ตอนที่ 386 – ผลลัพธ์เหนือคาด
หยางเฉิงจีกับเทียนฉานสองคนพัวพันกับงูยักษ์ตัวนี้ หลังจากนั้นโม่เทียนเกอกับหลิงอวิ๋นเฟยก็ลงมือ ภายใต้การร่วมแรงของทั้งสี่คน งูยักษ์ตัวนี้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างรวดเร็ว สั่นเกล็ดทั่วทั้งตัว น้ำดำสาดกระเซ็นไปทั่ว ทั้งสี่คนไม่กล้าประมาท รีบล่าถอย
น้ำดำนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว ถึงกับสามารถกัดกร่อนร่างกายของผู้ฝึกตน ตอนนี้พวกเขายังหาหนทางยับยั้งไม่เจอ ได้แต่หลบเลี่ยง งูยักษ์นี้เมื่อครู่เพิ่งจะเสียเปรียบ ก็รู้ว่าสี่คนเบื้องหน้าร้ายกาจ ดวงตาอันดำสนิทจับจ้องพวกเขา ไม่โจมตีต่อ แล้วก็ไม่ถอยหนี
หกคนหนึ่งงูประจันหน้า ทั้งสองฝ่ายล้วนไม่กล้าบุ่มบ่าม
ทันใดนั้น งูยักษ์กะพริบตา โผไปทางซ้าย ด้านซ้ายของมันก็คือต้นผลไร้กังวล!
“ระวัง!” หลิงอวิ๋นเฮ่อหลั่งเหงื่อเย็นเยียบทั้งร่าง ดาบหยกหลุดจากมือ ฟันไปทางงูยักษ์
แต่ในพริบตาถัดมากลับเห็นกิ่งสีเขียวของต้นไร้กังวลขยับ ฟาดไปทางงูยักษ์ตัวนี้
งูยักษ์หลบพ้นอย่างเฉียดฉิว มุดลงหนองน้ำดัง “ตูม” หายลับไม่เหลือร่องรอย
รอครู่หนึ่งยังไม่เห็นงูยักษ์ปรากฏ จิตหยั่งรู้สัมผัสได้ว่ามันยิ่งดำยิ่งลึก สุดท้ายหายลับไม่เห็น ทั้งหกคนจึงถอนหายใจโล่งอกในที่สุด
“นี่มันตัวอะไร” หลิงอวิ๋นเฟยพูดหอบ ๆ ว่า “ทำไมถึงอยากขวางพวกเราไปเด็ดผลไร้กังวลนะ”
โม่เทียนเกอก็สับสน พูดกันโดยทั่วไป สมบัติสื่อวิญญาณกับวิญญาณผู้พิทักษ์ตนเองมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างใกล้ชิด ถึงแม้วิญญาณผู้พิทักษ์อาจจะกินสมบัติวิญญาณ แต่ว่าเทียบกับคนนอกแล้ว สมบัติสื่ื่อวิญญาณจะเลือกปกป้องวิญญาณผู้พิทักษ์ที่อยู่กันมาหลายปีของตัวเอง แต่การกระทำของงูยักษ์นี้และต้นไร้กังวลเมื่อครู่นี้กลับไม่ได้เป็นเช่นนี้เลย
ภายใต้การคุกคามของทั้งสี่คน งูยักษ์วิ่งหาต้นไร้กังวล การกระทำนี้น่าจะเป็นการอยากกินผลไร้กังวล นี่ปกติมาก ตอนที่วิญญาณผู้พิทักษ์มากมายปกป้องไม่ไหวจะเลือกอย่างนี้แต่ปัญหาคือ ต้นไร้กังวลถึงกับฟาดมัน ทำให้มันบาดเจ็บหลบหนี ทว่าไม่ได้เลือกจากล้างผลาญพวกเขาในภายหลัง
ทั้งหกคนประสานสายตากัน สุดท้ายหลิงอวิ๋นเฟยเอ่ยว่า “เจ้าตัวนี้สรุปแล้วคืออะไร”
“ไม่รู้” หลิงอวิ๋นเฮ่อพอถูกน้ำดำกัดกร่อนก็ใจเย็นลง เขาเอ่ยว่า “นี่มิใช่วิญญาณผู้พิทักษ์ ดูท่าจะมีความมุ่งร้ายต่อต้นไร้กังวล”
“นี่ไม่ประหลาด” เถียนจือเชียนเอ่ย “ลมปราณของหนองน้ำแห่งนี้มิใช่พลังวิญญาณ แต่ว่าวัตถุสื่อวิญญาณอย่างต้นไร้กังวลถึงกับงอกเงยในหนองน้ำ พูดตามหลักเหตุผล ลมปราณสองชนิดนี้น่าจะเป็นปรปักษ์กัน ดังนั้น คำอธิบายที่เป็นไปได้ก็คือ งูยักษ์นี้มาทำลายต้นไร้กังวล”
หยางเฉิงจีมองดูหนองน้ำโดยรอบแล้วมองต้นไร้กังวลนั้นอีก ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ในเมื่อพวกมันเป็นปรปักษ์กัน เพราะอะไรต้นไร้กังวลต้นนี้จึงงอกเงยในหนองน้ำเล่า”
“……” คำถามข้อนี้ไม่มีสักคนตอบ โลกฝึกเซียนแห่งนี้มีเรื่องเร้นลับมากเกินไป ถึงจะเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ก็ไม่มีทางที่จะรู้คำตอบไปเสียทุกเรื่อง
“เลิกพูดมากเถอะ” เถียนจือเชียนเอ่ย “มิใช่บอกว่าผลไร้กังวลสามารถดำดินหนีหรือ พวกเราไม่ยังไปเด็ดแล้วมันหนีขึ้นมาจะทำอย่างไร”
คำพูดเขาปลุกคนตื่นจากห้วงฝัน หลิงอวิ๋นเฮ่อเอ่ยว่า “พี่เถียนพูดถูก พวกเรารีบลงมือเถอะ!”
ในเวลาช่วงนี้ หลิงอวิ๋นเฮ่อกินโอสถไปแต่แรกแล้ว ระงับอาการบาดเจ็บชั่วคราว ขณะนี้ล้วงตาข่ายสีเงินหนึ่งผืนออกมาจากในกระเป๋าเอกภพ เดินไปทางต้นไร้กังวล
นอกจากเขา ทั้งห้าคนล้วนจับจ้องอย่างตึงเครียด
โม่เทียนเกอ, หยางเฉิงจี, เทียนฉานสามคนจ้องหลิงอวิ๋นเฮ่อ พวกเขาได้ยินมาตลอดว่าผลไร้กังวลเป็นสมบัติสื่อวิญญาณ แต่ไม่รู้ว่าสื่อวิญญาณอย่างไร ส่วนหลิงอวิ๋นเฟย, เถียนจือเชียนสองคนกลับจ้องพวกเขาสามคนเขม็ง เพื่อป้องกันพวกเขาลงมือแย่งชิงอย่างกะทันหัน
พร้อมกับการเข้าใกล้ยอดไม้ของต้นไร้กังวลของหลิงอวิ๋นเฮ่อผลไร้กังวลสีเขียวเริ่มสั่นไหว คล้ายกับจะสัมผัสได้ถึงอันตราย ต้นไม้ทั้งต้นเริ่มสั่นสะท้าน หลิงอวิ๋นเฮ่อยิ่งระมัดระวัง ผลไร้กังวลเป็นอย่างสิ่งมีชีวิต ดำดินหนี ก็คือพูดว่ามันจะหลบหนี หากเวลานี้ยอมให้มันหนี เช่นนั้นเรื่องที่ผ่านมาของพวกเขาก็จะสูญเปล่า ทุกสิ่งล้มเหลวในตอนจบ
บนยอดไม้ การสั่นของผลไม้สีเขียวยิ่งมายิ่งรุนแรง จู่ ๆ แยกตัวจากยอดไม้ร่วงหล่นลงมา
หัวใจของทั้งห้าคนล้วนโลดขึ้นมาในพริบตานี้ จับจ้องผลไร้กังวลผลนั้นอย่างตึงเครียด แทบจะอยากพุ่งไปทันที
เวลานี้ หลิงอวิ๋นเฮ่อขยับแล้ว ถึงแม้ร่างกายครึ่งร่างได้รับการกัดกร่อน แต่ความคล่องแคล่วของร่างเขาไม่ได้รับผลกระทบสักนิด ตาข่ายเล็กสีเงินคลี่กาง เขาใช้มือเดียวจับมุมมุมหนึ่งของตาข่ายเหวี่ยงออกไป
เสียง “ตึง” เบา ๆ ทั้งหกคนล้วนถอนหายใจโล่งอก
พริบตาที่ผลไร้กังวลดำดิน ตาข่ายเล็กสีเงินได้ขวางมันจากผืนดินพอดี รวบผลไร้กังวลขึ้นมา
หลิงอวิ๋นเฮ่อหลับตา ปาดเหงื่อบนหน้าผาก เดินไปข้างหน้า ยกตาข่ายเล็กสีเงินขึ้น เก็บผลไร้กังวลเข้ากระเป๋าเอกภพ
“ขอบคุณทุกท่านมากที่ช่วยเหลือ” หลิงอวิ๋นเฮ่อหมุนตัว เผยรอยยิ้มออกมา “ภารกิจของทุกท่านยุติลงตรงนี้ นับว่าสิ้นสุดแล้ว ส่วนค่าตอบแทน กลับสกุลหลิงแล้วผู้แซ่หลิงจะต้องจ่ายเต็มจำนวน”
“หึ! หวังเพียงสหายเต๋าหลิงพูดคำไหนคำนั้น!” หยางเฉิงจีพูดอย่างเย็นชาหนึ่งประโยค
ถึงตอนท้ายสุด ไม่มีใครหักหลังมาแย่งชิง ทำให้หลิงอวิ๋นเฮ่อสามคนรู้สึกโชคดีถึงสิบส่วน พูดตามสัตย์ ไม่ว่าหยางเฉิงจี, โม่เทียนเกอ หรือว่าเทียนฉาน ขอเพียงมีสักคนลงมือ พวกเขาล้วนลำบากมาก หลิงอวิ๋นเฮ่อเพิ่งจะถูกน้ำดำที่กัดกร่อนสาด ตอนนี้ร่างกายครึ่งตัวขยับไม่สะดวก ส่วนความสามารถในการรับเหตุเปลี่ยนแปลงของเถียนจือเชียนและหลิงอวิ๋นเฟยก็ไม่เพียงพออยู่บ้าง
โชคดีนักที่ไม่มีคนลงมือสักคน พวกเขาไม่ได้เลือกคนผิด
“สหายเต๋าทั้งสาม” หลิงอวิ๋นเฮ่อยิ้มเอ่ยกับโม่เทียนเกอสามคน “ในเมื่องานสำเร็จ พวกเราก็สามารถออกจากหุบเขาไร้กังวลแล้ว ท่านทั้งหลายจะออกไปเองคนเดียวหรือว่าออกไปร่วมกับพวกข้า”
เทียนฉานมองไปโดยรอบ เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “สหายเต๋าหลิงรู้สึกว่า ภายใต้สถานการณ์อย่างในตอนนี้ พวกเรายังสามารถจากไปลำพังตนได้หรือ”
พวกเขาอยู่ในส่วนลึกของหนองน้ำ รอบด้านล้วนเป็นตัวประหลาดพิสดาร ยังมีน้ำดำที่กัดกร่อน หากจากไปตามลำพัง ความน่าจะเป็นของอันตรายก็จะทบทวีคูณ
น้ำเสียงของเทียนฉานไม่ได้ดีมาก หลิงอวิ๋นเฮ่อฟังแล้วก็ไม่เกิดความโกรธ ผงกศีรษะเอ่ยว่า “เป็นข้าคิดไม่ถี่ถ้วน มิสู้เอาอย่างนี้ พวกเรากลับไปก่อน ถึงทางออกค่อยแยกย้าย เป็นอย่างไร”
โม่เทียนเกอคิดแล้วพยักหน้า “ได้” อย่างนี้นับว่าเป็นวิธีจัดการที่ดีที่สุด ในหุบเขาชั้นใน หากแยกย้ายกันไป อันตรายจะสูงมาก แต่ระหว่างพวกเขายังขาดความเชื่อใจ ตอนออกไปไม่กล้าหันหลังให้คนอื่น หากเป็นเช่นนี้มิสู้แยกย้ายกันไม่ไกลจากทางออก ต่างคนต่างไป
ถัดจากนั้น หยางเฉิงจีและเทียนฉานก็แสดงออกมาว่าไม่คัดค้าน
“ดีเลย” หลิงอวิ๋นเฮ่อเอ่ย “พวกเรากลับกันเถอะ”
คว้าผลไร้กังวลได้แล้ว หลิงอวิ๋นเฮ่อจิตใจมุ่งสู่บ้าน หลิงอวิ๋นเฟยยังคงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เถียนจือเชียนตามไปเงียบ ๆ บวกกับที่ภารกิจสำเร็จแล้ว พวกโม่เทียนเกอสามคนที่เกียจคร้านอยู่บ้างเดินไปยังทางออก
ตอนที่เข้ามาพวกเขาสิ้นเปลืองแรงมากมาย ออกไปกลับเรียบง่ายมาก ไม่ต้องจงใจสืบค้น หากมีอสูรปีศาจหรือด่านยากแต่เลี่ยงไปก็พอ เสียเวลาเพียงหนึ่งวันก็เร่งมาถึงทางออกแล้ว
ช่องแคบที่แพร่ปราณโสมมเส้นนั้นอยู่ไม่ไกล หยางเฉิงจีหยุดฝีเท้าเป็นคนแรก “สหายเต๋าทุกท่าน จบที่นี่เถอะ”
หลิงอวิ๋นเฮ่อหันหน้าไปถามว่า “สหายเต๋าหยางจะแยกทางกับพวกเราที่นี่หรือ”
หยางเฉิงจีพยักหน้า ใบหน้าเด็กหนุ่มขาวซีดเย็นชา น้ำเสียงก็ยังคงเย็นยะเยือก “สหายเต๋าหลิง หลายวันหลังจากนี้ผู้แซ่หยางจะไปเยือนบ้านเพื่อรับค่าตอบแทน หวังว่าถึงเวลาสหายเต๋าหลิงจะเตรียมไว้พร้อมแล้ว”
หลิงอวิ๋นเฮ่อยิ้มบาง “สหายเต๋าหยางวางใจ จะต้องน้อมคอยการมาเยือนของท่านเป็นแน่”
หยางเฉิงจีพยักหน้า มองดูคนอื่น ๆ หลายคราถือเป็นการทักทาย หมุนตัวหายไปในระหว่างหินระเกะระกะ
หลังหยางเฉิงจีไป หลิงอวิ๋นเฮ่อมองไปทางโม่เทียนเกอและเทียนฉาน “สหายเต๋าทั้งสองท่านเล่า จะไปจากพวกข้าด้วยหรือไม่”
โม่เทียนเกอมองเทียนฉานแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “ออกไปเพียงลำพังยุ่งยากอยู่บ้าง สหายเต๋าหลิงไม่ถือสาที่ข้าเอาเปรียบตามไปด้วยกระมัง”
หลิงอวิ๋นเฮ่อฟังแล้วตะลึงไป จากนั้นยิ้มขึ้นมา “จะได้อย่างไรเล่า ลำบากแค่ยกมือเท่านั้น”
สุดท้ายเป็นเทียนฉาน เขาหลุบตาลงมองมือที่ถูกน้ำดำกัดกร่อนของตนเอง เอ่ยอย่างชืดชาว่า “ในเมื่อสหายเต๋าฉินพูดอย่างนี้……ทั้งสามท่านไม่ถือสาที่จะเพิ่มข้าอีกคนหนึ่งกระมัง”
ได้ยินวาจานี้ของเขา สีหน้าของหลิงอวิ๋นเฟยและเถียนจือเชียนตะลึงงันไปอยู่บ้าง ทั้งสองคนมองไปทางหลิงอวิ๋นเฮ่อพร้อมกัน
หลิงอวิ๋นเฮ่อก็ตกตะลึงอยู่บ้าง โม่เทียนเกอก็ช่างเถิด เขายังนึกว่าเทียนฉานจะเลือกจากไปเหมือนกับหยางเฉิงจี ถึงอย่างไรตลอดทางมานี้ ทัศนคติที่เทียนฉานมีต่อพวกเขาไม่ใคร่จะเป็นมิตร
แต่เขามีปฏิกิริยาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พยักหน้ายิ้มเอ่ยว่า “ย่อมไม่ถือสา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ไปเถิด”
กลุ่มหกคนลดไปเพียงหยางเฉิงจีคนเดียว เดินไปที่ปากหุบเขาของหุบเขาชั้นในต่อ
หลิงอวิ๋นเฮ่อยืนอยู่หน้าช่องแคบ ปล่อยอสูรวิญญาณนกแร้งของเขาออกมา นกแร้งตัวนี้ได้รับบาดเจ็บที่หนองน้ำ ตอนนี้ซึมกะทื่ออยู่บ้าง หลิงอวิ๋นเฮ่อปวดใจอยู่บ้าง ป้อนโอสถเม็ดให้มันกินแล้วจึงกล่าวว่า “เสี่ยวเฮย เจ้าเหนื่อยหน่อยนะ รอหลังจากกลับไป ข้าจะต้องล่าอสูรปีศาจให้เจ้ากินเยอะ ๆ แน่ ๆ”
นกแร้งยืดหัว ร้อง “แกว๊ก ๆ” เสียงน่าเกลียด จากนั้นกินแล้วบินขึ้นไป ลอยอยู่เหนือศีรษะพวกเขา
ปราณตายกระจายออกจากร่างของมันช้า ๆ ครอบคลุมทั้งห้าคน จากนั้น ภายใต้การครอบคลุมของปราณตายก้อนนี้ ทั้งห้าคนออกจากปากหุบเขา
ทิ้งตัวลงในพื้นที่ว่างในหุบเขา ปราณตายบนร่างสลายไปช้า ๆ นกแร้งเสี่ยวเฮยร้องอย่างหมดแรงหนึ่งคำ เกาะบนไหล่หลิงอวิ๋นเฮ่ออย่างเหน็ดเหนื่อย หลิงอวิ๋นเฮ่อลูบหัวมันอย่างปวดใจ อยากจะเก็บมันเข้ากระเป๋าอสูรวิญญาณ —
ในเวลานี้เอง แสงสีขาววูบขึ้นที่ด้านหลัง พลังวิญญาณหนึ่งสายฟันเข้าใส่หลิงอวิ๋นเฮ่อด้วยความรวดเร็วอย่างไร้ที่เปรียบ
หลิงอวิ๋นเฮ่อเกร็งแผ่นหลัง กระโดดไปข้างหลัง หลบแสงแห่งพลังวิญญาณสายนี้ เขาหันหน้าไป อยากดูว่าเป็นใครที่ไร้สมองขนาดนี้ เลือกเวลานี้มาลงมือ เป็นฉินเวยผู้นั้นหรือว่าเทียนฉาน
แต่เขาหันหน้าไป สิ่งที่เห็นกลับเป็นหลิงอวิ๋นเฟยที่ขี่กระบี่บินคู่อยู่ข้างกาย แสงกระบี่สว่างสดใส จี้เข้าหาเขาอีกครั้ง
เวลาเดียวกัน เถียนจือเชียนตะโกนหนึ่งคำ จี้พลังวิญญาณ จานหยกหมุนวนเร็วจี๋
เขาตระหนก และในเวลาเดียวกันก็ยินดีด้วย แต่ในพริบตาถัดมา ความยินดีของเขาหายไปไม่เหลือร่องรอย เหลือเพียงความตระหนกเป็นสองเท่า
จานหยกของเถียนจือเชียนหยุดลง เขาสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณทั้งกายที่ชะงักงัน ถูกม่านพลังวิญญาณกักขังปกคลุม
“พวกเจ้า……” ใบหน้าเขาปราศจากสีเลือด จ้องมองคนสองคนที่อยู่เบื้องหน้านี้ ตัวสั่นเทา แทบจะคล้ายกับชายชราที่พูดไม่ออก
บนใบหน้าที่หนักแน่นไม่เพียงพอมาโดยตลอดของหลิงอวิ๋นเฟยเผยสีหน้าอันแหลมคมเยี่ยงคมดาบ สายตาจับจ้องเขาอย่างคมกริบ ส่วนเถียนจือเชียนลดสายตาลงต่ำ ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
————
ยังคงเป็นคอนเซ็ปเดิม ไม่ว่าไปที่ไหนต้องมีคนทรยศ เราน่ะสงสัยหลิงอวิ๋นเฟยอยู่แล้ว แต่ไม่นึกว่าเถียนจือเชียนก็เป็นไปด้วย