หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 358 – อสูรเทพ

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 358 – อสูรเทพ?

โม่เทียนเกอนั่งบนเบาะของห้องฝึกตน บนโต๊ะชาเล็ก ๆ เบื้องหน้าวางชาเขียวสองถ้วย ไอควันลอยฉุย

ตรงข้ามกับนาง เฟยเฟยอยู่บนเบาะกลิ้งตัวพลางแต่งขนของตนเองที่มีแสงสีทองวิบวับยิ่งขึ้น รอจนมันแต่งขนทั้งตัวแล้วก็ใช้ท่วงท่าที่สง่างามถึงสิบส่วนนั่งบนเบาะ จากนั้นอุ้งเท้าจับชาเขียว หรี่ตาดื่มหนึ่งคำอย่างพึงพอใจมาก

โม่เทียนเกอตกตะลึงแล้ว มองดูลักษณะของเฟยเฟยในขณะนี้ สงบนิ่งมาก

เสี่ยวฝานเป็นชางหลง มีสติปัญญาที่เหนือล้ำอสูรวิญญาณขั้นเดียวกัน นี่เป็นสิ่งที่โม่เทียนเกอรู้แต่แรก แต่คิดไม่ถึงว่าเฟยเฟยเลื่อนหนึ่งขั้นก็ถึงกับจะมีสติปัญญาเช่นนี้ ลักษณะนี้ของมันไหนเลยจะคล้ายกับอสูรวิญญาณ? แม้แต่มนุษย์ก็น้อยนักจะมีอารมณ์หลากหลายเช่นนี้ จะว่าไปแล้ว ไม่แน่ว่ามันก็เป็นชนรุ่นหลังของอสูรเทพเฝยเฝยแห่งปฐมกาลจริง ๆ

ดื่มชาเสร็จแล้ว เฟยเฟยเงยหัวขึ้น ดวงตากลมโตจ้องมองโม่เทียนเกอพักใหญ่ พูดว่า “ถ้าไม่มีท่าน ข้าก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเลื่อนเป็นขั้นห้าเร็วขนาดนี้ อืม ข้าจะยอมรับท่านเป็นเจ้านายของข้าแล้วกัน!”

“……” ยอมรับ? พูดอย่างนี้ อันที่จริงมันยังไม่ได้ยอมรับต่อความคิดเรื่องเจ้านายนี้มากเลยสินะ? โม่เทียนเกอใบ้กินไปครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นได้แล้วถามมันว่า “ระหว่างพวกเรามิใช่มีสัญญาอสูรวิญญาณหรือ”

เฟยเฟยบิดมุมปาก กรงเล็บเกาขนสีทองที่อยู่บนหน้าผาก กล่าวว่า “นี่เป็นด้านหนึ่ง แต่ว่า หากข้าไม่อยากยอมรับก็มิใช่ไม่มีหนทางแก้ไข” เงยหน้ามองโม่เทียนเกอ เอ่ยต่อว่า “สิ่งสำคัญที่สุดคือ พวกเราเฝยเฝยรู้จักบุญคุณมาก หากไม่มีท่าน ข้าคาดว่าจนสิ้นอายุก็ไม่อาจเลื่อนเป็นขั้นห้า ดังนั้น ยอมรับท่านเป็นเจ้านายไปตามแกน”

“……” ตั้งแต่ที่เฟยเฟยพูดได้ โม่เทียนเกอใบ้กินมาหลายรอบแล้ว เฟยเฟยตัวนี้ไม่ใช่อสูรวิญญาณน้อยที่ชอบเล่นชอบซนชอบเอาแต่ใจแต่เดิมตัวนั้นเด็ดขาด สรุปว่าเป็นตัวอะไรนางก็ไม่รู้แล้ว……

“เจ้านาย ท่านทำสีหน้าอะไรกัน” เฟยเฟยเงยหัวขึ้น ใช้น้ำเสียงอ่อนเยาว์ถามนาง

โม่เทียนเกอเงียบงันไร้คำพูด เอื้อมมือไปหยิบถ้วยชาบนโต๊ะชา กลืนไปอึกหนึ่ง ผลคือร้อนจนบ้วนออกมา กระเด็นใส่โต๊ะชา รวมทั้งขนสีทองที่งดงามของเฟยเฟย

เฟยฟเยเกลือกกลิ้งขึ้นมา กระโดดไม่หยุด “ท่าน ๆๆ …… ขนของข้า ทำขนของข้าเปียกแล้ว!”

โม่เทียนเกอเช็ดมุมปาก นวดหว่างคิ้ว ใช้ทักษะเวท รอยน้ำบนตัวเฟยเฟยหายไปไม่เหลือร่องรอย

เมื่อเห็นว่าขนสีทองของตนเองฟื้นฟูสู่สีสันสดใสแล้ว เฟยเฟยนั่งกลับลงไปอย่างพึงพอใจ จัดแต่งต่อไปทีละเส้น

โม่เทียนเกอดูอยู่พักใหญ่ หมดเรี่ยวแรงแล้ว “เจ้าคือเฟยเฟยตัวเดิมหรือ”

“แน่นอน” เฟยเฟยเลียขนพูดโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “อืม อันที่จริงก็สามารถพูดได้ว่าตัวเดิมนั้นคือครึ่งหนึ่งของข้า”

“ครึ่งหนึ่ง?”

“ใช่!” เฟยเฟยเล่นกับขนสีทองของตัวเองพลางพูดว่า “หรือว่าท่านไม่ได้ค้นพบว่าปรากฎการณ์ของการเลื่อนขั้นของข้าไม่ปกติเกินไป”

“……อืม” โม่เทียนเกอเอ่ย “ในตัวเจ้ามีสิ่งของหนึ่ง ดูดกลืนพลังวิญญาณทั้งตัวของเจ้า…… ข้าสับสนมาก หากเวลานั้นพวกเราไม่ได้เข้ามา เสี่ยวหั่วไม่ได้ค้นพบว่าเจ้าไม่ถูกต้อง เจ้าจะไม่เสียชีวิตไปทั้งอย่างนี้เลยหรือ”

“ประมาณนั้น” เมื่อเอ่ยถึงคำถามนี้ สีหน้าของเฟยเฟยกลับเมินเฉยมาก “หากพวกท่านไม่ได้กลับมาทันเวลา ข้าก็จะเลื่อนขั้นล้มเหลว จากนั้นตาย”

“เพราะอะไร” โม่เทียนเกอโพล่งถามออกมา “หรือว่าพวกเจ้าเฝยเฝยตอนที่เลื่อนเป็นขั้นห้าจะมีผู้อาวุโสอยู่ด้านข้างคอยดูแล?”

“ผู้อาวุโส?” เฟยเฟยส่ายหาง สายตาจนใจ น้ำเสียงอ่อนเยาว์เจือความหงอยเหงาอยู่บ้าง “พวกเราเฝยเฝยไหนเลยจะยังมีผู้อาวุโสอะไรคอยดูแลอีกเล่า ไม่ตายก็ถือว่าดีแล้ว”

“……” คิ้วของโม่เทียนเกอขมวดขึ้นมา วาจานี้หมายความว่าอะไร สายพันธุ์เฝยเฝยนี้จวนจะสูญพันธ์แล้วหรือ

เฟยเฟยดูความกังขาของนางออก กระแอมคำหนึ่ง นั่งตัวตรง พูดว่า “ในเมื่อข้ายอมรับท่านเป็นเจ้านาย เช่นนั้นเรื่องพวกนี้ท่านมีสิทธิ์จะรู้ และการจะบอกเรื่องพวกนี้ต่อท่านจำเป็นจะต้องให้ท่านรู้ก่อนว่าพวกเราเฝยเฝยเป็นสายพันธุ์อย่างใด”

เฟยเฟยนิ่งเงียบไปพักใหญ่จึงเริ่มพูดว่า “ผู้ฝึกตนของหลินไห่ล้วนนึกว่าพวกเราเป็นเพียงสายพันธุ์หนึ่งที่ใกล้ชิดกับอสูรเทพปฐมกาลเฝยเฝย แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเราก็คือชนรุ่นหลังของเฝยเฝย” เห็นแววตาสงสัยของโม่เทียนเกอ มันเอ่ยขึ้นมาเองว่า “ท่านสงสัยใช่หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงรู้เรื่องพวกนี้”

โม่เทียนเกอพยักหน้า “ก่อนที่เจ้าจะเลื่อนเป็นขั้นห้า สติปัญญาไม่นับว่าสูง และตอนที่ข้าได้รับเจ้ามา เจ้ายังเป็นเพียงอสูรเด็ก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะสามารถได้ฟังเรื่องพวกนี้มาจากที่ไหน”

เฟยเฟยพูดว่า “นี่ก็คือสิ่งที่ข้าอยากจะบอกท่านพอดี ว่าพวกเราเฝยเฝยสรุปแล้วเป็นสายพันธุ์อย่างไร” มันหยุดสักครู่แล้วกล่าวว่า “ตั้งแต่ที่ยุคปฐมกาลเริ่มต้น พวกเราก็มีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ ถูกเรียกขานว่า ‘วิญญาณ’ เพราะว่าพวกเราถือกำเนิดก็ครอบครองพลังอันแข็งแกร่ง ดังนั้นก็เลยเรียกขานเป็นอสูรเทพด้วย เคารพนับถือจตุรเทพและฉีหลิน มังกรเขียว, พยัคฆ์ขาว, หงส์เพลิง, เต่าดำปกปักษ์สี่ทิศ ฉีหลินรักษาตำหนักกลาง มังกรเขียวเป็นไม้ พยัคฆ์ขาวเป็นทอง หงส์เพลิงเป็นไฟ เต่าดำเป็นน้ำ ฉีหลินเป็นดิน ภายใต้จตุรเทพห้าวิญญาณ ยังมีพวกเราเหล่าสายพันธุ์วิญญาณที่ก่อกำเนิดจากลมหายใจเทพ ถึงแม้ว่าพวกเราไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับห้าวิญญาณ แต่ว่า สายพันธุ์อสูรเทพทุกชนิดล้วนมีคุณลักษณะของตนเอง คุณลักษณะของพวกเราเฝยเฝยก็คือพลังความเป็นมิตรตามธรรมชาติ กับการสืบทอดพลังเทพ”

“สืบทอด?” โม่เทียนเกอตะลึงไป ในสมองเกิดความคิดหนึ่งวูบขึ้น “หรือว่า พวกเจ้าแม้แต่ความทรงจำก็สามารถสืบทอดได้?”

“มิผิด” เฟยเฟยโบกอุ้งเท้า ชมเชยหนึ่งคำว่า “ไม่เสียทีที่เป็นเจ้านายของข้า”

มันหยุดไปครู่หนึ่ง กล่าวต่อว่า “พวกเราเฝยเฝยไม่มีทักษะเวทอันกล้าแข็ง แต่กลับสามารถผูกมิตรกับอสูรวิญญาณทั้งหมด แม้แต่อสูรดุร้ายก็ไม่ยกเว้น นอกจากนี้ เฝยเฝยทุก ๆ ตัวที่ถือกำเนิดล้วนจะผนึกความทรงจำร่วมของสายพันธุ์เอาไว้แต่กำเนิด”

โม่เทียนเกอคิด ๆ ดู “ดังนั้น ในร่างเจ้าอันที่จริงมีความทรงจำของสายพันธุ์คงอยู่มาโดยตลอด เพียงแต่ระดับการฝึกตนต่ำเกินไป ดังนั้นไม่อาจสืบทอด?”

“มิผิด” เฟยเฟยกางอุ้งเท้ามองดูอย่างละเอียด “เฝยเฝยทุกตัวล้วนเป็นเช่นนี้ เลื่อนเป็นขั้นห้า ความทรงจำในร่างก็จะหลอมรวมกับร่างตนเอง แต่ว่า ตั้งแต่ที่แบ่งแยกโลกปีศาจและวิญญาณทั้งสอง พวกเราเฟยเฟยที่เหลืออยู่ที่โลกมนุษย์เหล่านี้ขาดการชี้แนะของผู้อาวุโส ล้วนไม่อาจเลื่อนเป็นขั้นห้า”

“โลกปีศาจและวิญญาณทั้งสอง……” โม่เทียนเกอจู่ ๆ ค้นพบว่า หัวข้อนี้คล้ายจะเกี่ยวเนื่องกับความเปลี่ยนแปลงของโลกมนุษย์ตั้งแต่ปฐมกาลมา “ในเมื่อพวกเจ้าเป็นอสูรเทพ เหตุใดกลับไม่ไปโลกวิญญาณ”

“ย่อมเป็นเพราะเกิดความผิดพลาด” เฟยเฟยใช้อุ้งเท้าวางบนโต๊ะชา นอนลงพูดว่า “ปีนั้นแบ่งแยกโลกปีศาจและวิญญาณทั้งสอง บรรพบุรุษของพวกเราส่วนใหญ่ล้วนไปโลกวิญญาณแล้ว แต่มีตัวที่อ่อนแอส่วนหนึ่งถูกทิ้งไว้ที่โลกมนุษย์ – อย่าถามเหตุผลกับข้า ข้าไม่สามารถจะรู้ไปทุกเรื่อง การสืบทอดความทรงจำไม่ใช่รอบรู้ทุกอย่าง”

“……”

“เจ้านาย ขั้นตอนการเลื่อนขั้นของข้าท่านก็เห็นแล้ว ถ้าหากไม่มีผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งชี้แนะ เป็นไปไม่ได้ที่จะเลื่อนขั้นสำเร็จด้วยตนเองเลย นี่ก็คือสาเหตุที่พวกเราเฝยเฝยความแข็งแกร่งยิ่งมายิ่งต่ำลง ถึงจะเติบใหญ่จนตายล้วนมีเพียงขั้นสองขั้นสาม”

เรื่องนี้โม่เทียนเกอสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง สถานการณ์ในตอนนั้น สมมติว่านางกลับโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนสายไปหน่อย เฟยเฟยก็จะถูกฝุ่นผงเม็ดนั้นในร่างกายตนเองดูดกลืนพลังวิญญาณจนสิ้น จากนั้นเสียชีวิต

นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถามว่า “สิ่งของนั้นในร่างเจ้าเป็นเรื่องราวอันใด ตอนที่เสี่ยวหั่วเลื่อนขั้นคล้ายกับผู้ฝึกตนมนุษย์ก่อเกิดตานมาก แต่เจ้ากลับไม่เป็นอย่างนี้โดยสิ้นเชิง หรือว่านี่ก็คือความแตกต่างของอสูรเทพโบราณกาลกับอสูรวิญญาณสมัยนี้”

“นี่ก็ไม่ใช่” เฟยเฟยพูด “สิ่งของในร่างข้า อันที่จริงแล้วก็คือตานภายในที่พวกเรามีแต่กำเนิด พวกเราอสูรวิญญาณกับพวกท่านผู้ฝึกตนไม่เหมือนกัน ถึงจะอยู่ขั้นหนึ่งก็มีโอกาสจะก่อเกิดตานภายในออกมา เพียงแต่โอกาสน้อยมากเท่านั้น ทว่าตานภายในของพวกเราเฝยเฝยเป็นมาแต่กำเนิด”

“อ้อ……” โม่เทียนเกอรู้แจ้งแล้ว “ดังนั้น เจ้าเลื่อนเป็นขั้นห้า เพียงต้องให้ตานภายในดูดกลืนพลังวิญญาณอย่างเพียงพอก็จะสามารถเลื่อนขั้นสำเร็จ?”

“ถูก เพียงแต่ว่า ระดับการฝึกตนไม่ถึงระดับชั้นที่เพียงพอ ตานภายในของพวกเราจะอ่อนแอมาก ไม่อาจส่งผลต่อร่างกายได้เลย จนกระทั่งระดับการฝึกตนเพียงพอแล้ว ตานภายในจึงจะถูกกระตุ้น จากนั้นเริ่มดูดกลืนพลังวิญญาณ ขอเพียงพลังวิญญาณที่ดูดกลืนเพียงพอ พวกเราก็จะสามารถเลื่อนขั้นอย่างราบรื่น”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้” โม่เทียนเกอพยักหน้า แสดงออกมาว่าเข้าใจแล้ว พวกเฟยเฟยก็คือชนรุ่นหลังอสูรเทพที่ถูกทิ้งที่โลกมนุษย์ตอนที่แบ่งแยกปีศาจวิญญาณ และด้วยคุณลักษณะของสายพันธุ์พวกมัน ไม่มีผู้อาวุโสดูแล ได้แต่ยิ่งมายิ่งอ่อนแอ ตกต่ำลงเป็นอสูรวิญญาณสามัญ ดังนั้น เฟยเฟยตอนเริ่มแรกไร้เดียงสาจริง ๆ ส่วนเฟยเฟยในตอนนี้สืบทอดความทรงจำของสายพันธุ์แล้ว กลายเป็นเฝยเฝยที่แท้จริง

“เอาล่ะ พูดจบแล้ว” เฟยเฟยเดิมทีท่วงท่าที่นั่งคุกเข่าเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วกลายเป็นนอนลง มันกะพริบตา มองดูโม่เทียนเกอ น้ำเสียงกลายเป็นประจบ “เจ้านาย ยาฟ้ากระจ่างของท่านอร่อยมาก สามารถให้ข้ากินสักสองเม็ดหรือไม่”

มือของโม่เทียนเกอชะงักไป คิ้วกระตุก “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ายาฟ้ากระจ่างอร่อยมาก เจ้าเคยขโมยกินหรือ” สิ่งที่นางให้อสูรวิญญาณทั้งสามตัวกินตลอดมาล้วนเป็นโอสถที่หลอมให้พวกมันโดยเฉพาะ ยาฟ้ากระจ่างเป็นโอสถของผู้ฝึกตนก่อเกิดตานมนุษย์ ไม่เคยให้มันกินเลย!

“ฮี่ ๆ!” เฟยเฟยหัวเราะสองคำ เอาหัวมุดลงไปใต้อุ้งเท้า “ตอนที่เจ้านายหลอมยาข้าอยากรู้ ก็เลยแอบขโมยมาสองเม็ด……”

!!!!

โม่เทียนเกอปิดฝาถ้วยชา แขนทั้งคู่กอดอก ถลึงมองมัน “หรือว่าที่เจ้าเลื่อนขั้นกะทันหันเป็นเพราะกินยาฟ้ากระจ่าง?!”

อสูรวิญญาณขั้นห้าเทียบเท่ากับมนุษย์ก่อเกิดตาน อย่างนั้นตามทฤษฎีแล้ว ยาฟ้ากระจ่างก็มีเพียงอสูรวิญญาณขั้นห้าขึ้นไปที่สามารถกิน เฟยเฟยเพิ่งเลื่อนขึ้น ตอนที่มันแอบกินก่อนหน้านั้นควรจะมีระดับอะไร?

“เจ้านายอย่าโมโหเลย!” เมื่อเห็นโม่เทียนเกอเลิกคิ้วขึ้นมา เฟยเฟยขดตัวเงียบ ๆ เผยเพียงหัวหนึ่งหัว “นี่เป็นสัญชาตญาณที่เป็นอสูรเทพนะ ข้าฝึกตนถึงขั้นแล้วก็อยากกินสิ่งของเสริมพลังวิญญาณมาก……”

“สิ่งของในแปลงสมุนไพร ข้าล้วนให้พวกเจ้ากินตามสบายมาโดยตลอด!” โม่เทียนเกอร้องหึเสียงเย็น “แรกเริ่มเพิ่งได้เจ้ามา เจ้าก็อยากกินผลทองไร้ดอก ตอนนี้ถึงกับยังขโมยยาฟ้ากระจ่างกิน!”

“ใช่ ๆ!” เฟยเฟยรีบผงกหัว “ตอนนั้นข้ามีแค่ขั้นหนึ่ง กินผลทองไร้ดอกยังไม่เป็นไรเลย ตอนนี้กินยาฟ้ากระจ่างย่อมจะไม่มีปัญหา ข้าเป็นอสูรเทพ ย่อมไม่เหมือนกับอสูรวิญญาณสามัญ…… โอ๊ย ๆ เจ้านาย อย่าจับข้า ตอนนี้ข้าเป็นอสูรเทพแล้ว ไม่ใช่เฟยเฟยที่ให้ท่านลูบไปลูบมาตามใจตัวนั้นอย่างแต่ก่อนแล้วนะ……”

……………………………………….

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท