หนานกงเยี่ยมองลึกเข้าไปในดวงตาของเหลิ่งรั่วปิง แววตาของเขาค่อยๆ จมดิ่ง จมดิ่งลึกลงไป จนสุดท้ายจมดิ่งลงไปในน้ำที่เย็นเฉียบ ถึงแม้นัยน์ตาของเขายิ่งอยู่ก็ยิ่งนิ่งสงบ แต่ความโมโหที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวกลับมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าขอเพียงมีอะไรไปกระตุ้นความคิดของเขา มือหนาก็พร้อมที่จะพุ่งเข้ามาบีบรัดคอของเธอ
สายตาของเขา เป็นสายตาเดียวกับที่เหลิ่งรั่วปิงเห็นวันแรกตอนที่มาเมืองหลง เธอเห็นความเหี้ยมโหดกระหายเลือด สายตานั้นเย็นยะเยือกหนาวสะท้านไปจนถึงกระดูก เหลิ่งรั่วปิงอยากจะก้าวถอยหลัง แต่ความมุ่งมั่นของเธอทำให้เธอยังคงนั่งมองตาเขา
หรือเธอเข้าใจเขาผิด เขาไม่ได้อยากเลิกกับเธอ? หรือว่าเขาอยากเลิก แต่การที่เธอเป็นฝ่ายพูดทำให้เขาเสียหน้า?
เหลิ่งรั่วปิงทำใจเตรียมพร้อมที่จะถูกเขาบีบคอ ตอนนี้เธอทะเลาะกับเขาไม่ได้เด็ดขาด แผนการแก้แค้นของเธอยังดำเนินไม่ถึงขั้นสุดท้าย ลั่วเฮิ่งยังไม่ได้ลงนรก
สิ่งที่ทำให้เธอคิดไม่ถึงก็คือ หนานกงเยี่ยไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อก่อน เขาไม่ได้โมโหจนลุกขึ้นมาบีบคอเธอ แต่เขาระเบิดอารมณ์ออกมา กวาดจานชามบนโต๊ะทิ้ง เขาแสยะยิ้มท่ามกลางเสียงจานแตก “เหลิ่งรั่วปิง คุณอยากจะเลิกกับผมอยู่ตลอดเวลาเลยใช่ไหม หื้ม?”
“…”
“เลิกกับผมแล้วคุณจะไปหาใคร”
“…”
“ไซ่ตี้จวิ้น?”
“…”
“ผมจะบอกอะไรคุณให้นะ อย่าแม้แต่จะคิด!”
“…”
“คุณไม่มีสิทธิ์มาบอกเลิกผม ถ้าผมไม่ได้เป็นฝ่ายบอก ชีวิตนี้คุณก็อย่าแม้แต่จะคิดที่จะไปจากผม!”
พูดจบ หนานกงเยี่ยเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก เขาหยิบแก้วบนโต๊ะขึ้นมาแล้วเขวี้ยงไปที่กำแพง ทำแบบนั้นติดต่อกันสองสามครั้ง จนกระทั่งจานใบสุดท้ายแตกเป็นเสี่ยงๆ ภายในห้องเต็มไปด้วยเสียงจานชามแตกที่แสนจะแสบแก้วหู
ถึงแม้จะระบายอารมณ์ออกมาแบบนี้ ความโมโหของหนานกงเยี่ยก็ยังคงไม่น้อยลง ในทางตรงกันข้ามเขารู้สึกโมโหมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ สุดท้ายเขาเตะเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ แล้วพลิกโต๊ะจนหมุนตลบ
เหลิ่งรั่วปิงนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ไม่แสดงสีหน้าใดๆ ที่แท้เธอเข้าใจเขาผิด เขาไม่เคยคิดที่จะเลิกกับเธอ
ในห้องไม่มีอะไรสามารถโยนทิ้งได้อีกแล้ว หนานกงเยี่ยหายใจหอบ เขาเดินออกไปแล้วทิ้งเหลิ่งรั่วปิงไว้ลำพัง ภายในใจของหนานกงเยี่ยรู้สึกโมโหมาก เขาโกรธที่ผู้หญิงคนนี้ไร้หัวใจ ทั้งๆ ที่อยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ เขารักและคอยตามใจเธอมานาน แต่เธอยังคงบอกเลิกเขาอย่างไร้หัวใจ!
เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้เดินตามเขาไป เธอนั่งเงียบๆ หัวใจของเธอรู้สึกว่างเปล่า หวนนึกถึงคืนวันฝนตกที่เขาตามหาเธอ หลังจากผ่านไปนานครู่หนึ่ง เหลิ่งรั่วปิงค่อยๆ ครุ่นคิด เธอมองดูสภาพห้องที่เละเทะ เหยียดตัวลุกขึ้นแล้วเดินออกไป เธอเดินไปชั้นล่างแล้วนั่งแท็กซี่กลับไปที่บริษัท
หนานกงเยี่ยไม่ได้กลับมาที่บริษัท แต่เขาขับรถตรงไปที่ไนท์คลับเฟิ่งหวงไถ เพื่อนของเขามีไม่มาก มีแค่คุณชายทั้งสี่ของเมืองหลงเท่านั้น ที่เดียวที่เขาสามารถระบายความทุกข์ในใจได้ก็คือไนท์คลับเฟิ่งหวงไถของอวี้ไป่หัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเป็นคนสุขุมและมีไหวพริบ ทว่าวันนี้เขาอยากดื่มเหล้าให้เมาเพื่อลืมความเจ็บปวด
เป็นเรื่องที่บังเอิญมาก ถังเฮ่าเองก็อยู่ที่ไนท์คลับเฟิ่งหวงไถ เขากำลังดื่มเหล้าและพูดคุยกับอวี้ไป่หัน ไม่ได้เจอกันมาหลายวัน ถังเฮ่าดูหมดสภาพไปมาก ถ้าจะบอกว่าดื่มเหล้า น่าจะเปลี่ยนเป็นใช้คำว่ากระดกเหล้าดีกว่า ดูท่าเขาเองก็มาดื่มเหล้าเพื่อลืมความเจ็บปวด
เมื่อเห็นหนานกงเยี่ยมาที่ไนท์คลับ อวี้ไป่หันดีใจมาก เขายิ้มทักทายพร้อมกับบอกให้หนานกงเยี่ยนั่งลง อวี้ไป่หันยื่นไวน์แดงชั้นเลิศให้กับเขา “ไม่ง่ายเลยที่แกจะมาไนท์คลับเฟิ่งหวงไถของฉันในเวลาทำงาน ยิ่งยากไปกว่านั้นก็คือแกมาคนเดียว ตอนนี้แกตัวติดกับเหลิ่งรั่วปิงตลอดเวลาไม่ใช่หรอ”
หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเป็นปมแล้วกระดกไวน์ลงคอ “ไม่ต้องพูดมา เทไวน์ให้ฉัน!”
อวี้ไป่หันที่ถูกหนานกงเยี่ยตะคอกถึงกับนิ่งค้างไปพักหนึ่ง เขารีบเทไวน์ให้หนานกงเยี่ย “ไม่ใช่ดิ เกิดเรื่องอะไรขึ้น พอพูดถึงเหลิ่งรั่วปิงแกถึงกับทำหน้าแบบนี้ ทะเลาะกันหรอ”
หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเป็นปมแล้วกระดกไวน์ลงคออีกครั้ง ถือเป็นการยอมรับ
“จุ๊ๆๆ…” อวี้ไป่หันส่ายหน้าไปมาแล้วพิงตัวลงบนโซฟา “ในพวกเราทั้งสี่คน ตอนนี้คนที่มีความสุขที่สุดคงเป็นฉัน ดูพวกแกแต่ละคนสิ เฉิงซียอมถูกครอบครัวบีบบังคับจนตกที่นั่งลำบากเพื่อเวินอี๋ แล้วแกเห็นสภาพของถังเฮ่ารึยัง มันตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งตั้งแต่แรกเจอ แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ตอนนี้มันกำลังดื่มเหล้าให้กับความรักที่ไม่สมหวัง แล้วดูสภาพแกในตอนนี้ อวี้หลานซีรักแกมากแท้ๆ แต่แกกลับไม่เลือกเธอ ดึงดันที่จะคว้าหัวใจเหลิ่งรั่วปิง ตอนนี้คงเสียใจเพราะเธอสิท่า?” ดื่มเหล้าหนึ่งอึก “ผู้ชายเราเนี่ย ห้ามหวั่นไหวกับผู้หญิง แค่เล่นๆ กับพวกเธอก็พอแล้ว เพราะถ้าหวั่นไหวเมื่อไหร่ก็มีเรื่องให้ต้องเศร้าและเจ็บปวด ดูฉันดิ ผ่านผู้หญิงมาเป็นร้อย แต่ฉันไม่ได้ให้ใจกับใคร มีความสุขจะตาย?”
ถังเฮ่าหัวเราะในลำคอ “คนที่ทำเป็นแต่เรื่องอย่าว่า แต่ไม่รู้ว่าความรักคืออะไรอย่างแกจะเข้าใจโลกของคนมีความรักอย่างพวกฉันได้ยังไง!”
หนานกงเยี่ยหัวเราะหึ เขาชนแก้วกับถังเฮ่า เห็นด้วยกับสิ่งที่ถังเฮ่าพูด
อวี้ไป่หันเห็นว่าตนเองแตกออกมาจากกลุ่ม เขาหงุดหงิดมาก “ได้ๆๆ โลกของพวกแกฉันไม่เข้าใจ แต่พวกแกก็ไม่มีความสุขเท่าฉัน ฉันรู้แค่อย่างเดียว เวลาเที่ยวเล่นข้างนอกต้องเลือกคนที่เรารัก แต่เวลาเลือกผู้หญิงมาเป็นภรรยา ต้องเลือกคนที่เขารักเรา ดังนั้นหนานกง ถ้าฉันเป็นแค่ ฉันจะแต่งงานกับหลานซ๊”
“…” หนานกงเยี่ยไม่ได้พูดอะไร ที่จริงเขาเห็นด้วยกับความคิดของอวี้ไป่หัน แต่ว่า หลักการพวกนี้ใครก็พูดได้ ทว่าถึงเวลาที่ต้องทำจะมีสักกี่คนที่ทำได้ ให้เขาตัดใจจากเหลิ่งรั่วปิงตอนนี้ ไม่ว่ายังไงเขาก็ทำไม่ได้
“ไม่ว่ายังไงผู้หญิงก็เป็นแค่คนที่ผ่านเข้ามาแล้วผ่านไป แต่ภรรยาคือคนที่เราจะอยู่ด้วยตลอดชีวิต” อวี้ไป่หันพูดต่อ “การเที่ยวผู้หญิงเป็นแค่การเสพสุขเท่านั้น สิ่งที่ต้องการเวลากลับบ้านคือความอบอุ่นของภรรยา แกลองคิดดูสิถ้าแต่งงานกับผู้หญิงที่เขาไม่ได้รักแก ชีวิตทั้งชีวิตของแกก็คงได้นอนกอดร่างไร้หัวใจ?”
อวี้ไป่หัน “หนานกง เรื่องของหลานซีพวกฉันรู้กันหมดแล้ว เธอทำเพื่อแกถึงขั้นนี้ ต่อให้แกเป็นเหล็กก็ควรที่จะร้อนแล้วรึเปล่า”
หนานกงเยี่ยไม่ได้สนใจ เขาเอนตัวพิงโซฟาด้วยความขี้เกียจ แล้วจิบไวน์ในมือ พูดด้วยความเศร้า “ถ้าใช้หลักการนี้มาวัด เหลิ่งรั่วปิงก็คงจะหวั่นไหวกับฉันได้เหมือนกัน?”
“หวั่นไหวแล้วยังไง แกจะแต่งงานกับเธอหรอ” อวี้ไป่หันถาม
“ไม่” หนานกงเยี่ยยังคงพูดอย่างหนักแน่น เขาไม่เคยคิดจะแต่งงานกับผู้หญิงคนไหน เขาไม่เหมาะกับการแต่งงาน
“แค่นี้ก็จบแล้ว ในเมื่อแกไม่คิดจะแต่งงานกับเธอ แล้วจะแคร์ทำไมว่าเธอจะจริงใจกับแกรึเปล่า หลานซีเองก็ไม่ได้ถือสาที่แกคบกับเหลิ่งรั่วปิง แกแต่งงานกับหลานซีแล้วมันจะเป็นอะไรไป” อวี้ไป่หันถอนหายใจ “เหลิ่งรั่วปิงมีความสามารถที่จะทำให้ผู้ชายบนโลกคลั่งไคล้ในตัวเธอ การที่แกหลงเธอก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่ใจของเธอมันทำมาจากน้ำแข็ง ต่อให้แกหลอมละลายไปแล้วเธอก็ไม่มีวันหวั่นไหว ตรงกันข้ามกับหลานซี หลานซีรักแกมาก แกทำใจทำร้ายจิตใจเธอได้หรอ”
หนานกงเยี่ยมองดูของเหลวในแก้ว เขาเงียบอยู่นาน แล้วกระดกมันลงคอ
*****
เหลิ่งรั่วปิงอยู่ที่บริษัทตลอดทั้งบ่ายแต่ก็เห็นหนานกงเยี่ย เธอไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน เรื่องที่ทั้งสองทะเลาะกันเมื่อตอนกลางวัน ในใจของเธอเองก็รู้สึกไม่ดี หนานกงเยี่ยไม่เคยสติแตกต่อหน้าเธอแบบนี้มาก่อน ทำให้เธอรู้สึกปวดใจขึ้นมากะทันหัน แต่ความรู้สึกปวดใจนี้มีแค่นิดเดียวเท่านั้น สำหรับเธอแล้วหนานกงเยี่ยไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด
หลังจากเลิกงาน เหลิ่งรั่วปิงกลับวิลล่าหย่าเก๋อลำพัง เธอกินมื้อค่ำแล้วกลับไปที่ห้องนอนของตนเอง เหลิ่งรั่วปิงอ่านหนังสือและศึกษาสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงระดับโลก เป้าหมายในชีวิตของเธอคือการเป็นสถาปนิกที่มีความสามารถ เธอไม่มีวันอยู่กับหนานกงเยี่ย เธอยังคงอยากมีชีวิตใหม่ อยากใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดา
จนกระทั่งกลางดึก หนานกงเยี่ยก็ยังคงไม่กลับมา นี่เป็นคืนแรกที่เขาไม่กลับมานอนโดยไม่บอกเธอล่วงหน้า หลังจากที่เขาลากตัวเธอกลับมาจากเมืองเฟิ่ง สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกเศร้าเล็กน้อย เพราะเธอชินกับการมีเขาคอยตามใจ
แต่ว่า เธอคือเหลิ่งรั่วปิง ไม่ใช่นางเอกนิยายรักหลินไต้อวี้ที่หวั่นไหวง่าย ถึงแม้เธอจะรู้สึกเศร้าแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นกินข้าวไม่ลง นอนไม่หลับ ดังนั้นเธอจึงหลับไปตอนประมาณเกือบเที่ยงคืน
เวลาประมาณตีหนึ่งกว่าๆ ประตูห้องนอนถูกคนเปิดเข้ามาอย่างแรง เหลิ่งรั่วปิงสะดุ้งตื่น เธอรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในความมืด ร่างสูงของหนานกงเยี่ยยืนอยู่ที่ประตู เขาเดินเสไปเสมา ภายในห้องฟุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้า
หนานกงเยี่ยในสภาพนี้ เหลิ่งรั่วปิงเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก เธอทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่ควรจะรับมืออย่างไร ดังนั้น เธอจึงนั่งอยู่บนเตียงไม่ยอมขยับ
ท่าทีของเธอทำให้หนานกงเยี่ยไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาปิดประตู แล้วเปิดไฟสว่าง จากนั้นจ้องมองไปที่เหลิ่งรั่วปิง “เหลิ่งรั่วปิง คุณนอนหลับสบายดีหนิ ต่อให้ผมตายอยู่ข้างนอก คุณก็ไม่คิดจะถามไถ่เลยใช่ไหม หื้ม?”
หลังจากทะเลาะกัน เขารอให้เธอโทรศัพท์มาหา ขอเพียงแค่เธอเป็นฝ่ายพูดกับเขาก่อน เขาก็พร้อมที่จะกลับมาหาเธอโดยไม่ลังเลเลยสักนิด แต่เขารอจนดึกดื่นเธอก็ยังไม่ติดต่อมา ตอนแรกเขาคิดว่าเธอจะรอเขากลับมา แต่ใครจะไปคิดว่าเธอจะเข้านอนไปก่อน เขาเคาะประตูหลายครั้งเธอก็ยังไม่รู้ตัว
เหลิ่งรั่วปิงหมดคำจะพูด เขาเป็นใคร เขาเป็นถึงหนานกงเยี่ย คนที่จะไปไหนมาไหนได้ตามอำเภอใจ ไม่มีใครกล้ายุ่งและไม่มีใครกล้าถามว่าเขาจะไปไหน เธอเองก็ไม่มีสิทธิ์ถามเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เธอมีสิทธิ์ถาม เขาก็ไม่น่าเป็นห่วงถึงขั้นให้เธอต้องเป็นกังวลที่เขาไม่กลับมาทั้งคืน แต่ว่า ก่อนจะนอนหลับไปเธอคิดถึงเขา
เธอเองก็รู้ดี พูดเหตุผลกับคนเมาไม่ได้หรอก ดังนั้นเหลิ่งรั่วปิงจึงดึงผ้าห่มออก เดินไปหาเขา “ฉันพยุงคุณขึ้นไปนอนพักบนเตียง”
ครั้งนี้ หนานกงเยี่ยทำตามอย่างว่าง่าย เขาโอบไหล่เหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ ซบไปที่เธอแล้วเดินไปนอนบนเตียง เขาดื่มเหล้าไปเยอะมาก เนื้อตัวของเขาฟุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้า ทำให้เหลิ่งรั่วปิงอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้
เมื่อเห็นเธอขมวดคิ้ว หนานกงเยี่ยหัวเราะเยาะตนเอง “ทำไม คุณรังเกียจผมหรอ”
“หรือคุณชอบคนขี้เมาคะ” เหลิ่งรั่วปิงปรายตามองเขาด้วยความจนปัญญา เธอถอดเสื้อตัวนอกให้เขา แล้วถอดเนคไท
หนานกงเยี่ยให้ความร่วมมือเธอเป็นอย่างดี เขายิ้ม “แล้วตอนที่ผมไม่เมาคุณชอบผมไหม”
เวลาที่หนานกงเยี่ยเมา เขาพูดมากกว่าปกติ เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกตลก “ถ้าฉันบอกว่าไม่ชอบคุณจะทำลายทุกอย่างในห้องไหมคะ”
“เหลิ่งรั่วปิง คุณมันไม่มีหัวใจจริงๆ คุณช่วยพูดโกหกเพื่อปลอบผมหน่อยไม่ได้หรอ” หนานกงเยี่ยนอนลงไปด้วยความเศร้า คิ้วหนาขมวดเป็นปม เวลานี้เขาเหมือนเด็กน้อยที่กำลังร้องขอลูกอม ความสุขุมและเย็นชาของเขาหายไปหมด
จู่ๆ เหลิ่งรั่วปิงก็รู้สึกปวดใจ อวี้หลานซีเคยบอกว่า เขาโดดเดี่ยว ขาดความรัก ต้องการคนดูแล บางทีตอนที่เขาเมา ถึงจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา
เธอถอดรองเท้าให้เขาเงียบๆ แล้วแกะกระดุมเสื้อเชิตให้เขาสองเม็ด จากนั้นห่มผ้าให้เขา “ค่ะ นอนเถอะ”
เหลิ่งรั่วปิงเดินไปอีกด้านของเตียง ขณะที่เธอกำลังจะนอน เสียงของหนานกงเยี่ยดังขึ้นที่ข้างหู “เหลิ่งรั่วปิง คุณใจร้ายกับผมมากเลย ผมอาบน้ำให้คุณตั้งหลายครั้ง แต่คุณไม่เคยอาบให้ผมเลยสักครั้ง ใจคอคุณจะให้ผมนอนทั้งๆ ที่ตัวทั้งเหม็นทั้งสกปรกหรอ”