หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 372 – ม่านพลังไร้สภาพ

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 372 – ม่านพลังไร้สภาพ

ออกจากปากถ้ำ พลังวิญญาณถาโถมใส่หน้า ในเวลาเดียวกันยังมีลมปราณอันอลหม่านอื่น ๆ

โม่เทียนเกอเงยหน้ามองไปโดยรอบ รอบบริเวณเป็นวัชพืชอันแน่นขนัด รวมทั้งเถาวัลย์ที่พันกันยุ่ง ในอากาศซึมซาบไปด้วยปราณพิษที่เหมือนหมอก ท้องฟ้ามืดสลัว

หุบเขาไร้กังวลนี้ดูแล้วคล้ายกับไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ว่า ความอลหม่านของลมปราณกลับทำให้ทุกผู้คนล้วนขมวดคิ้วขึ้นมา ยังไม่เอ่ยถึงปราณพิษเหล่านี้ สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ปราณพิษเพียงยุ่งยากเล็กน้อย ต้องมีพลังวิญญาณคุ้มครองกายตลอดเวลา สิ่งที่ถึงแก่ชีวิตที่สุดคือปราณโสมมที่ผสมกลมกลืนอยู่ในนั้น

ปราณโสมมเป็นลมปราณที่ค่อนข้างพิเศษประเภทหนึ่งที่มีตัวตนอยู่ในโลกฝึกเซียน สิ่งของนี้สรุปแล้วเกิดขึ้นมาได้อย่างไรก็ไม่มีคนรู้ แต่ว่า ในสถานที่บางแห่งจะสามารถพบเจอปราณโสมมประเภทนี้ได้จริง ๆ มันสามารถกัดกร่อนอาวุธเวทและกายเนื้อ ทำให้อาวุธเวทสูญเสียพลังวิญญาณ ทำให้สิ่งมีชีวิตสูญเสียพลังชีวิตจนถึงแก่ความตาย จุดประสงค์ในการคงอยู่ของมันเหมือนจะเพื่อทำลาย ผู้ฝึกตนบนโลกนี้หลีกหนีมันประดุจงูและแมงป่อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกเต๋าผู้ฝึกพุทธ หรือว่าผู้ฝึกขงจื่อผู้ฝึกมาร

แต่ว่า พลังวิญญาณของหุบเขาไร้กังวลนี้หนาแน่นถึงสิบส่วนจริง ๆ โม่เทียนเกอสัมผัสเล็กน้อย แอบคิดในใจว่า ที่แห่งนี้ในยุคโบราณกาลถูกเรียกขานว่าแดนสวรรค์สุขาวดีไม่ได้กล่าวเลื่อนลอยจริง ๆ หากมิใช่ว่ามีปราณมาร, ปราณพิษ รวมทั้งปราณโสมมเหล่านี้เพิ่มขึ้นมา พลังวิญญาณในนี่เทียบกับพลังวิญญาณของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางแล้วยังหนาแน่นกว่า

สิ่งที่น่าเสียดายคือ สำหรับผู้ฝึกตนทุกวันนี้ไม่มีวิธีการที่จะขจัดปราณโสมมพวกนี้ออกไปเลย ได้แต่ดูดซับพลังวิญญาณของที่นี่ ดังนั้นแดนสวรรค์สุขาวดีแห่งนี้ได้แต่กลายเป็นสถานที่อันตราย

“ทุกท่าน……” หลิงอวิ๋นเฮ่อกำลังอยากจะพูด จู่ ๆ คิ้วขมวดขึ้นมา ดาบหยกทรงจันทร์เสี้ยวปรากฏขึ้นในมือแล้ว ตั้งท่วงท่าของการป้องกัน

ในพริบตานี้ นอกจากหลิงอวิ๋นเฟย ทุกคนล้วนเข้าสู่สภาวะตื่นตัว

“เอ๊ะ?” หลิงอวิ๋นเฟยมองพวกเขางง ๆ ทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง

“สถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง!” หลิงอวิ๋นเฮ่อตะโกนใส่เขาคำหนึ่ง ดาบหยกในมือวาดไป รัศมีแสงสีเงินยวงเหมือนพระจันทร์สว่างขึ้นมา

หลิงอวิ๋นเฮ่อพูดจบ หลิงอวิ๋นเฟยในที่สุดค้นพบว่ามีสิ่งของอะไรโถมมาทางพวกเขาประดุจคลื่น เขารีบเร่งสะบัดแขนเสื้อ กระบี่บินหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กสองเล่มลอยออกมาจากในร่างกาย

คิ้วของโม่เทียนเกอหมวดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ในหกคนสามารถพูดได้ว่าจิตหยั่งรู้ของนางกล้าแข็งที่สุด ถึงแม้ว่าจะถูกกำแพงอาคมในที่นี้สะกดเอาไว้ก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงสภาพการณ์รอบด้าน สิ่งของที่พุ่งมาทางพวกเขาไม่ใช้วัตถุวิญญาณทั่วไปโดยเด็ดขาด ทว่านำพาปราณโสมมอันหนักหน่วงมาด้วย – นี่เป็นสิ่งของแปลกประหลาดอะไรนะ? ปราณโสมมมีจุดประสงค์ในการทำลาย หากเป็นสิ่งมีชีวิต หลังจากถูกแทรกซึมจะถึงกับยังสามารถมีชีวิตได้ด้วยหรือ

อย่างรวดเร็ว ในกลุ่มหกคน คนที่สีหน้าแปรเปลี่ยนไปยิ่งมายิ่งมาก พวกเขาล้วนเป็นผู้ยอดเยี่ยมในหมู่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน ถึงจิตหยั่งรู้จะแย่กว่าโม่เทียนเกออยู่บ้างก็ไม่ได้จะแย่กว่ามากมาย

“สหายเต๋าทุกท่าน!” หลิงอวิ๋นเฮ่อมองโม่เทียนเกอย่างมีความหมายลึกซึ้งแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “ดูท่าสถานการณ์ในหุบเขาไร้กังวลมีการเปลี่ยนแปลง แต่ละคนระวังตัวด้วย!”

ไม่ต้องให้เขาเตือน ทุก ๆ คนล้วนเตรียมตัวต่อสู้พร้อมสรรพแล้ว ในหมู่พวกเขา คนไหนบ้างจะไม่เคยประสบกับอันตรายนับร้อยนับพัน ถึงจะเป็นหลิงอวิ๋นเฟยที่ดูไร้เดียงสาที่สุด ขณะนี้ก็สีหน้าเคร่งขรึม กระบี่บินสองเล่มวนอยู่รอบกายอย่างระวังภัย

สิ่งของเหล่านั้นยิ่งมายิ่งเข้าใกล้ สีหน้าบนใบหน้าของทุกผู้คนยิ่งมายิ่งหนักอึ้ง พวกเขาล้วนค้นพบแล้วว่า สัตว์ประหลาดที่พุ่งมาหาพวกเขามีจำนวนเป็นร้อย อีกทั้งทุก ๆ ตัวล้วนมีความแข็งแกร่งเกินขั้นสี่

“หึ่ง” ดาบหยกในมือหลิงอวิ๋นเฮ่อบินนำไปก่อน ฟันไปทางพงหญ้าอย่างดุดัน

“เมี๊ยว!” แมวภูเขาขนาดใหญ่อย่างยิ่งตัวหนึ่งกลิ้งไปด้านข้าง ใต้ท้องมีเลือดซึมออกมา ร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด

“เมี๊ยว ๆ!” ทันใดนั้น แมวภูเขามากมายกระโดดข้ามพงหญ้า พุ่งมาหา

“นี่เป็นวัตถุปีศาจ!” หยางเฉิงจีส่งเสียงตะโกน ธงสีดำผืนหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขา หน้าธงปักผีร้ายที่เผยเขี้ยวคมหนึ่งตัว ดุร้ายไร้ที่เปรียบ ธงนี้ปราณมารพลิกตลบ น่าจะเป็นอาวุธเวทคู่ชีพของเขา

คนอื่น ๆ อีกหลายคนก็ค้นพบแล้ว แมวภูเขาเหล่านี้ ตาทั้งคู่ประดุจเลือด ส่องประกายเรืองรอง บนตัวมีปราณมืดปกคลุม ชวนพรั่นพรึงยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่ามิใช่วัตถุวิญญาณทั่วไป แล้วก็ไม่ได้เป็นแค่วัตถุมาร ทว่าเป็นวัตถุปีศาจที่กลายพันธุ์แล้ว

“พี่เถียนถอยหลัง อวิ๋นเฟยสนับสนุนกลางวง สหายเต๋าหยางสหายเต๋าฉินเทียนฉานเต้าซยง พวกเราแต่ละคนรับผิดชอบแต่ละทิศ!” หลิงอวิ๋นเฮ่อตัดสินใจทันที

ห้าคนที่เหลือไม่ได้ลังเล ยืนประจำตำแหน่งตามที่เขาพูดทันที เถียนจือเชียนถึงจะเป็นก่อเกิดตานขั้นกลาง แต่เขาเป็นผู้ฝึกตนหุบเขาห้าธาตุ นับว่าเป็นปรมาจารย์วิชาม่านพลัง วิชาต่อสู้เทียบกับผู้ฝึกตนทั่วไปแล้วอ่อนด้อยกว่าบ้าง ส่วนหลิงอวิ๋นเฟย คนในที่แห่งนี้ นับว่าเขาไร้เดียงสาที่สุด ไม่มั่นคงเท่าอีกสามคน ให้พวกเขาสองคนยืนอยู่ด้านหลังเป็นการจัดแจงที่ค่อนข้างเหมาะสมกว่าจริง ๆ

แต่โม่เทียนเกออดคิดไม่ได้ว่า ในห้าคน เถียนจือเชียนและหลิงอวิ๋นเฟยเป็นสหายที่ดีและญาติผู้น้อง ให้พวกเขาสองคนอยู่กลางกลุ่มจะนับว่าเขาจงใจเก็บรักษาพละกำลังป้องกันการทรยศหรือไม่ หากว่าใช่ จิตใจของหลิงอวิ๋นเฮ่อผู้นี้นับว่าเจ้าเล่ห์เกินใคร หากมิใช่ เขาเลือกเถียนจือเชียนที่เป็นปรมาจารย์วิชาม่านพลังและหลิงอวิ๋นเฟยที่เป็นพี่น้องผู้ยังไร้เดียงสาอย่างนี้มาเป็นผู้ช่วย แต่เพิ่มด้วยการเชื้อเชิญหยางเฉิงจี, เทียนฉานและนางสามคนที่ทั้งสามารถต่อสู้และตัดสินใจเรื่องราวมาร่วมทาง หรือไม่กลัวว่าตอนที่ผลประโยชน์ไม่ลงรอยฉีกหน้ากันฝ่ายตนจะตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ? จากที่นางเห็น เถียนจือเชียนสู้นางหรือว่าเทียนฉานไม่ได้โดยเด็ดขาด ส่วนหลิงอวิ๋นเฟยกับหยางเฉินจีก็เทียบกันไม่ได้เลย

คำถามข้อนี้คิดคำตอบไม่ออกไปชั่วขณะ โม่เทียนเกอส่ายหน้า หลังจากโยนลงส่วนลึกของสมองแล้วก็ตั้งสมาธิอยู่กับศัตรู

แต่ละด้านยืนพร้อมแล้ว เผชิญหน้ากับปีศาจแมวนับร้อยตัวที่ถาโถมมา ทั้งหกคนเริ่มฆ่าปีศาจอย่างเป็นระเบียบแบบแผน

ดาบหยกจันทร์เสี้ยวของหลิงอวิ๋นเฮ่อหลังหลุดจากมือก็บินขึ้นลงพลิกตลบภายใต้การบังคับของเขา เข่นฆ่าเป็นทางเลือดสายหนึ่งในฝูงปีศาจแมวทันที แต่ปีศาจแมวเหล่านี้ได้กลิ่นเลือดแล้วกลับยิ่งตื่นเต้น ทุก ๆ ตัวกระโจนมาเหมือนไม่ต้องการชีวิต

โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว ไม่ได้เรียกพัดแห่งสวรรค์และโลกาออกมา ทว่าล้วงกระบี่บินอาวุธเวทของประมุขเต๋าจิ้งเหอออกมา บังคับกระบี่บินฆ่าเข้าไปในฝูงปีศาจแมวด้วยเช่นเดียวกัน

หยางเฉิงจีกางธงหน้าผี เพียงได้ยินที่ข้างหูว่าคล้ายจะมีเสียงกรีดร้องของภูตผี ปราณมารกลืนฝูงปีศาจแมว เมื่อใดที่ถูกปราณมารของเขาสัมผัส ปีศาจแมวจะส่งเสียงร้องแหลมคมทันที ไม่เหลือลมปราณคล้ายกับถูกดูดพลังชีวิตไปอย่างรวดเร็ว

เทียนฉานมือทั้งคู่ถึงกรงเล็บข้างละอัน เมื่อใดที่มีปีศาจแมวเข้าใกล้ก็จะถูกเขาฟันตัดหัวไปภายใต้กรงเล็บ

กระบี่บินสองเล่มข้างกายหลิงอวิ๋นเฟย เล่มเล็กหมุนวนอยู่รอบตัวเขาตลอด เล่มใหญ่บินออกมาเป็นครั้งคราว เข่นฆ่าปีศาจแมวหลายตัว

มีเพียงเถียนจือเชียน ในมือถือจานหยก จับสังเกตการต่อสู้ที่อยู่เบื้องหน้าอยู่ตลอด โม่เทียนเกอกวาดมองแวบหนึ่ง เห็นว่าบนจานหยกสลักปากั้วห้าธาตุอินหยาง คล้ายกับเป็นอาวุธเวทที่มีความเกี่ยวข้องกับวิชาม่านพลังชิ้นหนึ่ง

ปีศาจแมวเหล่านี้ ระดับการฝึกตนบอกว่าสูงไม่สูง บอกว่าต่ำไม่ต่ำ ความแข็งแกร่งโดยเฉลี่ยของพวกมันเทียบกับอสูรมารขั้นสี่แล้วยังกล้าแข็งกว่าบ้าง แต่เทียบกับขั้นห้าแล้วอ่อนกว่าบ้าง ในนี้ปรากฏปีศาจแมวไม่กี่ตัวเป็นครั้งคราวที่ถึงแม้จะเทียบเท่ากับขั้นห้า แต่พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานผู้มีประสบกาณ์ล้นเหลือ ยังคงไม่อาจสร้างภัยคุกคาม ถูกพวกเขาฆ่าตัดหัวไปอย่างว่องไว

ปีศาจแมวนับร้อยตัวเจ็บตายไปกว่าครึ่งอย่างรวดเร็ว กลิ่นเลือดในอากาศยิ่งมายิ่งเข้มข้น

หลิงอวิ๋นเฮ่อรู้สึกอยู่ตลอดว่าเรื่องราวไม่ถูกต้องอยู่บ้าง ขมวดคิ้วครุ่นคิด จู่ ๆ เขาคิดถึงอะไรขึ้นมา เก็บดาบหยกจันทร์เสี้ยวกลับมาทันที ล้วงไข่มุกเทพต้องห้ามออกจากในอกเสื้อ ร้องว่า “อวิ๋นเฟย ขึ้นไปข้างบน! ทุกคนระวัง วัตถุปีศาจพวกนี้หลังจากตายแล้ว ปราณโสมมจะล่องลอย ปราณโสมมรอบ ๆ พวกเราจะยิ่งมายิ่งหนาแน่น!”

ทุกคนพอได้ยินแล้วล้วนตะลึงไป สัมผัสชั่วครู่ หลิงอวิ๋นเฮ่อพูดได้ไม่ผิดจริง ๆ ปราณโสมมแทบจะโอบล้อมพวกเขาแล้ว!

“พี่รอง เช่นนั้นทำอย่างไรดี” หลิงอวิ๋นเฟยแทนตำแหน่งของหลิงอวิ๋นเฟย ขวางกั้นด้านหนึ่ง ส่วนหลิงอวิ๋นเฮ่อถอยหลับไปตรงกลาง

“พวกเราสู้พลางถอยพลาง” หลิงอวิ๋นเฮ่อเอ่ย “สหายเต๋าฉิน ท่านกับอวิ๋นเฟยพาพี่เถียนเปิดทาง สหายเต๋าเทียนฉาน, สหายเต๋าหยาง รบกวนพวกท่านสกัดหลัง ข้าจะอยู่ระหว่างพวกท่าน ใช้ไข่มุกเทพต้องห้ามสะกดลมปราณและกำแพงอาคมรอบบริเวณ”

ห้าคนที่เหลือไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ปรับตำแหน่งกันอย่างว่องไว กระทำตามที่หลิงอวิ๋นเฮ่อพูด

ปีศาจแมวเหล่านี้ถึงจะเยอะ แต่สำหรับพวกเขาแล้วไม่ได้รับมือได้ยากมากเลย สิ่งที่ถึงแก่ชีวิตคือ หลังจากพวกเขาฆ่าปีศาจแมว ปราณโสมมบนร่างพวกมันจะกระจายออกไปโอบล้อมพวกเขา ดังนั้น ทุกคนประเมินสถานการณ์ออกอย่างรวดเร็ว ปีศาจแมวไม่สามารถฆ่า ได้แต่โจมตีให้ล่าถอย

นี่นำพาความยุ่งยากในเชิงปฏิบัติมาอยู่บ้าง ปีศาจแมวเหล่านี้หลังจากได้กลิ่นเลือดแล้วจะดุร้ายไร้ที่เปรียบ พุ่งมาข้างหน้าอย่างไม่สนใจความเป็นความตายอย่างสิ้นเชิง ถึงพวกมันจะมีความแข็งแกร่งอ่อนด้อย แต่อยู่กันเป็นกลุ่มก้อน ทั้งไม่สามารถฆ่าและต้องสกัดเอาไว้ทั้งจำนวน ยากเย็นโดยแท้

ผู้ที่ถูกจำกัดมือเท้าที่สุดคือเทียนฉาน เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ อีกทั้งดูที่เขาลงมือเป็นกระบวนท่าหมายชีวิต เผชิญหน้ากับสถานการณ์เบื้องหน้านี้ ได้แต่ใช้โทสะมาต่อต้าน

หลิงอวิ๋นเฮ่อดูออก ถอนหายใจ กล่าวว่า “พี่เถียน ลำบากท่านแล้ว”

เถียนจือเชียนหัวเราะฮี่ ๆ “ในเมื่อข้ามาแล้ว ไยจะไม่ทำอะไรทั้งนั้นเล่า” พูดจบก็เดินไปตรงกลาง ยกจานหยกในมือ ทำศาสตร์มุทรา ตะโกนเบา ๆ พลังวิญญาณสายหนึ่งไหลเข้าในไปจานหยก บนจานหยกทอแสงเรืองรอง ปากั้วห้าธาตุอินหยางด้านบนเริ่มเคลื่อนหมุน

โม่เทียนเกอดวงตาเจิดจ้า นางสามารถเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์ม่านพลังครึ่งตัว ดูออกว่าท่านี้ของเถียนจือเชียนกำลังตั้งม่านพลัง แต่วิธีการตั้งม่านพลังนี้ของเขากับพวกที่ต้องใช้จานม่านพลัง, ธงม่านพลัง, ศิลาวิญญาณ ฯลฯ มาสนับสนุนไม่เหมือนกัน เป็นการเปลี่ยนผันห้าธาตุอินหยางของทั้งร่างเป็นฐาน ใช้พลังวิญญาณของร่างตนก่อเกิดการสะกดควบคุม เพื่อให้บรรลุถึงประสิทธิผลของวิชาม่านพลัง

พูดว่าเป็นวิชาม่านพลัง แท้จริงแล้วไร้สภาพ พูดว่าไม่ใช่วิชาม่านพลัง แต่ก็สามารถบรรลุถึงประสิทธิผลของวิชาม่านพลังจริง ๆ ดังนั้น เหล่าปรมาจารย์ม่านพลังเรียกขานว่าม่านพลังไร้สภาพ ม่านพลังไร้สภาพไม่สามารถเทียบกับม่านพลังใหญ่จำนวนหนึ่ง ไม่บรรลุถึงผลลัพธ์ของการควบคุมศัตรูตัดสินชัยชนะ แต่ชนะที่ความคล่องตัว ขอเพียงมีจานตั้งม่านพลังอยู่ในมือ ปรมาจารย์ม่านพลังสามารถตั้งม่านพลังได้ทุกเมื่อ ก่อเกิดเป็นการสะกดควบคุม

สามารถตั้งม่านพลังไร้สภาพได้หรือไม่เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของปรมาจารย์ม่านพลัง โม่เทียนเกอยอมรับกับตัวเองว่าวิชาม่านพลังไม่ด้อยกว่าปรมาจารย์ม่านพลังส่วนใหญ่ แต่ก็ตั้งม่านพลังไร้สภาพไม่ได้ พูดถึงที่สุด จุดสนใจของนางยังคงอยู่ที่การฝึกตน ความรู้วิชาม่านพลังถึงจะรุ่มรวย แต่เทียบกับปรมาจารย์ม่านพลังโดยเฉพาะแล้ว ฝีมือการตั้งม่านพลังยังแย่กว่าหน่อย เถียนจือเชียนผู้นี้ออกมาจากพุบเขาห้าธาตุ ก่อเกิดตานขั้นกลางแล้ว ฝีมือการต่อสู้พื้นเพมาก ดูท่าทุ่มเทความสามารถอยู่ที่วิชาม่านพลังทั้งหมด

เมื่อค้นพบจุดนี้ โม่เทียนเกอเข้าใจแล้วว่าที่หลิงอวิ๋นเฮ่อเชิญเถียนจือเชียนมาร่วมทางไม่ได้ทำอย่างขอไปทีเลยสักนิด มีม่านพลังไร้สภาพของเถียนจือเชียน ถึงแม้หลิงอวิ๋นเฟยจะด้อยไปหน่อย ความแข็งแกร่งของพวกเขาสามคนที่ร่วมมือกันไม่ได้ด้อยไปกว่านางกับเทียนฉานหยางเฉิงจีสามคนเลย

ถึงตอนท้ายสุด จานตั้งม่านพลังส่องแสงสีขาวบาดนัยน์ตาออกมา เถียนจือเชียนตะโกนว่า “ไป!”

พริบตาที่เขาส่งเสียง โม่เทียนเกอสัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณรอบบริเวณนิ่งไป ม่านพลังป้องกันอันไร้สภาพหนึ่งอันครอบลงโดยรอบทั้งหกคน ปีศาจแมวเหล่านั้นประดุจชนเข้ากับกำแพงอันไร้สภาพหนึ่งแผ่นทันที กระโจนเข้ามาแล้วล้วนถูกผลักจนลอยออกไป

“ทางนี้!” หลิงอวิ๋นเฮ่อชูไข่มุกเทพต้องห้าม ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง ทั้งหกคนไม่หยุดยั้งแม้แต่ชั่วขณะ บินออกไป

………………………………………

ปราณน่าสะอิดสะเอียนจากตอนที่แล้วขอเปลี่ยนชื่อเป็นปราณโสมมค่ะ

จากประสบการณ์ที่ได้อ่านเรื่องนี้มา สิ่งที่ต้องลุ้นที่สุดคือทริปนี้จะมีคนทรยศหักหลังอีกไหม…….

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท