หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 366 – ขวางถนนกลางทาง

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 366 – ขวางถนนกลางทาง

บัวจิตหยกเจ็ดสีของภิกษุหยวนคงสุดท้ายถูกยงหรูอวี้ใช้สมบัติทางพุทธหนึ่งชิ้นแลกไป ฉิวเฉิงรั่วเก็บบัวจิตหยกเจ็ดสีที่แลกกลับมาใส่ในกระเป๋าอย่างยินดีปรีดา

ชิงอวิ๋นจื่อเล็งกระบี่ฝูเซิง หานซื่อจือเล็งบัวจิตหยกเจ็ดสี ล้วนไม่สามารถแลกมา รู้สึกเสียดายยิ่งนัก

ต่อจากนั้น สองคนนี้หยิบสิ่งของของตนเองออกมา แลกกับวัตถุวิญญาณที่ยังพอถูไถจำนวนหนึ่งกับคนอื่น

ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานล้วนรวบรัดชัดเจนมาก สถานที่แห่งนี้ยังมีเพียงแปดคน งานชุมนุมค้าขายนี้เสร็จสิ้นลงโดยเร็ว แล้วทุกคนก็ต่างพากันถกเรื่องของการฝึกตน

กระบวนการนี้ทำให้โม่เทียนเกอเปิดหูเปิดตาแล้ว และยังเป็นครั้งแรกที่นางเห็นผู้ฝึกมาร, ผู้ฝึกพุทธ, ผู้ฝึกขงจื้อระดับก่อเกิดตานขึ้นไป ประสบการณ์ที่ประมุขมารเสวียนเยว่, หยางเฉิงจี, ภิกษุหยวนคง, หานซื่อจือกับพวกพูดมากับสิ่งที่นางเคยฟังมาแต่ก่อนไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง แต่ไม่ว่าจะเอ่ยอย่างไรก็ล้วนเป็นคนที่ฝึกตน ค่อนข้างมีส่วนที่คล้ายคลึงกัน ก็เลยทำให้โม่เทียนเกอแก้ปัญหายุ่งยากด้านการฝึกตนจำนวนหนึ่งออกด้วย

การถกกันนี้ถกกันไปครึ่งคืน โม่เทียนเกอบอกลากับทุกคน ออกจากโรงน้ำชา

พอย่างออกจากโรงน้ำชา ข้างนอกจันทร์เต็มดวงแขวนอยู่กลางฟ้าแล้ว ม่านราตรีปกคลุมแผ่นดิน ดวงดาวนับไม่ถ้วนกะพริบอยู่บนท้องนภา ส่องเมืองเทียนเสวี่ยจนเป็นสีน้ำเงินอันสว่างไสว งดงามอย่างไม่มีใครเหมือน

นางชื่นชมอยู่พักหนึ่งจึงได้ก้าวเท้าช้า ๆ ไปทางถ้ำพำนักเขาหินขาว

ท่าทีของนางดูผ่อนคลาย ในความเป็นจริงฝ่ามือกำแน่น ซ่อนไว้ในแขนเสื้อ ปกปิดอารมณ์อันตื่นเต้นได้ดีมาก

ได้รับกระบี่ฝูเซิง ทัศนคติของนางเมื่อครู่นี้นิ่งเฉยมาก ไม่ได้แสดงออกถึงท่าทีที่ตื่นเต้นมากเลย แต่ในความเป็นจริง จิตใจส่วนลึกของนางพลุ่งพล่าน พอออกจากโรงน้ำชาก็ระงับไม่อยู่อยู่บ้าง

กระบี่เล่มนั้นไม่ธรรมดาสามัญเด็ดขาด!

ยังไม่เอ่ยถึงว่ามันถูกปราณมารกัดกร่อนหมื่นปียังไม่สามารถกัดกร่อนจนพังไปทั้งหมด เพียงพลังสภาวะเยี่ยงนั้น มีเพียงสมบัติวิญญาณจำนวนหนึ่งจึงจะมี หากสามารถหาพบหนทาง ชะล้างปราณมาร ฟื้นฟูความรุ่งโรจน์แต่เก่าก่อน จะต้องเป็นอาวุธเวทอันแหลมคมสุดขีดชิ้นหนึ่งเป็นแน่!

คิดเยี่ยงนี้แล้ว นางเผยรอยยิ้มจาง ๆ สมบัติวิญญาณไม่รังเกียจว่ามีมาก ครั้งนี้ถึงจะทำให้คนมองทะลุระดับการฝึกตน ผลรับกลับเต็มเปี่ยม

เพิ่งจะออกจากถนนของเมืองเทียนเสวี่ย ยังไม่ขึ้นเขาหินขาว จู่ ๆ แผ่นหลังนางเกร็งขึ้นมา กางมือออกมาโดยสัญชาตญาณ พัดแห่งสวรรค์และโลกาปรากฏในมือ พัดเบา ๆ เกราะพลังวิญญาณปรากฏขึ้นโดยรอบ

ถัดจากนั้น เสียง “ชิ” เบา ๆ คำหนึ่งดังขึ้น มีสิ่งของอะไรบางอย่างฉีกทำลายเกราะพลังวิญญาณด้านหลังนาง โม่เทียนเกอจี้ปลายเท้า ใต้เท้าก่อเกิดเมฆ รองเท้าย่ำเมฆาโผบินขึ้นเฉกเช่นหลิวลู่ลม ร่องรอยพริ้วลมสายหนึ่งวาดผ่านกลางอากาศ สุดท้ายหมุนตัวหยุดยั้ง

“สหายเต๋าท่านไหนลอบโจมตีข้า โปรดปรากฏตัว!” โม่เทียนเกอยืนอยู่กลางอากาศ เคาะพัดแห่งสวรรค์และโลกาในมือเบา ๆ สายตาจ้องมองรอบด้านอย่างแหลมคม

“หึ!” นางได้ยินเสียงหึเย็นชาคำหนึ่ง มีคนเปิดปากพูดเสียงแหบว่า “มอบกระบี่ฝูเซิงออกมา แล้วจะปล่อยเจ้าไป!”

กระบี่ฝูเซิง? โม่เทียนเกอตะลึง นางมิใช่ไม่เคยคิดว่าจะมีคนหมายตากระบี่ฝูเซิง เพียงแค่ คาดไม่ถึงว่าเร็วขนาดนี้ก็จะหามาถึงหน้าประตูแล้ว คนคนนี้เป็นใคร ยงหรูอวี้หรือว่าชิงอวิ๋นจื่อ? พวกเขาสองคนเมื่อครู่ไม่ได้มีความผิดปกติอันใด หรือว่าเป็นคนอื่น อีกอย่างฝีมือที่คนคนนี้ลอบโจมตีเมื่อครู่แหลมคมถึงสิบส่วน ระดับการฝึกตนอย่างน้อยที่สุดคือก่อเกิดตานขั้นกลาง หรือว่าเป็นหานซื่อจือ

ไม่ปล่อยให้นางคิดมาก กลางอากาศจู่ ๆ ปรากฏพลังวิญญาณอันแหลมคมสายหนึ่งขึ้นอีก โจมตีมาทางนาง

โม่เทียนเกอก็ร้องหึอย่างเย็นชาคำหนึ่ง ไม่ว่าเป็นใคร คนคนนี้ก็ดูเบานางเกินไปแล้ว!

นางแตะในแขนเสื้อ ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวคลี่ออกมา ม่านหมอกคล้ายมีเหมือนไม่มีกลุ่มหนึ่งโอบล้อมนาง พลังวิญญาณนั้นแทงเข้าม่านหมอกอย่างราบรื่น ถัดจากนั้นกลับสาบสูญไปในม่านหมอก หายลับอย่างไร้ร่องรอย

“หืม!” คนคนนี้ประหลาดใจ จากนั้นหัวเราะเสียงเย็น “มีฝีมืออยู่บ้าง กลับเป็นข้าที่ดูเบาเจ้าแล้ว!”

โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ กางพัดแห่งสวรรค์และโลกาเบา ๆ เอ่ยว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ใด หากไม่อยากตายยังคงไส่หัวไปให้เร็วหน่อยเถอะ!”

ได้ยินเวลานี้ คนคนนี้หัวเราะฮา ๆ เป็นการใหญ่ “น่าสนใจ! ผู้ฝึกตนโพ้นทะเลล้วนโอหังเยี่ยงเจ้าหรือ”

“โอหังไม่โอหัง ต้องสู้จึงจะรู้!” โม่เทียนเกอสายตาเย็นเยียบ “ดูท่านใต้เท้าตัดสินใจจะปล้นชิงแล้ว?”

“ปล้นชิงแล้วอย่างไร กระบี่ฝูเซิง แม้แต่กระบี่ฝูเซิงที่เพียงสามารถฟื้นฟูพลังเล็กน้อยก็มิใช่เรื่องเล็กน้อย จะโทษก็เพียงโทษเจ้าที่ขวัญกล้าเกินไป คนของโพ้นทะเล อยู่ที่อวิ๋นจงถึงกับกล้าพกพาวัตถุล้ำค่าระดับนี้ หึ ๆ ถึงข้าไม่ลงมือก็มีคนอื่นอยากปล้น!”

“เช่นนั้นก็ปล้นดูเถอะ!” พูดยังไม่ขาดคำ พัดแห่งสวรรค์และโลกากางแล้วหุบ ขุนเขาสายน้ำที่คล้ายกับมีสภาพคล้ายกับไร้สภาพคลี่ตัวออกมาในชั่วพริบตา

คนคนนี้คาดไม่ถึงว่าโม่เทียนเกอลงมือจะเร็วขนาดนี้ ยังพูดไม่จบ อาวุธเวทก็ใช้ออกมาแล้ว

ในความมืดมิดเห็นเพียงสิ่งของสีดำสาดออกมา อยากจะสกัดขุนเขาสายน้ำมายาที่พัดแห่งสวรรค์และโลกาสร้างขึ้น

โม่เทียนเกอยิ้มบาง ขุนเขาสายน้ำปิดตัวฉับพลัน ร่างดุจสายฟ้า ล่าถอยไปหลายจ้าง เสียงร้องกระเรียนดังหนึ่งเสียง กลับเป็นกระเรียนเซียนหนึ่งตัวที่พุ่งออกมาจากพัดแห่งสวรรค์และโลกา จิกไปทางด้านขวาของนาง

“อ๊าก!” เสียงอุทานคำหนึ่ง คนในความมืดมิดปรากฏขึ้นฉับพลัน ร่างของคนผู้นี้ก็เร็วยิ่ง วูบถอยหนึ่งทีก็อยู่ห่างออกไปหลายสิบจ้างแล้ว ก้อนหินมหึมาหนึ่งก้อนสกัดกระเรียนเซียนเอาไว้

โม่เทียนเกอโบกพัดเบา ๆ กระเรียนเซียนหายลับไร้ร่องรอย นางยิ้มบางจ้องมองคนผู้นี้ในความมืด “ศาสตราจารย์หาน เป็นท่านจริง ๆ”

ห่างไปหลายสิบจ้าง หานซื่อจือสีหน้ามืดครึ้ม จ้องมองโม่เทียนเกออย่างดุดัน

เมื่อครู่ถึงเขาจะสกัดการหนึ่งโจมตีของกระเรียนเซียนได้ทันเวลา แต่โม่เทียนเกอก็แค่ส่งเสียงบูรพาโจมตีประจิม ภายใต้ปกปิดของกระเรียนเซียน ใช้เข็มบินลอบจู่โจม ถึงจะไม่ได้ลงมือสำเร็จจริง ๆ แต่ความรู้สึกที่เฉียดฉิวไปมันไม่ดีโดยแท้

หานซื่อจือเชื่อเสมอมาว่าระดับของผู้ฝึกตนโพ้นทะเลเทียบไม่ได้กับผู้ฝึกตนอวิ๋นจง ดังนั้นจึงมาลอบโจมตีอย่างวางใจและกล้าหาญ กลับคาดไม่ถึงว่าในมือโม่เทียนเกอถึงกับมีอาวุธเวทหลายชิ้นนี้ ไม่เพียงหลบปราณแห่งแรดวิเศษ* ของเขาอย่างปลอดโปร่ง ถึงขนาดยังลอบโจมตีเขากลับ เขาเกือบจะตายภายใต้ความประมาทของตนเองไปแล้ว!

แต่ว่า เริ่มจากตอนนี้จะไม่เป็นแล้ว พู่กันทองแท่นฝนหมึกหยกอยู่ในมือ ถึงสตรีนางนี้จะอาวุธเวทมากมาย เขาก็จะไม่แพ้!

โม่เทียนเกอกลับไม่ได้โจมตีทันที จ้องมองหานซื่อจือ ยิ้มบาง ๆ ถามว่า “ศาสตราจารย์หาน จ้ายเซี่ยไม่เข้าใจเลย ท่านมิใช่ผู้ฝึกขงจื่อหรือ กระบี่ฝูเซิงเป็นวัตถุของผู้ฝึกเต๋า ท่านอยากได้มาใช้ประโยชน์อันใด”

“หึ!” หานซื่อจือร้องหึเสียงเย็น “เจ้าจะเข้าใจอะไร วัตถุอย่างอาวุธเวทมีการแบ่งแยกสายปรัชญาด้วยหรือไร ผู้ฝึกขงจื่อผู้ฝึกเต๋าผู้ฝึกพุทธอะไรมิใช่ล้วนแปลงพลังวิญญาณเพื่อใช้เองหรือ”

โม่เทียนเกอตะลึง กลับคาดไม่ถึงว่าเขาจะพูดวาจาเหล่านี้ออกมา

นางคำนึงอยู่ในใจโดยละเอียดหนึ่งรอบ จู่ ๆ มีความรู้สึกความมืดมนสูญสลายชนิดหนึ่ง เกิดการหยั่งรู้อย่างฉับพลัน เข้าใจขึ้นมา มิผิด ผู้ฝึกขงจื่อผู้ฝึกเต๋าผู้ฝึกพุทธแม้กระทั่งผู้ฝึกมารล้วนเป็นผู้ฝึกตน ถึงแม้คำสอนของพวกเขาแต่ละฝ่ายจะไม่เหมือนกัน ประสบการณ์การฝึกตนไม่เหมือนกัน หนทางในการใช้พลังวิญญาณก็ไม่เหมือนกัน แต่ว่า อันที่จริงแก่นแท้ไม่ได้มีความแตกต่างกันมากจนเกินไปเลย พวกเขาฝึกตนเหมือนกัน แปรพลังวิญญาณฟ้าดินมาใช้ประโยชน์เหมือนกัน เสริมความแข็งแกร่งให้กายเนื้อและฝึกชีพจรปราณตานเถียนเหมือนกัน เลื่อนระดับไปทีละก้าวและไล่เสาะหาการบรรลุแจ้งสุดท้ายเหมือนกัน กลับเป็นนางที่ติดอยู่ในมุมมองของสายปรัชญาเกินไป รู้สึกเสมอว่าผู้ฝึกตนสายอื่น ๆ อาจจะเรียนรู้ได้อย่างสองอย่าง แต่ย่อมจะไม่เหมือนกัน อันที่จริงน่าจะเป็นแก่นแท้เหมือนกัน เปลือกนอกไม่เหมือนกันจึงจะถูก

มองดูหานซื่อจือในความมืด ขณะนี้นางมีความรู้สึกอันน่าพิศวงชนิดหนึ่ง หานซื่อจือผู้นี้มาล่าสมบัติ ถึงขนาดที่จะฆ่านาง คำพูดคำจาโหดร้าย เห็นได้ว่าความเป็นนักปราชญ์ผู้คงแก่เรียนเมื่อครู่นี้ล้วนเป็นการหลอกลวง ที่จริงเป็นศิษย์ผู้ศรัทธาความอำมหิต แต่คนคนนี้กลับมีความเข้าใจคุณธรรมเยี่ยงนี้ แทบจะมองทะลุหลักคำสอนของผู้ฝึกตนแต่ละสาย หนึ่งประโยคที่ไม่ได้ตั้งใจของเขาส่งให้นางมีความรู้สึกสภาวะจิตใจหลุดพ้นทันที นางไม่รู้เลยว่าควรจะขอบคุณคนคนนี้หรือไม่

“ศาสตราจารย์หานเป็นผู้คงแก่เรียนมาทั้งชีวิตโดยแท้ ถึงขนาดที่สามารถหยั่งรู้หลักเหตุผลอย่างนี้ออกมา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดการฝึกสภาวะจิตใจกลับอ่อนแอขนาดนี้เล่า พฤติกรรมลอบโจมตีไม่ได้ผ่าเผย พวกท่านผู้ฝึกขงจื่อมิใช่ว่าไล่เสาะหาการยืนหยัดอย่างเที่ยงธรรม ปณิธานแน่วแน่หรอกหรือ หรือว่าท่านไม่กลัวจะมีจิตมาร”

หานซือจื่อยิ้มอย่างหมิ่นแคลน มองโม่เทียนเกอ “เจ้าไม่จำเป็นต้องคารมคมคายดั่งดอกบัว วิชาฝึกจิตของพวกข้าผู้ฝึกขงจื่อ เจ้าเพียงเข้าใจผิวเผินเท่านั้น จิตมารอะไร ก็แค่การกระทำที่ขัดกับคุณธรรมของจิตดั้งเดิมเท่านั้น หากไม่มีคุณธรรม จะไปฝ่าฝืนได้อย่างไร ถึงระดับการฝึกตนเจ้าไม่เลว แต่ก็เป็นเพียงยาโถวผมเหลืองเท่านั้น!”

ถูกดูหมิ่นขนาดนี้ โม่เทียนเกอกลับไร้แววโกรธ นางใคร่ครวญวาจาประโยคนี้ของหานซื่อจือ หากไม่มีคุณธรรม จะไปฝ่าฝืนได้อย่างไร…… หรือจะเป็นเช่นนี้จริง ๆ? ผู้ฝึกตนสายอธรรมไม่ฝึกจิต ธาตุไฟเข้าแทรกง่าย แต่กลับสามารถบรรลุเป็นมารได้ด้วย ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มากมายของเทียนจี๋ล้วนหวาดกลัวจิตมาร จะไม่ทำร้ายชีวิตคนอย่างไร้สาเหตุ แม้แต่คนนิสัยเจ้าอารมณ์อย่างซือฟุก็เป็นเช่นนี้ แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายอันดับหนึ่งของเทียนจี๋กลับเป็นดาวชั่วร้ายซงเฟิงซ่างเหรินคนนั้น ที่แท้เหตุผลถึงกับเรียบง่ายเช่นนี้?

หากไม่มีคุณธรรม จะไปฝ่าฝืนได้อย่างไร เพราะว่าพวกเขาเหล่าผู้ฝึกเต๋าแต่เล็กถูกสั่งสอนแนวคิด “อย่าทำร้ายชีวิตคน ระวังจิตมาร” ดังนั้นพวกเขาเชื่ออยู่ในส่วนลึกของจิตใจตลอดมาว่าหากทำร้ายคนโดยไร้เหตุผลก็จะมีจิตมาร ก็ด้วยเหตุนี้ ตอนที่พวกเขาทำเรื่องอย่างการทำร้ายคนโดยไร้เหตุผลก็จะติดอยู่กับจิตมาร ส่วนซงเฟิงซ่างเหริน ทั้งหมดพูดว่าเขาไม่เต๋าไม่มารไม่คนไม่ผี ก็คือพูดว่าแนวคิดที่เขายึดถือกับผู้ฝึกเต๋าไม่เหมือนกันในระดับหนึ่ง หรือว่าเป็นเพราะในใจเขาไร้คุณธรรมที่ว่ากัน ดังนั้นฝ่าฝืนไปก็ไร้จิตมาร ก็เลยสามารถกลายเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายอันดับหนึ่งของเทียนจี๋?

โม่เทียนเกอตกอยู่ในห้วงคิดของตนเอง หานซื่อจือนั้นกลับยิ้มอย่างเย็นเยียบ โบกมือกะทันหัน หมึกของพู่กันทองสาดออกมา แท่นฝนหมึกหยกทุบมาในเวลาเดียวกัน

“สหายเต๋าฉิน!” เห็นอยู่กับตาว่าหมึกของพู่กันทองจะสาดมาถึงร่างโม่เทียนเกอ ทันใดนั้นได้ยินเสียงตะโกนใสกระจ่างคำหนึ่ง มีคนโผบินออกมา ลำแสงหนึ่งสายประดุจสายฟ้าสกัดหมึกของพู่กันทองกลับไปในชั่วพริบตา

คนผู้นี้เอื้อมมือไปรับ ดาบหยกทรงจันทร์โค้งหนึ่งเล่มบินกลับมาในมือ ร่างขวางอยู่เบื้องหน้าโม่เทียนเกอแล้ว

“ท่าน……” เห็นชุดเต๋าแอปริคอทบนร่างคนผู้นี้อย่างชัดเจน หานซื่อจือตะลึงไป “ท่านคือ……”

ใต้แสงจันทร์ คนผู้นี้ใช้สายตาเยือกเย็นทิ้งลงบนร่างของหานซื่อจือ เอ่ยปากเสียงทุ้มว่า “หานซื่อจือ? ท่านมาเมืองเทียนเสวี่ยของข้า ลงมือฆ่าคนบนดินแดนของสกุลหลิงข้า ไม่เห็นสกุลหลิงข้าอยู่ในสายตาเกินไปแล้วกระมัง!”

ภายใต้สายตาเย็นชาของคนผู้นี้ สีหน้าอำมหิตของหานซื่อจือเก็บคืนไปช้า ๆ พ่นลมออกมาคำหนึ่ง “ในเมื่อสหายเต๋าหลิงลงมือ ข้าก็พูดอะไรมากไม่ได้ เรื่องในวันนี้ก็ยุติลงเพียงนี้”

“ช้าก่อน!” เห็นอยู่กับตาว่าหานซื่อจือหมุนตัวจะไปแล้ว คนผู้นี้ตะโกนคำหนึ่ง เขาจ้องมองหานซื่อจือ สีหน้าอึมครึม “คิดจะไปก็ไปหรือ”

หานซื่อจือหยุดชะงัก หมุนตัวมาเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “หลิงอวิ๋นเฮ่อ ข้าปล่อยวางเรื่องนี้เป็นการไว้หน้าสกุลหลิง ท่านเล่า หรือว่าคิดจะได้คืบเอาศอกไม่เลิกรา”

ภายใต้แสงจันทร์ ใบหน้าของหลิงอวิ๋นเฮ่ออึมครึมไม่แน่นอน “ไว้หน้าสกุลหลิงข้า? ลงมือตามใจชอบบนดินแดนของสกุลหลิงข้า นี่ยังเป็นการไว้หน้าสกุลหลิงข้าหรือ”

“ไม่เช่นนั้นจะเอาอย่างไร” สีหน้าหานซื่อจือยังคงเฉยเมย “ตัวท่านเองก็รู้ว่าท่านไม่สามารถทำอย่างไรกับข้า ยังจะต้องมาขวางข้าด้วยเหตุใด” ว่าแล้วถึงกับสะบัดแขนเสื้อก้าวยาว ๆ จากไป

ส่วนหลิงอวิ๋นเฮ่อ สุดท้ายยังคงไม่ได้ไปขัดขวาง

…………………………………….

นึกแล้วว่าต้องโดนปล้น

*แรดวิเศษ (灵犀) นอแรดได้ชื่อว่าเป็นวัตถุที่มีคุณสมบัติพิเศษเช่นสะกดปีศาจ ล้างพิษ และคุณสมบัติสำคัญที่ดังที่สุดก็คือ เชื่อมโยงจิตใจ ใครเคยอาจนิยายกำลังภายในเยอะ ๆ อาจจะเคยเห็นสำนวน จิตดุจดั่งมีแรดวิเศษเชื่อมสัมพันธ์ ปล. เรื่องนี้มีคนชื่อ “แรดวิเศษ” นี่ด้วยนะ หลิงซีเป็นอาจารย์เต๋ารุ่นเดียวกับฉินซี

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท