เวลานี้หนานกงเยี่ยคิดแค่เรื่องเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือตามหาเหลิ่งรั่วปิงให้เจอ ต่อให้เธออยากจะไปจากที่นี่เอง ก็ต้องได้รับอนุญาตจากเขาก่อนถึงจะไปได้ ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหน ไปจากเขาโดยที่เขาไม่ได้เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน เหลิ่งรั่วปิงเองก็เหมือนกัน
ดังนั้น ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามเขาไม่ได้
เดินไปถึงประตูลิฟต์ ยังไม่ทันได้กด ประตูลิฟต์ก็เปิดออก เหลิ่งรั่วปิงเดินออกมาจากด้านใน
หนานกงเยี่ยนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ความกังวลตลอดทั้งคืนได้หายไปแล้ว ทว่าสิ่งที่ตามมานั้นกลับเป็นความโมโห เหลิ่งรั่วปิงดูมีความสุขดี แต่เขากลับตามหาเธอตลอดทั้งคืน เธอไปที่ไหน ไปเจอใคร ไปทำอะไร เขาไม่รู้เลยสักนิด ยังคงเป็นเหมือนครั้งแรกที่เจอกัน เขาไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร เธอเหมือนเขาวงกตที่เขาหาทางออกไม่เจอ
หนานกงเยี่ยจ้องมองเหลิ่งรั่วปิงนิ่งๆ เขาไม่พูดอะไรเลยสักคำ สายตาคมเฉียบมองมาที่เธอราวกับจะมองให้ทะลุปรุโปร่ง
คนที่วิ่งตามหนานกงเยี่ยมาพากันนิ่งค้าง มองมาที่เหลิ่งรั่วปิงด้วยความตกใจ
เหลิ่งรั่วปิงไม่สนใจสายตาของหนานกงเยี่ย เธอยิ้มอย่างสง่างาม “ทุกคนรวมตัวกันแบบนี้จะไปที่ไหนคะ งานประมูลยังไม่เริ่มหนิคะ”
เวินอี๋เดินไปหาเหลิ่งรั่ว “พี่รั่วปิง พี่ไปไหนมาคะ พวกเราตามหาพี่ตลอดทั้งคืนเลย”
เหลิ่งรั่วปิงคิดไม่ถึง ทุกคนมายืนอยู่ตรงนี้เพราะตามหาเธอ หัวใจของเธอสั่นเทาเล็กน้อย แต่เธอไม่ได้แสดงสีหน้าออกมา เหลิ่งรั่วปิงยังคงยิ้ม “พี่ไปเจอเพื่อนมา พวกเธอก็รู้หนิ บริษัทแม่ของฮั่นไห่อยู่ที่ซีหลิง พี่มีเพื่อนทำงานอยู่ที่บริษัทประมูลฮั่นไห ดังนั้นพอเราได้เจอกันโดยบังเอิญก็เลยพูดคุยกันยาว” เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากอำนาจของหนานกงเยี่ย เขาต้องหาจนครบทั้งห้าชั้นแล้วแน่นอน เธอทำได้เพียงยอมรับว่าตนเองอยู่ที่ชั้นหก
หนานกงเยี่ยหัวเราะในลำคอ “เพื่อนแบบไหนถึงได้คุยกันทั้งคืน? อย่าบอกผมนะว่าเป็นผู้ชาย!”
“บังเอิญมากเลยนะคะ เพื่อนที่ฉันพูดถึงเป็นผู้ชายค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงเย้ยหนานกงเยี่ย ถึงแม้ใบหน้าของเธอจะมีรอยยิ้ม แต่ความจริงนั้นเป็นยิ้มที่เจื่อนมาก
ดวงตาคู่สวยของหนานกงเยี่ยจ้องมองไปที่เหลิ่งรั่วปิง ความโกรธของเขากำลังปะทุออกมา “คุณทำดีมาก!”
เหลิ่งรั่วปิงยิ้มอย่างไม่แยแส “ใช่ค่ะ ฉันทำดีมาก คุณหนานกงเองก็ทำได้ดีมากค่ะ คุณไปอยู่กับว่าที่เจ้าสาวของคุณเถอะ ส่วนฉันก็ไปหาคนใหม่ เราไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกัน”
“เหลิ่งรั่วปิง!” หนานกงเยี่ยกัดฟันกรอดแล้วเรียกชื่อเธอ เขาพยามอดทนไม่ทำลายรอยยิ้มแสแสร้งของเธอ “อย่าลืมนะ ตอนนี้คุณยังเป็นผู้หญิงของผม”
“แต่สถานะนี้ก็เปลี่ยนได้ตลอดเวลานะคะ” เมื่อวานเขาเย็นชาใส่เธอทั้งวัน โดยไม่แยกแยะว่าใครถูกใครผิด เธอเองก็รู้สึกโมโหมาก ตอนนี้เธอจะกวนประสาทเขา ทำให้เขาโมโหให้ตายเธอถึงจะสะใจ
คำพูดนี้ทำให้หนานกงเยี่ยระเบิดอารมณ์ออกมาทันที ความเดือดดาลที่มีก่อนหน้านี้หายไป รอบๆ ตัวเขาเงียบกริบ เหมือนกำลังรอต้อนรับพายุลูกใหญ่ สีหน้าของเขายิ่งอยู่ก็ยิ่งเย็นยะเยือก คนที่รู้จักหนานกงเยี่ยมานานต่างก็รู้ดี ตอนนี้เขาโมโหแล้วจริงๆ
ผ่านไปนานครู่หนึ่ง หนานกงเยี่ยแสยะยิ้ม “เหลิ่งรั่วปิง ผมจะทำให้คุณรู้ว่าการทำให้ผมโมโหจะได้บทเรียนอะไร”
ขณะที่พูด หนานกงเยี่ยเดินมาคว้ามือของเหลิ่งรั่วปิงแล้วลากเธอกลับไปที่ห้อง แต่เหลิ่งรั่วปิงไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอ เธอไม่ยอมให้ใครมารังแกเธอได้ ดังนั้น เธอจึงขัดขืนและต่อสู้กับเขา
หนานกงเยี่ยคิดไม่ถึงว่าเธอจะดื้อด้านแบบนี้ การกระทำของเหลิ่งรั่วปิงทำให้เขาโมโหมากกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ใจอ่อนให้เธอแม้แต่น้อย เขาบีบข้อมือของเธออย่างแรง แล้วใช้อีกมือตอบโต้เธอ เหลิ่งรั่วปิงเจ็บจนเม้มปากแน่น เธอสู้กับเขาอย่างไม่ออมแรง ทางด้านหนานกงเยี่ยเองก็ไม่ต่างกัน หลังจากแลกหมัดกันไม่กี่หมัด เธอถูกกดเข้ากับกำแพง ทว่าต่อให้ถูกกดเข้ากับกำแพง หนานกงเยี่ยยังคงไม่ปล่อยข้อมือของเธอ เขาจับมันแน่น จนข้อมือของเธอมีรอยแดง
เหลิ่งรั่วปิงไม่เคยยอมแพ้ในการต่อสู้มาก่อน เธอเม้มปากกัดฟันแล้วสู้กับเขาอีกครั้ง ทั้งสองสู้กันไปมาไม่หยุด หนานกงเยี่ยยังคงไม่ปล่อยให้เธอได้เปรียบ เธอแพ้ให้กับเขาและถูกจับกดเข้ากับกำแพงอยู่หลายรอบ
คนที่อยู่ในเหตุการณ์อยากเข้าไปห้าม แต่ทุกคนต่างก็รู้จักหนานกงเยี่ยเป็นอย่างดี ยิ่งห้ามจะยิ่งทำให้เขาโมโห ใครเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ ในเมื่อเขาโมโหเป็นฟืนเป็นไฟแบบนี้เพราะเหลิ่งรั่วปิง ความเป็นจริงขอแค่เหลิ่งรั่วปิงยอมพูดดีๆ กับเขาสักหน่อย หัวใจของเขาก็ละลายแล้ว แต่น่าเสียดายที่เหลิ่งรั่วปิงเองก็เป็นคนหัวดื้อ คนหัวดื้อสองคนมาอยู่ด้วยกัน มีแต่จะใช้วิธีรุนแรงในการแก้ปัญหา ทำได้แค่ดูว่าใครจะชนะเท่านั้น
เวินอี๋มองดูหนานกงเยี่ยทำแบบนี้กับเหลิ่งรั่วปิง เธอโกรธจนน้ำตาคลอ สะบัดมือมู่เฉิงซีทิ้ง แล้ววิ่งออกไปเพียงลำพัง มู่เฉิงซีได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง เขารีบวิ่งตามเธอไป มู่เฉิงซีรู้ว่าเวินอี๋หวั่นไหวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
หนานกงเยี่ยในตอนนี้ โมโหเป็นอย่างมาก เขาอยากจัดการผู้หญิงคนนี้ให้เธอยอมจำนนให้เขา แต่เหลิ่งรั่วปิงกลับเป็นผู้หญิงที่ดื้อด้านมาก ต่อให้เขาใช้แรงทั้งหมดที่มี ก็ไม่สามารถหยุดความดื้นด้านของเธอได้แม้แต่ครึ่งหนึ่ง มองดูเธอถูกกดเข้ากลับกำแพงครั้งแล้วครั้งเล่า หัวใจของเขาเจ็บปวดมาก เขารู้ว่าเธอเองก็เจ็บปวด แต่เขาอยากให้เธอจำนนให้เขา
ทางด้นซือคงอวี้ เขาอยู่ในห้องเพรสซิเดนท์สูทบนชั้นหก มองดูภาพจากกล้องวงจรปิด เมื่อเห็นหนานกงเยี่ยทำแบบนี้กับเหลิ่งรั่วปิง สายตาของเขาฉายความเหี้ยมโหดออกมามากขึ้นเรื่อยๆ เขาอยากจะฆ่าหนานกงเยี่ย ท้ายที่สุดซือคงอวี้กัดฟันกรอดแล้วสั่งอาเธอร์ด้วยเสียงเย็นยะเยือก “ไปฆ่าหนานกงเยี่ยซะ!”
“!!!” อาเธอร์เงยหน้าขึ้นมองซือคงอวี้ด้วยความตกใจ คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีคำสั่งที่น่าตกใจแบบนี้ แต่หน้าที่ของเขาคือการทำตามคำสั่งของเจ้าวิหาร ดังนั้นหลังจากอึ้งไปพักหนึ่ง เขาก็รีบก้มหน้าลง “ครับ เจ้าวิหาร”
อาเธอร์พาบอดี้การ์ดไปประมาณสิบคน พวกเขาเดินลงบันไดไปที่ชั้นสาม
เวลานี้ เหลิ่งรั่วปิงถูกหนานกงเยี่ยจับกดไปที่กำแพงนับสิบรอบได้แล้ว ถึงแม้เธอจะเจ็บไปทั้งตัว แต่เธอก็ยังคงไม่ยอมแพ้ เธอลุกขึ้นแล้วโต้ตอบเขาอีกครั้ง ครั้งนี้ หนานกงเยี่ยไม่ได้โต้ตอบ แต่กลับดึงเธอเข้ามากอด เขากอดเธอแน่นมาก “พอได้แล้ว เราหยุดทะเลาะกันเถอะ!”
การสู้กันครั้งนี้ เขายอมแพ้ ผู้หญิงคนนี้ดื้อด้านมาก ดื้อจนเขาปวดใจ ดื้อจนเขาไม่รู้จะทำยังไง
ทว่าเหลิ่งรั่วปิงกลับยังไม่หายโมโห “คุณบอกว่าหยุดก็หยุดงั้นหรอ การต่อสู้ยังไม่จบ!” พูดจบ เหลิ่งรั่วปิงสู้กับเขาอีกครั้ง
หนานกงเยี่ยไม่ได้โต้ตอบและไม่ได้ห้ามเธอ เขาเพียงแค่กอดเธอเอาไว้แน่นๆ ปล่อยให้เธอทุบตีเขาจนพอใจ “ได้ คุณทำร้ายผมเลย ตีผมจนกว่าคุณจะหายโกรธ”
อวี้ไป่หันและถังเฮ่ามองหน้ากัน พวกเขาส่ายหน้าแล้วเตรียมจะเดินออกไป ไม่ต้องสนใจดูพวกเขาแล้ว ถึงอย่างไรสุดท้ายหนานกงเยี่ยก็ยอมใจอ่อน เหลือแค่ว่าเขาจะทำยังไงให้เหลิ่งรั่วปิงหายโกรธ คงเป็นไปตามที่เขาว่าเอาไว้ผู้ชายทุกคนยอมใจอ่อนกับผู้หญิงที่ตนรัก
หนานกงเยี่ยกอดเหลิ่งรั่วปิงแน่นมาก ทำให้เหลิ่งรั่วปิงไม่สามารถชกหรือเตะเขาได้เลย เมื่อไม่สามารถชกเขาได้ เธอจึงกัดหัวไหล่ของเขาอย่างแรง ไม่ยอมปล่อย จนกระทั่งเสื้อเชิตสีขาวของเขามีเลือดไหลซิบออกมา
หนานกงเยี่ยไม่ยอมหลบ เขาเพียงแค่ขมวดคิ้วเท่านั้น “หายโกรธหรือยัง”
“ยัง!”
“ถ้าอย่างนั้นก็กัดผมต่อสิ กัดจนคุณหายโกรธ”
เขาจับเธอกดตั้งหลายครั้ง แต่เธอกลับกัดเขาแค่ครั้งนี้ แน่นอนว่าไม่คุ้ม ในเมื่อเขาให้เธอกัดเหลิ่งรั่วปิงก็ไม่เกรงใจ เหลิ่งรั่วปิงเปลี่ยนไปกัดหัวไหล่อีกข้างหนึ่งของเขาอย่างไม่ลังเล
เธอยังไม่ทันปล่อย ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นหูดังขึ้นมาจากทางเดิน จากนั้นก็ตามด้วยชายชุดดำใส่หน้ากากนับสิบคน ในมือของพวกเขาพกปืนเอาไว้ พวกเขาเล็งมาที่หนานกงเยี่ย คนที่เดินนำเป็นคนแรกเองก็ปิดหน้าเอาไว้ แต่เหลิ่งรั่วปิงมองแค่พริบตาเดียวก็ดูออกว่าเขาเป็นใคร เขาคืออาเธอร์
อาเธอร์ทำตามคำสั่งคนๆ เดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือซือคงอวี้ ซือคงอวี้สั่งให้มาฆ่าหนานกงเยี่ย!
เมื่อคิดได้แบบนี้ หัวใจของเหลิ่งรั่วปิงหนาวเย็นขึ้นมาทันที เนื้อตัวของเธอสั่นเทา ไม่ว่าเธอจะโมโหหนานกงเยี่ยแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้คิดอยากจะให้คนตาย ดังนั้น สิ่งแรกที่เธอทำคือส่งสายตาห้ามปรามไปให้อาเธอร์ อาเธอร์รับรู้ทันที ดังนั้นเขาจึงลังเลไปหลายวินาที ทำให้หนานกงเยี่ยไหวตัวทัน
หนานกงเยี่ยคว้าปืนออกมาอย่างรวดเร็ว เขาเล็งไปที่อาเธอร์ แล้วเหนี่ยวไกด้วยความแน่วแน่
ปัง! เสียงปืนดังขึ้น ลูกกระสุนเย็นเฉียบถูกยิงออกมา พุ่งไปทางอาเธอร์ แต่วินาทีที่ลูกกระสุนยิงออกมานั้น กลับเพี้ยนไปจากที่เล็งไว้ เพราะเหลิ่งรั่วปิงตัวเซชนไปทางหนานกงเยี่ย ดังนั้นลูกกระสุนจึงไม่โดนตำแหน่งที่หนานกงเยี่ยเล็งเอาไว้ ยิงไม่โดนหัวใจของอาเธอร์ แต่ยิงโดนแขนของเขาแทน
เหลิ่งรั่วปิงโล่งอก อาเธอร์เป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายของเธอ เขาจะเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด
ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายเริ่มยิงก่อน ทว่าการต่อสู้ได้เริ่มขึ้นแล้ว ถังเฮ่า อวี้ไป่หันและก่วนอวี้หันหลัง คว้าปืนออกมา แล้วยิงปะทะกับกลุ่มคนชุดดำ
หนานกงเยี่ยพาเหลิ่งรั่วปิงไปหลบอยู่ด้านหลัง เขายิงปะทะไปด้วยและถอยหลังไปด้วย จนกระทั่งเดินไปจนถึงทางเดินอีกฝั่ง เวลานี้ คนชุดดำเดินออกมาจากลิฟต์อีกกลุ่มหนึ่ง อีกทั้งในมือของพวกเขาต่างก็ถือปืนเอาไว้
เมื่อเห็นแบบนี้ หนานกงเยี่ยและคนของเขาตัดสินใจวิ่งถอยไปที่บันได
หนานกงเยี่ยจับมือของเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้แน่น เขาสั่งก่วนอวี้ “รีบส่งคนไปปกป้องหลานซี พาเธอไปที่เรือยอร์ชของพวกเรา”
“ครับ” ก่วนอวี้วิ่งขึ้นไปชั้นสอง เพื่อไปหาอวี้หลานซี
เวลานี้ มู่เฉิงซีพาเวินอี๋กลับมา “หนานกง เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายไหน แต่ที่แน่ๆ เป้าหมายของพวกมันคือเรา พวกเราต้องรีบกลับไปที่เรือยอร์ช ไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด คนชุดดำพวกนี้ยังจะมีมาเพิ่มอีก ขืนอยู่ที่นี่ต่อไปคงไม่ดีแน่”
“โอเค”
พวกเขายิงปะทะกันไปมา ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงชั้นหนึ่ง เวลานี้ก่วนอวี้พาอวี้หลานซีขึ้นไปบนเรือของหนานกงเยี่ยแล้ว หนานกงเยี่ยยิงโต้กลับไปอีกหลายนัด ยิงโดนชายชุดดำที่อยู่ใกล้ๆ ไปหลายคน จากนั้นพาเหลิ่งรั่วปิงกระโดดลงไปบนเรือ ทางด้านมู่เฉิงซี ถังเฮ่าและอวี้ไป่หันก็ทยอยมาถึงเรือ
ซือคงอวี้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างบนชั้นหก แววตาของเขาฉายความเหี้ยมโหด เขาจ้องมองไปที่มือของหนานกงเยี่ยที่จับเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ ภาพนี้บาดตาบาดใจเขามาก ดังนั้น ตอนที่หนานกงเยี่ยกระโดดลงไปบนเรือ เขาตัดสินใจยกมือขวาขึ้น เหนี่ยวไกปืนออกไป
เหลิ่งรั่วปิงรู้ดีว่าซือคงอวี้ยืนอยู่ที่ไหน อีกทั้งเธอยังมีความสามารถในการได้ยินสูง ดังนั้นตอนที่ลูกกระสุนของซือคงอวี้ถูกยิงมาจากชั้นหก เธอจึงรู้ทันที ซือคงอวี้เป็นคนที่ยิงปืนแม่นมาก ความเร็วในการยิงก็สูงมากเช่นเดียวกัน เธอจึงทันแค่ผลักหนานกงเยี่ยทิ้ง
ปั้ง! หนานกงเยี่ยโดนยิง เขาตะลึงนิ่งค้าง ยืนเซไปมา ทว่ามือของเขากลับยังคงจับมือเหลิ่งรั่วปิงแน่น ไม่เคยปล่อยมือเธอ
“หนานกง!”
“หนานกง!”
“หนานกง!”
ทางด้านมู่เฉิงซี ถังเฮ่าและอวี้ไป่หันที่กำลังจะเข้าไปในเรือ พวกเขาหันไปมองหนานกงเยี่ยด้วยความตกใจ
หัวใจของเหลิ่งรั่วปิงเต้นแรง ร่างกายของเธอสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้