม่มีโอสถเพียงพอให้พวกมันกิน อาศัยการฝึกตนของพวกมันเองทั้งหมด นั่นตามระดับการฝึกตนของผู้ฝึกตนไม่ทันเลย ทว่าหากมีโอสถ ผู้ฝึกตนคนใดจะไม่เอาให้ตนเองกินก่อนเล่า
แม้แต่คนอย่างประมุขเต๋าจิ้งเหอและฉินซีก็ไม่สามารถ ประมุขเต๋าจิ้งเหอถึงจะมีลานอสูรวิญญาณ แต่ตัวที่สูงที่สุดภายในก็แค่อสูรวิญญาณขั้นเจ็ดหนึ่งตัว ไม่มีที่ไปถึงขั้นแปด ฉินซีเลี้ยงนกฉงหมิงหนึ่งตัว เพราะว่าไล่ตามระดับการฝึกตนของเขาไม่ทัน ในยามปกติไม่ได้นำติดตัวเลย
เท่าที่โม่เทียนเกอทราบ มีเพียงสำนักหลิงโซ่วหนึ่งในเจ็ดสำนักใหญ่ของเทียนจี๋จึงมีอสูรวิญญาณที่ระดับการฝึกตนไม่ด้อยกว่าผู้ฝึกตน แต่วิชาเวทของพวกเขาพิเศษ การเลี้ยงอสูรวิญญาณจำเป็นต้องเริ่มจากไข่อสูรวิญญาณ ไข่อสูรวิญญาณเป็นสมบัติอันหายาก ทุก ๆ คนมีเพียงหนึ่งใบ ดังนั้นในสถานการณ์ทั่วไปก็มีเพียงอสูรวิญญาณหนึ่งตัวที่ยอมรับนายจริง ๆ
ทว่าโม่เทียนเกอตอนนี้เพิ่งทะลวงก่อเกิดตานขั้นกลางก็มีอสูรวิญญาณขั้นห้าสองตัวแล้ว นี่ก็คือบอกว่าคนคนเดียวเทียบเท่ากับพลังต่อสู้ของคนอื่นสองคน
โม่เทียนเกอใคร่ครวญอยู่ในใจเงียบ ๆ แล้วเผยรอยยิ้มออกมา มีอสูรวิญญาณขั้นห้าสองตัวนี้ ถึงแม้ตอนนี้นางอยู่อยู่โดดเดี่ยวคนเดียวที่ภายนอกก็น่าจะไม่มีอันตรายจนเกินไป
คิดเยี่ยงนี้แล้ว นางใช้จิตหยั่งรู้เรียกเสี่ยวฝาน
เสี่ยวฝานบินเข้าเรือนไม้ไผ่อย่างรวดเร็ว บนตัวยังเปียกน้ำ มันกำลังมีความสุขมากในลำธารน้อยนอกเรือนไม้ไผ่ ถึงแม้จะไม่มีสหาย แต่พลังวิญญาณของลำธารน้อยเข้มข้นเกินไป การฝึกตนของมันเร็วมาก อีกทั้งยังมีโอสถนับไม่ถ้วนเรียงแถวให้มันกิน
“เจ้านาย เรียกข้าหรือขอรับ”
เมื่อเห็นฟันอันแหลมคมของเสี่ยวฝานอีกทั้งได้ยินเสียงใสกระจ่างของมัน โม่เทียนเกออดยิ้มบาง ๆ ไม่ได้ “บาดแผลของเจ้าหายแล้วหรือ”
“อืม” เสี่ยวฝานใช้ครีบปาดเช็ดลำตัวที่เปียกน้ำของตนเอง เลือกที่จะไม่ทิ้งตัวลงมาทว่าลอยตัวอยู่กลางอากาศ มันเป็นอสูรทะเล การตกลงบนพื้นดินไม่สบายเท่ากับการลอยอยู่กลางอากาศอย่างลิบลับ
“เช่นนั้น บอกความลับที่ปู่เจ้าบ่งบอกเจ้ามาเถิด”
“ขอรับ” มีสัญญาอสูรวิญญาณเช่นเดียวกัน แต่เสี่ยวฝานเทียบกับเสี่ยวหั่วกับเฟยเฟยแล้วเชื่อฟังกว่ามาก ในยามปกติไม่ฝึกตนในลำธารน้อยก็จ้องมองหญ้าวิญญาณเหล่านั้นน้ำลายยืด บางครั้งก็ไปสนทนากับเสี่ยวหั่วและเฟยเฟย นอกจากนี้ โม่เทียนเกอพูดอะไรก็ปฏิบัติตามอย่างไร้ข้อโต้แย้งเสมอ ไม่เหมือนเฟยเฟยกับเสี่ยวหั่วที่ยังมากวนนางเป็นครั้งคราว
“ท่านปู่บอกว่าทิศเหนือของเกาะน้อยแห่งนี้ บินไปประมาณหนึ่งเดือนจะมีเกาะใหญ่แห่งหนึ่ง บนเกาะใหญ่แห่งนั้นมีภูเขาไฟ ข้างในภูเขาไฟว่างเปล่า เข้าไปตามปล่องภูเขาไฟสามารถไปถึงสถานที่ที่ลึกมาก ๆ จากนั้นลอดทางใต้ดินไปถึงจุดสิ้นสุดจะสามารถออกไปจากน้ำพุร้อนแห่งหนึ่ง ที่นั่นก็คือเกาะหนานจี๋* ของอวิ๋นจง”
“ปู่เจ้าไม่ได้บ่งบอกสถานที่อันแน่ชัดต่อเจ้าหรือ” โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว มหาสมุทรใหญ่โตปานนี้ การบินไปในทิศทางหนึ่ง ๆ เลี่ยงไม่ได้ที่จะเบี่ยงเบนไปบ้าง อยากจะหาเกาะใหญ่นี้ไม่ได้ง่ายดายเลย นางเสียใจภายหลังอยู่บ้าง น่าจะบอกให้ชางหลงเฒ่าตัวนั้นนำทางจึงจะถูก
“เจ้านายไม่ต้องกังวล” เสี่ยวฝานรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของนางก็ยืดหัวขึ้นสูงอย่างภาคภูมิใจ “พวกเราอสูรทะเลอยู่ในมหาสมุทรมีวิธีการจำแนกทิศทางของตนเอง ท่านปู่บ่งบอกข้าแล้ว ข้าสามารถพาเจ้านายไปได้”
“อ้อ?” ได้ยินเสี่ยวฝานพูดอย่างนี้ โม่เทียนเกอคลายหัวคิ้ว “เช่นนั้นก็ดี”
นางหยุดไปชั่วครู่แล้วถามว่า “เช่นนั้นเส้นทางปลอดภัยไหม มีอสูรปีศาจหรืออันตรายไหม”
“ท่านปู่บอกว่าเส้นทางนี้เป็นสิ่งที่เจ้านายของท่านปู่ค้นพบโดยไม่ตั้งใจ ข้างในมืดมาก แต่ไม่มีอันตราย”
โม่เทียนเกอแสดงออกมาว่าเข้าใจ ลูบหัวของเสี่ยวฝาน “เจ้ากลับไปฝึกตนต่อเถอะ ตอนที่ต้องการข้าจะเรียกเจ้าใหม่”
“ขอรับ” เสี่ยวฝานตอบรับอย่างเชื่อฟัง สะบัดหางบินกลับลำธารน้อย
โม่เทียนเกอนั่งขัดสมาธิบนเบาะ ตกสู่ห้วงคิด
ถ้าหากถามว่านางอยากไปอวิ๋นจงหรือไม่ คำตอบคือแน่นอน จากบันทึกของโม่เหยาชิง นางทราบว่าอวิ๋นจงเป็นดินแดนฝึกเซียนที่รุ่งเรืองขนาดนั้น จะไม่มีความปรารถนาได้อย่างไร
พรสวรรค์ นางมีเพียงพอแล้ว ศิลาวิญญาณ ของคารวะของผู้อาวุโสโรงเรียนเสวียนชิงและสภาปี้เซวียนสองสำนักบวกกับรายรับจากการท่องภูเขามาร นางมีมากจนชวนตะลึง โอสถ เรื่องนี้ก่อนจิตวิญญาณใหม่ไม่ต้องห่วงแล้ว โอสถหลังจิตวิญญาณใหม่ก็ไม่ใช่จะไม่มี นอกจากนี้ยังมีอะไรที่นางไม่มีเล่า นั่นก็คือประสบการณ์ ประสบการณ์อันเพียบพร้อม และสายตาอันกว้างไกล
นางอยากจะไปดูว่าทวีปอื่นหน้าตาเป็นอย่างไร นางอยากจะรู้ว่าเหล่าผู้ฝึกตนของทางขงจื้อและทางพุทธกับพวกเขาเหล่าผู้ฝึกตนทางเต๋าเหมือนกันไหม แล้วนางก็อยากรู้ทุกสิ่งที่โม่เหยาชิงเคยเผชิญ
นางกดความปรารถนาประการนี้ไม่ได้อยู่บ้าง เพราะนางรู้ว่าสำหรับเส้นทางการฝึกเซียนของนาง นี่เป็นสิ่งที่ขาดแคลนที่สุด
แต่ว่าจากจากเทียนจี๋ไปอวิ๋นจงไม่ใช่เรื่องง่ายดายปานนั้น ถึงแม้นางจะรู้เส้นทางปลอดภัยที่แน่นอน หนึ่งคือไกลเกินไป สองคือเสียเวลานานเกินไป สองสิ่งนี้ล้วนเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายดาย
นางถึงขนาดครุ่นคิดว่ากลับโรงเรียนเสวียนชิงแล้วรอฉินซีออกจากการกักตนแล้วค่อยไปอวิ๋นจง แต่ว่าแบบนี้อย่างน้อยที่สุดก็ต้องรอสิบยี่สิบปี
สิบยี่สิบปี สำหรับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่หรือแม้แต่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานไม่นับว่านานมากเลย แต่ว่านางอยากไล่ตามฉินซีให้ทัน จะต้องใช้เวลาให้ดี ๆ
เพิ่งจะเลื่อนขั้น นางจำเป็นต้องท่องเที่ยวเพื่อฝึกสภาพจิตใจให้แข็งแกร่งจากนั้นจึงกักตนต่อไปจะดีกว่า หากกักตนตอนนี้เป็นสิ่งที่ไม่ชาญฉลาดเป็นที่สุด
ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง โม่เทียนเกอตัดสินใจในที่สุด อวิ๋นจง นางจะไปตอนนี้ ไปคนเดียว!
แน่นอนว่าก่อนหน้านั้นนางยังจำเป็นต้องจัดแจงสิ่งของมากมาย ถึงอย่างไรการไปสถานที่อันห่างไกลอย่างอวิ๋นจง แค่การเดินทางก็ต้องเสียเวลาประมาณหนึ่งปีแล้ว กว่าจะท่องเที่ยวเสร็จอาจจะต้องใช้เวลาสิบกว่าปี พอดีว่าช่วงเวลานี้ฉินซีกับประมุขเต๋าจิ้งเหอล้วนอยู่ในช่วงกักตน เพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ นางจะทิ้งโอสถจำนวนหนึ่งไว้ให้พวกเขาจะดีกว่า
หลังจากตกลงใจ โม่เทียนเกอลงมือปฏิบัติโดยเร็ว
ก่อนอื่น นางเตรียมจะกลับไปที่หลินไห่ก่อน
ถึงแม้การหาที่นี้จะเสียเวลาไปหลายเดือน แต่ขากลับเพียงเสียเวลาหนึ่งเดือน เพราะว่าหลายเดือนนั้นเป็นการเสาะหา ไปผิดทางอยู่บ่อยครั้ง ทว่าครั้งนี้มีเส้นทางที่แน่ชัดแล้ว
หลังกลับถึงหลินไห่ โม่เทียนเกอพักผ่อนเล็กน้อย กลับคุนอู่ผ่านม่านพลังเคลื่อนย้ายของสภาปี้เซวียน ต่อด้วยการเดินทางทั้งวันทั้งคืนกลับโรงเรียนเสวียนชิง
รอจนนางกลับถึงโรงเรียนเสวียนชิงอย่างมอมแมม เรื่องแรกก็คือไปหาฉินซี
ถึงจะกักตน แต่ครั้งนี้ฉินซีเพียงปรับระดับให้เสถียร ไม่จำเป็นต้องจุกจิกเกินไป โม่เทียนเกอเพียงสัมผัสกำแพงอาคมข้างนอกเขาก็หยุดการฝึกตน เปิดประตูห้องกักตน
“ทำไมนานขนาดนี้ถึงได้กลับมาเล่า” เมื่อเห็นนาง ฉินซีเผยรอยยิ้มบางเบา
โม่เทียนเกอเดินเข้าใกล้เขา ทั้งสองคนกอดกันอย่างเป็นธรรมชาติ
“รู้สึกว่าผ่านไปนานนัก” นางถอนหายใจพูดออกมา “ถึงแม้จะผ่านไปไม่ถึงปีด้วยซ้ำ”
ความรู้สึกเช่นนี้ฉินซีก็มี ดังนั้นเขาไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น เพียงกอดแน่นขึ้น
ผ่านไปพักหนึ่ง ทั้งสองคนกอดพอแล้วจึงได้แยกออกจากกันเล็กน้อย ฉินซียิ้มถามว่า “เลื่อนขั้นเป็นขั้นกลางแล้ว ดูท่าการเดินทางครั้งนี้ของเจ้ามีผลรับอย่างมาก ไปสถานที่อะไรมาหรือ”
โม่เทียนเกอเอนกายแอบอิงเขา วางศีรษะบนตักเขา เงยหน้ามองเขา “ท่านเดา”
“เรื่องนี้ข้าเดาไม่ออก” ฉินซีเล่นเส้นผมของนาง สายตาอ่อนโยน “แต่ว่าเห็นเจ้ามีความสุขขนาดนี้จะต้องเป็นเรื่องดีกระมัง”
“แน่นอน” โม่เทียนเกอยิ้มอย่างภูมิใจ ไม่ปิดบังอีก บอกประสบการณ์หนึ่งปีที่ผ่านมาของตนเองต่อเขาโดยละเอียด
ฉินซีฟังอย่างตั้งใจมาก ถึงตอนที่โม่เทียนเกอพูดว่าระหว่างเทียนจี๋และอวิ๋นจงมีเส้นทางเช่นนั้นอยู่ ม่านตาเขาหดตัวลง เอ่ยอย่างเฉียบคมว่า “อวิ๋นจง เจ้าอยากไปอวิ๋นจงหรือ”
พวกเขาสองคนเดิมก็นิสัยใกล้เคียงกัน แล้วยังใช้ชีวิตร่วมกันมาสิบกว่าปี มีความรู้ใจกันแต่แรก สำหรับการที่เขาเดาเจตนาของตนเองออก โม่เทียนเกอไม่ประหลาดใจสักนิด
นางพยักหน้า “มิผิด ข้าอยากไปอวิ๋นจงสักรอบ ผู้ฝึกตนของเทียนจี๋ล้วนถูกกักอยู่บนเส้นเลือดวิญญาณเส้นนี้ที่คุนอู๋ ข้าอยากไปอวิ๋นจงดูโลกที่กว้างใหญ่ยิ่งขึ้น”
“……” ฉินซีไม่พูดไม่จา สีหน้ากลับเคร่งขรึมมาก
สีหน้าของโม่เทียนเกอก็เคร่งขรึมขึ้นมา นางยันตัวขึ้น ถามว่า “ทำไม ไม่เหมาะสมหรือ”
“ไม่ใช่” ฉินซีผ่อนลมหายใจ โอบกอดนาง ถอนหายใจว่า “ขณะนี้ข้าไม่สามารถร่วมทางไปกับเจ้า” เขาเพิ่งจะเลื่อนระดับเป็นจิตวิญญาณใหม่ การปรับระดับให้เสถียรจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
“ข้ารู้” โม่เทียนเกอหยุดชั่วครู่ แต่ยังพูดออกมาว่า “ดังนั้นข้าตัดสินใจจะไปคนเดียว”
มือที่โอบกอดนางแข็งทื่อ ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินซีปล่อยมือ สบตานางตรง ๆ “เจ้ายืนกราน?”
“อืม” โม่เทียนเกอพยักหน้า “ข้ามิใช่คนที่จะก่อเรื่อง เรื่องนี้ท่านก็รู้ ความแข็งแกร่งของข้าในปัจจุบันนี้ก็เพียงพอจะคุ้มครองตนเองแล้ว ไปอวิ๋นจงคนเดียวไม่มีปัญหาหรอก”
หัวคิ้วของฉินซีขมวดแน่น ไม่พูดจาไปครึ่งค่อนวัน
เรื่องนี้ใหญ่โตเกินไป ถึงเขาจะค่อย ๆ ยอมรับความคิดของโม่เทียนเกอแล้ว และก็เต็มใจให้นางไปท่องเที่ยวคนเดียว แต่ไปอวิ๋นจงยังคงอันตรายเกินไป!
โม่เทียนเกอก็ไม่พูดจา นางมิใช่ไม่รู้ความคิดของฉินซี แต่เรื่องที่ใหญ่โตขนาดนี้ นางจำเป็นต้องคำนึงถึงความคิดของฉินซีด้วย
“มีวิธีการรอมชอมกันหรือไม่” ผ่านไปครึ่งค่อนวัน ฉินซีเปิดปากขึ้นมา “เจ้าคิดจะไปอวิ๋นจง ข้าไม่ห้ามเจ้า แต่ว่า จะให้เจ้าไปคนเดียวอย่างนี้ข้าก็ไม่วางใจ ไกลเกินไป เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นข้าก็ไม่อาจจะไปช่วยเจ้าทันเวลา”
โม่เทียนเกอคิดอยู่พักใหญ่ เอ่ยอย่างลังเลว่า “มิเช่นนั้น ข้าวาดแผนที่เส้นทางให้ท่าน รอให้ท่านสามารถออกจากการกักตันค่อยมาเสาะหา?”
“……” ฉินซีไม่พูดจา โม่เทียเกอเกาศีรษะ ลำบากใจอยู่บ้าง “ตอนนี้ท่านไม่สามารถออกจากการกักตน ข้าก็ไม่ควรจะรอ…… ท่านยังไม่เชื่อหรือว่าข้าสามารถปกป้องตัวเองได้”
สายตาของฉินซีอ่อนลง จ้องมองนาง เอ่ยเสียงอบอุ่นว่า “มิใช่ไม่เชื่อ ทว่าห่วงจนจิตใจปั่นป่วน ข้ารู้ว่าเจ้าสามารถปกป้องตัวเอง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เจ้าไม่อยู่ข้างกาย ข้าก็จะกังวลใจ”
“……” ครั้งนี้เป็นโม่เทียนเกอที่ไม่พูดจา ในใจนางซาบซึ้งมากมาย
ผ่านไปพักหนึ่ง นางเอ่ยว่า “มิเช่นนั้น ข้าไปถามซือฟุ?”
ฉินซีคิดแล้วพยักหน้า “ก็ดี ซือฟน่าจะมอบความเห็นที่ดีมากให้กับพวกเรา”
………………………………
*หนานจี๋แปลว่าสุดทักษิณ หรือใต้สุด, ขั้วโลกใต้