หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 382 – ปากั้วไท่จี๋

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 382 – ปากั้วไท่จี๋

หลิงอวิ๋นเฮ่อล้วงขวดหยกหนึ่งใบออกมาจากในกระเป๋าเอกภพ ยกมือขึ้น ขวดหยกลอยไปในอากาศ ลอยอยู่กลางอากาศ

“พี่เถียน!” หลิงอวิ๋นเฮ่อตะโกน

เถียนจือเชียนส่งเสียงตอบรับทันที “ทราบแล้ว!” ว่าแล้ว ชี้พลังวิญญาณ จานหยกในมือหมุนวนอย่างเร็วจี๋

ณ ขณะนี้เอง ขวดหยกกลางอากาศปล่อยควันบาง ๆ กลุ่มหนึ่ง ทันใดนั้นรอบบริเวณปรากฏกลิ่นหอมที่ซึมลึกหอบหนึ่ง ทำให้สติสัมปชัญญะของทุกผู้คนสั่นสะเทือน การโคจรพลังวิญญาณในกายเร็วขึ้นมาทันที

บนจานหยกของเถียนจือเชียน อินหยางไหววูบ ห้าธาตุเวียนวน จากช้าไปเร็ว แล้วก็จากเร็วไปช้า เนิ่นนานให้หลังจึงค่อย ๆ หยุดลง

รอจนกระทั่งเข็มชี้บนจานหยกหยุดลงโดยสิ้นเชิง เถียนจือเชียนยกมือขวา จี้พลังวิญญาณไร้สภาพสายหนึ่งออกไป “หยุด!” พลังอันคงที่เล็ดรอดออกมา แสงแห่งสามปราณรอบบริเวณหยุดลงทันควัน ไม่ล่องลอยอีก

หลิงอวิ๋นเฮ่อกระโดดปราดขึ้นทันที ในมือปรากฏถุงผ้าอันสามัญไร้ความพิสดารหนึ่งใบ เริ่มโบกไปซ้ายขวา เก็บเม็ดแสงของสามปราณที่ควบแน่นจนมีสภาพเข้าในในถุงทีละเม็ด เสมือนว่าลำแสงเหล่านี้ล้วนเป็นเม็ดมุกที่มีสภาพ

พร้อมกับการโบกถุงผ้าอย่างต่อเนื่อง แสงแห่งสามปราณในป่าหินยิ่งมายิ่งน้อย ค่อย ๆ เปิดเส้นทางออกมาหนึ่งสาย

ผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดหลิงอวิ๋นเฮ่อหยุดลง เช็ดหน้า กล่าวกับทุกคนว่า “สหายเต๋าฉิน, สหายเต๋าเทียนฉาน พวกท่านสร้างโล่พลังวิญญาณ”

โม่เทียนเกอกับเทียนฉานพยักหน้า เคลื่อนปราณ ตั้งขอบเขตพลังวิญญาณหนึ่งชั้นรอบทั้งหกคน ขวางกั้นแสงแห่งสามปราณที่ไม่ได้ขจัดไว้ที่ภายนอก

“พี่รอง ท่านเป็นอย่างนี้ อาการบาดเจ็บยังดีอยู่กระมัง” หลิงอวิ๋นเฟยถาม

“ไม่เป็นอุปสรรค เพียงสูญเสียพลังวิญญาณเท่านั้น เอาล่ะ อย่าเสียเวลาเลย ไปเถอะ”

ทั้งหกคนเข้าไปในช่องทาง เดินไปถึงสุดปลาย หลิงอวิ๋นเฮ่อยื่นถุงผ้าให้หลิงอวิ๋นเฟยทำตามสูตรเดิม เปิดเส้นทางหนึ่งสายออกมาอีกครั้ง

หลิงอวิ๋นเฟยถึงจะมีระดับการฝึกตนไม่เท่าไหร่ แต่พูดถึงทักษะเวทก็ไม่ได้แย่ ยิ่งบวกกับป่าหินก็ไม่นับว่าลึกจนเกินไป ถูกเปิดช่องทางออกมาอย่างรวดเร็ว

ทั้งหกคนกำลังเดินออกจากป่าหิน ขวดหยกที่อยู่กลางอากาศมาโดยตลอดจู่ ๆ ส่ายแล้วตกลงมาจากข้างบน

“พี่หลิง!” เถียนจือเชียนตาเร็วมือไว รีบล่าถอย ร้องตะโกน

หลิงอวิ๋นเฮ่อเห็นแล้วสีหน้าแปรเปลี่ยนไป มือทั้งคู่ขยับ ก่อเป็นมุทราอันซับซ้อนไร้ที่เปรียบหนึ่งชุด ตีใส่ขวดหยก

ขวดหยกตกลงมาครึ่งทางแล้วถูกหลิงอวิ๋นเฮ่อพยุงเอาไว้ หยุดการร่วงหล่น แต่ไม่อาจหยุดนิ่งตั้งแต่ต้นจนจบ ส่ายไหวไปมา คล้ายกับว่าดิ้นรนอยู่ระหว่างพลังสองกลุ่ม

หลิงอวิ๋นเฮ่อสีหน้าแดงกล่ำ ทำมุทราออกมาอีกชุดอย่างกินแรง ขวดหยกนิ่งเสถียรอย่างช้า ๆ

คนทั้งหมดเห็นแล้วก็ถอนหายใจโล่งอก กำลังจะเดินหน้าต่อ จู่ ๆ รอบบริเวณถูกแสงแห่งสามปราณที่เก็บกวาดไปแล้วกะพริบขึ้นมาอีกรอบ ทักถอเป็นตาข่าย ครอบทั้งหกคนไว้ตรงกลาง ในเวลาเดียวกัน กลิ่นหอมที่แพร่กระจายออกมาจากขวดหยกนั้นจู่ ๆ ก็หายไป

“เกิดอะไรขึ้น” หยางเฉิงจีมองไปรอบ ๆ เอ่ยว่า “เหมือนกับว่าลมปราณจู่ ๆ สับสนแล้ว?”

พอเขาพูดคนอื่น ๆ ก็ล้วนสัมผัสได้ ในพริบตาที่ขวดหยกของหลิงอวิ๋นเฮ่อส่ายไหว แสงแห่งสามปราณที่เดิมทีนิ่งสนิทในป่าหยกก็สับสนขึ้นมา คล้ายกับไร้กฎเกณฑ์ให้ทำตามแม้แต่น้อย พัวพันกันอย่างสับสน

สถานการณ์ประเภทนี้คล้ายกับสถานการณ์ตอนที่พวกเขาเพิ่งเข้าไปในหุบเขาชั้นนอกนิดหน่อย แต่ปราณทั้งสามในที่นี้เพิ่มการพัวพันกันอย่างสับสนยิ่งขึ้น สถานการณ์ก็ยิ่งซับซ้อน แปลกประหลาดสุดจะบรรยาย

“ทำอย่างไร” หลิงอวิ๋นเฟยถือถุงผ้า หันหน้าไปถามหลิงอวิ๋นเฮ่อ

หลิงอวิ๋นเฮ่อหน้าเขียว ไม่พูดไม่จาไปพักใหญ่ ปราณหอมที่ขวดหยกแพร่กระจายเป็นวัตถุวิญญาณปลุกสติชนิดหนึ่ง สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้พวกเขาในวงล้อมของแสงแห่งสามปราณชั่วคราว ในสถานการณ์เช่นนี้ เถียนจือเชียนใช้จานหยกสยบอินหยางห้าธาตุรอบบริเวณ แล้วใช้ถุงผ้านั้นเก็บกวาดแสงแห่งสามปราณก็จะไม่ก่อให้ลมปราณรอบบริเวณปั่นป่วนแล้วเพิ่มตัวแปร แต่ว่าตอนนี้พลังของแสงแห่งสามปราณเกินกว่าการคาดการณ์ของเขา ขวดหยกยืนหยัดไม่อยู่ ถ้าไม่มีการสนับสนุนของขวดหยก เถียนจือเชียนความสามารถไม่พอ ไม่อาจรักษาทักษะลับ รูปการณ์เสถียรที่พวกเขาดำรงเอาไว้ก่อนหน้าก็จะพังทลายในทันใด

ทำอย่างไร? สมองของโม่เทียนเกอก็หมุนวนเร็วจี๋ ช่วยเถียนจือเชียนสยบอินหยางห้าธาตุรอบบริเวณ ให้เขาใช้ทักษะอีก? ไม่ได้ เถียนจือเชียนสีหน้าซีดเผือด เห็นได้ว่าเมื่อครู่สูญเสียพลังวิญญาณมากเกินไป ทักษะเวทที่สยบอินหยางห้าธาตุอย่างนี้เดิมก็มิใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานจะสามารถกระทำ ตอนนี้ถึงเขาอยากจะใช้ก็ไม่แน่ว่าจะใช้ออกมาได้

พลังวิญญาณคุ้มครองร่างพุ่งออกไป? ก็ไม่ได้ แสงแห่งสามปราณนี้แปลกประหลาดเกินไป มิใช่พลังวิญญาณคุ้มครองร่างทั่วไปจะสามารถคุมได้อยู่โดยเด็ดขาด

ยังคิดไม่ออก จู่ ๆ เห็นหลิงอวิ๋นเฮ่อหยิบไข่มุกเทพต้องห้ามในอกเสื้อออกมา จี้หว่างคิ้ว บังคับเลือดสกัดออกมาหนึ่งหยด ปาดไปบนไข่มุกเทพต้องห้าม ทันใดนั้น ไข่มุกเปล่งแสงสว่างมาก บินขึ้นกลางอากาศ

แสงของไข่มุกเทพต้องห้ามสัมผัสกับแสงแห่งสามปราณ เสียง “หึ่ง” ดังขึ้นต่ำ ๆ ทุกผู้คนเพียงรู้สึกว่าสภาวะจิตใจในสมองตกอยู่ในภวังค์ ลมปราณโดยรอบปั่นป่วนแล้วแปรผันไป แสงของไข่มุกเทพต้องห้ามนำพาพลังอำนาจอันกล้าแกร่งอยากจะสะกดแสงแห่งสามปราณ แสงแห่งสามปราณไม่ยอมถูกสะกด ต่อต้านสุดกำลัง พลังอำนาจทั้งสองขั้วกล้าแข็งถึงสิบส่วน เข้าไปโรมรันกัน

เทียบกันแล้ว พลังสภาวะของไข่มุกเทพต้องห้ามกล้าแข็งกว่าหน่อย ในเมื่อไข่มุกนี้เป็นสมบัติที่สืบทอดกันมาของสกุลหลิง ไม่เผยต่อหน้าผู้คนอย่างง่ายดาย มีความพิเศษเฉพาะ หลิงอวิ๋นเฮ่อเพิ่งจะป้อนเลือดสกัดไปอีก ยิ่งมีพลังสภาวะน่าทึ่ง

แต่ว่า แสงแห่งสามปราณถึงจะมีพลังสภาวะสู้ไม่ได้ แต่มันเชื่อมโยงเป็นแผ่นผืน ทว่าไข่มุกเทพต้องห้ามกลับโดดเดี่ยวไร้กองหนุน

พร้อมกับเวลาที่เคลื่อนคล้อย แสงของไข่มุกเทพต้องห้ามยิ่งมายิ่งอ่อน ทว่าแสงแห่งสามปราณกลับยิ่งมายิ่งสว่าง

“ไม่ได้!” หลิงอวิ๋นเฟยร้อง “พี่รอง อย่างนี้ไม่ได้ ไข่มุกเทพต้องห้ามพลังอำนาจไม่พอ!”

หลิงอวิ๋นเฮ่อไยจะไม่ทราบ ไข่มุกเทพต้องห้ามสามารถกุมขังพลังวิญญาณอันปั่นป่วนรอบด้าน แต่กลับไม่สามารถคัดกรอง ได้แต่สะกดเอาไว้ แต่ถ้าสะกดเอาไว้กลับต้องการพลังที่กล้าแกร่งมาก หากไม่พอก็ได้แต่……พังทลาย

แต่ว่า ในระยะเวลาเท่านี้เขาคิดหนทางอื่นไม่ออก เขาเก่งกาจในวิชาต่อสู้ การจัดการกับสถานการณ์ที่สับสนประเภทนี้ไม่เชี่ยวชาญเลย การเดินทางนี้ตั้งใจเชิญเถียนจือเชียนมาร่วมทางโดยเฉพาะก็เป็นเพราะจุดนี้ แต่ตอนนี้เถียนจือเชียนก็มีใจแต่ไร้กำลัง

เห็นกับตาว่ารัศมีแสงของไข่มุกเทพต้องห้ามยิ่งมายิ่งอ่อน คนอื่น ๆ รู้ว่านี่พึ่งพาไม่ได้แล้ว พวกเขาล้วนมิใช่คนที่งอมือรอความตาย แต่ละคนแผ่พลังศักดิ์สิทธิ์ของมาในครู่สั้น ๆ

ธงหน้าผีของหยางเฉิงจีกางออก ปราณมารควบรวมจนกลายเป็นเส้นหนึ่งเส้นล้อมรอบคนทั้งหกเอาไว้

เทียนฉานจู่ ๆ ทุบหมัดหนึ่งหมัดลงพื้นอย่างรุนแรงโดยไม่พูดไม่จาสักคำ ก่อกวนฝุ่นผงนับไม่ถ้วนขึ้นมาเป็นวงวายุรอบทั้งหกคน

หลิงอวิ๋นเฟยโยนธงเล็กออกไปหนึ่งผืน ธงเล็กยืดยาวต้านลม ขยายใหญ่ดุจเสื่อ ต้านทานแรงกดดันจากทิศทางข้างบน

เวลานี้มีเสียง “หึ่ง” อีกหนึ่งเสียง รัศมีแสงของไข่มุกเทพต้องห้ามจู่ ๆ ดับวูบ ตกลงมาจากกลางอากาศ

หลิงอวิ๋นเฮ่อยื่นมือไปรับ สีหน้าดุจดินโคลน ไข่มุกเทพต้องห้ามเม็ดนี้เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษจิตวิญญาณใหม่สกุลหลิงมอบให้กับมือ นี่แสดงถึงความไว้วางใจและคาดหวังที่มีต่อเขา แต่ว่าตอนนี้รัศมีแสงของไข่มุกเทพต้องห้ามสิ้นสูญ ไร้พลังอย่างสิ้นเชิง ถึงจะไม่ได้เสื่อมสลายก็สูญเสียพลังชีวิตไปมาก!

นี่ก็ช่างเถิด หากเขาสามารถเอาผลไร้กังวลกลับไปได้สำเร็จและชิงตำแหน่งเจ้าสำนักมาได้ ราคาเท่านี้ยังนับว่าคุ้มค่า แต่ว่าตอนนี้ พวกเขายังตกอยู่ในวงล้อมของแสงแห่งสามปราณ แม้แต่ชีวิตยังไม่แน่ว่าจะรักษาไว้ได้!

ไม่มีเวลาให้คิดมาก หลังจากไข่มุกเทพต้องห้ามดับแสงไป วิธีการป้องกันของอีกสามคนเจอกับการโจมตีอันหนักหน่วง

หลิงอวิ๋นเฟยผืนทนอยู่ครู่หนึ่ง ร้องด้วยใบหน้าซีดเซียวว่า “พี่รอง ไม่ไหว! ต้องคิดหนทางทำให้การเคลื่อนไหวของลมปราณนิ่งลง ไม่อย่างนั้น……” ไม่อย่างนั้น พวกเขาก็จะเป็นเสมือนเรือโดดเดี่ยวบนทะเลในลมฝนอันคลุ้มคลั่ง ถูกเกลียวคลื่นฉีกกระชากจนกลายเป็นเศษซาก

หลิงอวิ๋นเฮ่อไม่ส่งเสียงสักคำ คลำกระเป๋าอสูรวิญญาณ อสูรวิญญาณขั้นห้านกแร้งตัวนั้นกรีดร้องเสียดแก้วหู พุ่งออกมา ปราณตายคลี่ปกคลุม ขวางกั้นปราณโสมมที่ชนกับพวกเขาเอาไว้

โม่เทียนเกอสะบัดแขนเสื้อ โยนผังปากั้วไท่จี๋ขึ้นกลางอากาศ แสงวิญญาณหนึ่งสายวูบขึ้น ม้วนคัมภีร์คลี่กางช้า ๆ

พร้อมกับการคลี่กางของผังปากั้วไท่จี๋ รอบบริเวณของม้วนคัมภีร์เกิดแสงคลื่นพลังวิญญาณที่เหมือนกับน้ำ แสงคลื่นนี้กระจายตัวออกไปช้า ๆ ไปถึงที่ใด ความเคลื่อนไหวของลมปราณก็ค่อย ๆ นิ่งลง

หลิงอวิ๋นเฮ่อเห็นแล้วดีใจอย่างมาก “สหายเต๋าฉิน!”

ความสามารถในการทำลายอาคมของไข่มุกเทพต้องห้ามดีเยี่ยมกว่าผังปากั้วไท่จี๋ แต่การใช้งานที่แท้จริงของผังปากั้วไท่จี๋คือการคัดกรองพลังวิญญาณ ทำให้อินหยางห้าธาตุนิ่ง นี่กลับเป็นสิ่งที่ไข่มุกเทพต้องห้ามสู้ไม่ได้เลย

ผ่านไปพักหนึ่ง พลังวิญญาณและปราณมารล้วนถูกผังปากั้วไท่จี๋คัดกรอง หลงเหลือเพียงปราณโสมมที่ยังล่องลอยไปทั่ว แต่ว่าขอเพียงการเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณเสถียร สำหรับพวกเขาทั้งหกคนล้วนไม่ใช่เรื่องที่ลำบากยากเย็น

เถียนจือเชียนกลืนโอสถ โคจรจานหยกอีกรอบ ตั้งม่านพลังไร้สภาพหนึ่งม่านพลังอย่างว่องไว ต่อจากนั้น หลิงอวิ๋นเฮ่อโยนอาวุธเวทป้องกันออกไปอีกชิ้น ร่วมกับอาวุธเวทป้องกันของคนอื่นก่อเป็นแนวป้องกันหลายชั้น บวกกับปราณตายของนกแร้งอีก สถานการณ์เสถียรได้ในที่สุด

รอจนทั้งหกคคนออกจากป่าหินล้วนรู้สึกเหน็ดเหนื่อยไม่รู้แล้ว หลิงอวิ๋นเฮ่อและหยางเฉิงจีมีอาการบาดเจ็บบนตัว หลิงอวิ๋นเฟยและเถียนจือเชียนล้างแสงแห่งสามปราณมาตลอดทาง โม่เทียนเกอและเทียนฉานใช้ปราณคุ้มครองทุกคนอยู่ตลอด ถึงตอนท้าย ทั้งหกคนพากันลงมือ แทบจะขุดเอาความสามารถก้นหีบออกมา สูญเสียพลังวิญญาณไปมาก

แต่ว่าโม่เทียนเกอยังนับว่าง่ปลอดโปร่ง นางมีวิญญาณแห่งความโกลาหลแรกเริ่มที่ตัว เดิมทีก็โคจรพลังวิญญาณเร็ว ยิ่งบวกกับเก็บผังปากั้วไท่จี๋ไว้ในแขนเสื้อ นี่ทำให้นางได้รับผลกระทบของสามปราณที่ทับซ้อนกันน้อยมาก

หลังออกมา ทั้งหกคนหมดสิ้นเรี่ยวแรง แทบจะไม่สนใจภาพลักษณ์ ทรุดนั่งลงบนพื้นตรง ๆ หอบหายใจคำโต

ผ่านไปพักหนึ่ง หลิงอวิ๋นเฟยหายใจคล่องแล้ว หันหน้ากลับไปมองป่าหิน มีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่ในใจ “ยังดีที่ผลไร้กังวลไม่ได้อยู่ข้างในนี้ ไม่อย่างนั้นก็ยุ่งยากแล้ว”

หลิงอวิ๋นเฮ่อลมหายใจช้าลงแล้ว ขณะนี้กำลังนั่งขัดสมาธิปรับลมหายใจ ได้ยินวาจานี้ก็ส่ายหน้า “อยู่ที่นี่ก็ดีน่ะสิ สามปราณในป่าหินนี้ถึงจะยุ่งยาก แต่ก็มีหนทางแก้ไขเสมอ อยากจะได้ผลไร้กังวล การหาให้เจอค่อนข้างจะยุ่งยาก หาเจอแล้วก็ง่ายแล้ว”

“พี่รอง!” หลิงอวิ๋นเฟยไม่พอใจ “พวกเราเกือบจะตายอยู่ข้างใน ท่านช่างพูดได้ง่ายดายนัก!”

หลิงอวิ๋นเฮ่อไม่ใส่ใจ ยิ้มบางเอ่ยว่า “เจ้านี่นะ……สหายเต๋าเหล่านี้ล้วนมิใช่คนทั่วไป ไม่ตายง่ายขนาดนั้นหรอก” ว่าแล้ว สายตากวาดมองคนอื่น ๆ ทีละคน สุดท้ายหยุดอยู่บนตัวโม่เทียนเกอ เอ่ยว่า “สหายเต๋าฉิน ครั้งนี้ยังต้องขอบคุณท่านมาก โชคดีที่ท่านมีสมบัติเช่นนี้”

โม่เทียนเกอกำลังพิงต้นไม้พักผ่อน นางเป็นคนที่ปลอดโปร่งที่สุดในหกคน แต่การสูญเสียพลังวิญญาณก็ไม่ใช่น้อย ขณะนี้กลืนโอสถเสริมวิญญาณขั้นสูงจำนวนหนึ่ง แล้วยังหยิบศิลาวิญญาณขั้นกลางหลายก้อนมาเสริมพลังวิญญาณ

เมื่อได้ยิงเสียงของหลิงอวิ๋นเฮ่อ นางลืมตาขึ้น “ถึงไม่มีอาวุธเวทชิ้นนี้ของจ้ายเซี่ย สหายเต๋าทุกท่านก็น่าจะสามารถหลบหนีอย่างปลอดภัย สหายเต๋าหลิงเกรงใจเกินไปแล้ว”

“แต่มีสิ่งของชิ้นนี้อยู่ ทำให้พวกเราปลอดโปร่งขึ้นมากมาย” หลิงอวิ๋นเฮ่อยังคงจับจ้องนาง จู่ ๆ ถามว่า “สหายเต๋าฉิน ท่านมีสมบัติวิญญาณน่าทึ่งเข่นนี้ สรุปแล้วมีที่มาอย่างไร”

…………………………………

ตอนที่ 383 – พนังแห่งรังมด

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท