ตอนที่ 248 ความสุขของเธออยู่ในอ้อมกอดของเขา
ซือคงอวี้หลับตาลงด้วยความเจ็บปวด จะมีใครบ้างที่รู้ เขาไม่ใช่คนที่จะทำตัวบ้าคลั่งเพราะผู้หญิงคนหนึ่งง่ายๆ หญิงสาวที่งดงามราวกับนางฟ้า เมื่อเจ็ดปีก่อนเธอจุติลงมาในชีวิตของเขาดุจดังไข่มุก เธอเป็นแสงสว่างในชีวิตที่มืดมน ตลอดหกปีที่อยู่กับเธอ สลักลึกลงไปในจิตวิญญาณของเขา เธอเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเขาได้
โลกใบนี้ ไม่มีใครเข้าใจความทุกข์ของเขา
เหลิ่งรั่วปิงอยากจะออกไปจากที่นี่ตามลำพังจากใจจริง เธออยากไปอยู่ในที่ที่ไม่มีใครรู้จัก ไปอยู่ในที่ที่หนานกงเยี่ยและซือคงอวี้ไม่มีวันหาตัวเธอเจอ แล้วคลอดลูกที่นั่น เลี้ยงดูจนลูกเติบโต ให้ความรักที่ดีที่สุดกับลูก ดังนั้น ถึงแม้เธอจะบอบบาง รูปร่างซูบผอม แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูแข็งแกร่งมาก
เมื่อกี้เธอเพิ่งได้รองเท้าส้นเตี้ยจากสนมกงฉี่ เดินอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ไม่มีเสียงแม้แต่น้อย เธอเหมือนนางฟ้าที่กำลังก้าวเดินไปสู่ประตูสวรรค์ รอบตัวของเธอเปล่งออร่าชวนหลงใหล ชีวิตเล็กๆ ในท้องมอบพลังให้กับเธอ ทำให้เธอเข้มแข็ง และทำให้เธออบอุ่น และยิ่งทำให้เธอกล้าหาญ ทำให้เธอละทิ้งความรักและความแค้นทั้งหมดลง พาชีวิตเล็กๆ ในท้องนี้ ไปตามหาความสุข
“ที่รัก!” หนานกงเยี่ยวิ่งตามมาอย่างรวดเร็ว คว้ามือของเหลิ่งรั่วปิง แล้วกอดเธอเอาไว้ “ที่รัก อย่าโกรธเลยนะครับ หืม?”
เขารู้จักผู้หญิงคนนี้ดีกว่าใครทุกคน แววตาของเธอบอกกับเขา เธอจะไป ไปลำพังเพียงคนเดียว ซือคงอวี้ก็ดี เขาก็ช่าง เธอไม่อยากสนใจใครทั้งนั้น
เหลิ่งรั่วปิงหันหน้าหนีด้วยความโมโห “คุณอยากต่อสู้มากไม่ใช่เหรอคะ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญทำตามสบาย จะมารั้งฉันไว้ทำไม”
หนานกงเยี่ยขยับตัวเข้าไปใกล้เหลิ่งรั่วปิงเล็กน้อย มองหน้าเธอด้วยความระมัดระวัง เสียงของเขาอ่อนโยนอย่างที่สุด “ที่รักไม่ชอบ ผมจะไม่ทำแล้วครับ หืม?”
เหลิ่งรั่วปิงปรายตามองหนานกงเยี่ยด้วยความเย็นชา “เมื่อกี้ฉันพูดทุกอย่างชัดเจนแล้ว ฉันจะหายไปจากชีวิตของพวกคุณ จะไม่ให้พวกคุณเจอฉันอีกตลอดชีวิต ดังนั้น คุณหนานกงเยี่ย ถ้าคุณไม่อยากส่งผลกระทบต่อภรรยาคนต่อไปของคุณ ทางที่ดีที่สุดคือเซ็นใบหย่าให้ฉันตอนนี้ คุณจะได้ไม่ต้องทำเรื่องผิดกฎหมายในการแต่งาน”
“ฮ่าๆๆ…ที่รัก!” หนานกงเยี่ยหัวเราะแห้งๆ ด้วยความระมัดระวัง “อย่าโกรธเลยนะครับ หืม? กลับบ้านเรากันเถอะ”
ขณะพูด หนานกงเยี่ยลงน้ำหนักบนมือ แล้วช้อนตัวเหลิ่งรั่วปิงขึ้นมา เดินไปยังอีกด้านหนึ่งของทางเดิน
สภาพร่างกายเหลิ่งรั่วปิงในตอนนี้อ่อนแรง ต่อต้านเขาไม่ได้ เธอตบหน้าหนานกงเยี่ยด้วยความโมโห “ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้!”
ตบฉาดหนึ่งดังมาก ดังก้องไปทั่วทางเดินยาว กวนอวี้ที่เดินตามอยู่ด้านหลังอดไม่ได้ที่จะชะงัก โลกใบนี้มีใครบ้างที่กล้าตบหน้าหนานกงเยี่ย
หนานกงเยี่ยถูกตบหนึ่งฉาด ไม่เพียงแต่ไม่โมโห ในทางกลับกันเขาดูดื่มด่ำและมีความสุขมาก “ที่รัก ตอนนี้คุณเหมือนภรรยาขี้โมโหเลยนะครับ อะไรนิดอะไรหน่อยก็ตบผม ตอนนี้แม้แต่หน้าของผมก็ตบแล้ว”
เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกระอายกับการกระทำของตนเมื่อครู่ กะพริบตาปริบๆ “คุณไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือไง ปล่อยฉันลง!”
หนานกงเยี่ยเอาแก้มมาถูผมของเหลิ่งรั่วปิง ยิ้มร่าอย่างมีความสุข “เด็กดี อย่าดื้อเลยนะ ตอนนี้ดึกมากแล้ว ลูกในท้องต้องการพักผ่อนแล้วนะครับ”
เหลิ่งรั่วปิง “…” ผู้ชายคนนี้เรียนรู้ที่จะทำตัวน่าไม่อายแล้ว!
เดินออกมาจากราชวัง ขึ้นไปที่รถของตนเอง หนานกงเยี่ยรู้สึกสบายใจมาก ลูกที่เขาปรารถนาอยากจะมีมานานก็มีแล้ว ภรรยาก็ตามกลับมาได้แล้ว มือแห่งความสุขกำลังลูบผมของเขาไม่หยุด
ก่วนอวี้นั่งอยู่ตรงตำแหน่งคนขับ สตาร์ทรถเบาๆ พร้อมทั้งปิดกระจกรถด้วยความใส่ใจ
รถของหนานกงเยี่ยค่อยๆ เคลื่อนตัวไกลออกไปจากราชวังซีหลิง พวกเขาไม่ทันสังเกตเห็นบริเวณมุมมืด มีรถคันสีดำจอดเอาไว้ ในรถมีผู้ชายใบหน้าพระเจ้าประทานสองคนนั่งอยู่ พวกเขาคือไซ่ตี้จวิ้นและฉู่เทียนรุ่ย
ไซ่ตี้จวิ้น “ดูเหมือนเธอจะไม่เป็นอะไรแล้ว แบบนี้ฉันก็สบายใจ”
ฉู่เทียนรุ่ย “ฉันเองก็สบายใจ” ก่อนหน้านี้เขาเห็นอาเธอร์
ขึ้นไปบนรถ หนานกงเยี่ยกอดเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ในอ้อมกอด มองหน้าเธอด้วยความหลงใหล และจูบเธอเป็นครั้งคราวตลอดเวลา รอยยิ้มแห่งความสุขไม่จางหายลงแม้แต่น้อย
เหลิ่งรั่วปิงถูกจ้องจนรู้สึกอึดอัด แต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เธอจึงหันหน้าไปอีกทางด้วยความหงุดหงิด ไม่มองหน้าเขา แต่หนานกงเยี่ยยิ่งอยู่ก็ยิ่งหน้าหนามากขึ้นเรื่อยๆ เธอหันหน้าหนีเขาก็หันหน้าเข้าหาเธอ เธอหันหน้าหนีอีกเขาก็หันหน้าเข้าหาเธออีก เป็นแบบนี้สลับไปมา จนสุดท้ายเหลิ่งรั่วปิงก็โมโหขึ้นมา “คุณหนานกงเยี่ย หน้าคุณหนาแค่ไหนกันคะ”
“ฮ่าๆๆ…” หนานกงเยี่ยหัวเราะร่า “ที่รักครับ พวกเราตั้งชื่อให้ลูกกันเถอะ”
เหลิ่งรั่วปิง “ยังไม่รู้เพศสักหน่อยว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง จะตั้งชื่อยังไงคะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งทั้งชื่อเด็กผู้ชายและชื่อเด็กผู้หญิง”
“เรื่องนี้คุณไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ลูกของฉัน ฉันตั้งชื่อให้อยู่แล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ”
หนานกงเยี่ยทำหน้านิ่งทันที จับคางเหลิ่งรั่วปิงแน่น “ถ้าขืนคุณยังพูดแบบนี้อีก ระวังผมจะกักบริเวณคุณ!”
เหลิ่งรั่วปิงเผชิญหน้ากับสายตาของเขา “คุณหนานกงเยี่ย คุณพูดถูก ลูกละลายความแค้นในใจของผู้หญิงได้ ถูกต้องแล้วค่ะ ฉันยอมรับ หลังจากที่ฉันรู้ว่าตัวเองท้อง ความแค้นที่อยู่ในใจของฉันก็หายไปจนหมด ฉันไม่อยากแก้แค้นหนานกงจวิ้นแล้ว ตอนนี้ฉันแค่อยากมีลูก และเลี้ยงดูลูกให้ดี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันเลือกที่จะกลับไปคบกับคุณ ลูกเป็นของฉัน คลอดลูกและเลี้ยงลูกเป็นเรื่องของฉันแค่คนเดียว”
หนานกงเยี่ยข่มความโมโหที่อยู่ในใจเอาไว้ เพิ่มน้ำหนักมือมากขึ้น จับคางเหลิ่งรั่วปิงจนเป็นรอยแดง “คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณกำลังพูดอะไร คุณอยากให้ลูกของผมไม่มีพ่อ งั้นเหรอ”
“เหลิ่งรั่วปิง ผมจะบอกอะไรให้นะ อย่าแม้แต่จะคิด!”
“ผมไม่คู่ควรกับคุณตรงไหน คุณถึงได้ทิ้งผมครั้งแล้วครั้งเล่า คุณลองหนีดูอีกสิ”
เหลิ่งรั่วปิงมองหนานกงเยี่ยด้วยความดื้อดึง “ลูกของฉันต้องมีชีวิตที่มีความสุขที่สุด ฉันไม่ต้องการให้ลูกนามสกุลหนานกง ฉันไม่ต้องการให้ลูกเป็นคนตระกูลหนานกง ฉันไม่อยากให้ลูกโตมาแล้วเป็นแบบคุณ!”
ดวงตาของหนานกงเยี่ยมีน้ำใสๆ รื้นขึ้นมา น้ำหนักมือของเขาเองก็ลดลง เขาถอนหายใจเบาๆ “ไม่เป็นแบบนั้นหรอก ผมเคยผ่านความทรมานแบบนั้นมาแล้ว ผมไม่มีวันปล่อยให้ลูกของผมต้องเจอเรื่องแบบนั้น คุณสบายใจเถอะนะ หืม?” มือใหญ่ของเขากดตัวเหลิ่งรั่วปิงเข้าไปในอ้อมกอด “ที่รัก อย่าดื้อเลยนะครับ พวกเราใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขเถอะ สิ่งที่คุณเป็นกังวลจะไม่มีวันเกิดขึ้นเด็ดขาด อบรมเลี้ยงดูลูกยังไงล้วนขึ้นขึ้นอยู่กับคุณนะครับ ลูกเป็นของคุณ และเป็นของผม คุณรักลูก ผมเองก็รัก พวกเราทั้งครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเถอะนะ”
อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขทั้งครอบครัว!
คำพูดนี้แตะต้องไปยังส่วนลึกในใจของเหลิ่งรั่วปิง ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบสำคัญกับเด็กคนหนึ่งมากแค่ไหน เรื่องนี้เธอรู้ดีกว่าใคร ตอนที่เธอเด็กๆ เธออยากจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ แต่เธอไม่เคยมีมาก่อน ตอนที่เธอคลอดออกมา เธอก็ไม่มีแม่แล้ว ตอนที่เห็นเด็กคนอื่นอ้อนแม่ เธออิจฉาและเศร้า จนกระทั่งตอนหลัง ครอบครัวของเธอพังทลาย เธอต้องพลัดพรากจากบ้านเกิด ทำให้เธอยิ่งปรารถนาที่จะมีครอบครัว
คนที่ไม่มีครอบครัว ล่องลอยเหมือนฝุ่น ชีวิตไม่มีจุดหมาย
ลูกของเธอ เธอควรจะให้ลูกมีครอบครัวที่สมบูรณ์
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ความดื้อดึงของเหลิ่งรั่วปิงลดลงมาก เธอขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของหนานกงเยี่ยเงียบๆ ผู้ชายคนนี้รักเธอมาก เขาไม่ได้เป็นแค่สามีของเธอ แต่ยังเป็นพ่อของลูกในท้อง เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับครอบครัวสมบูรณ์แบบที่เธอวาดฝัน
ถูกต้อง ไม่มีเขา เธอไม่อาจมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ลูกของเธอจะเป็นเด็กที่ขาดความรัก ใช่แล้ว ลูกของเธอจะไม่มีพ่อไม่ได้เด็ดขาด หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เหลิ่งรั่วปิงพูดขึ้น “ค่ะ พวกเรากลับไปอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข”
หลังจากเงียบอยู่นาน เหลิ่งรั่วปิงพูดคำตอบของเธอออกมา ดูเหมือนจะสายไปหน่อย แต่นี่กลับเป็นประโยคที่ทำให้หนานกงเยี่ยดีใจมาก น้ำตาคลอเบ้า เขากระชับกอด “ที่รักครับ ผมรักคุณ”
เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้พูดอะไรอีก เธอหลับตาลงเงียบๆ ซบอยู่ในอ้อมกอดของหนานกงเยี่ย เธอรู้สึกเหนื่อยแล้วจริงๆ เพียงแต่ตอนที่นอนลงไป ริมฝีปากของเธอมีรอยยิ้ม เมื่อกี้เธอเพิ่งจะพาลูกไปตามหาความสุข ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ความสุขของเธอคือการอยู่ในอ้อมกอดของเขา สามีที่รักเธอยิ่งกว่าชีวิต ลูกที่น่ารัก เธอกำลังจะมีทุกอย่างแล้ว
ก่วนอวี้ขับรถนิ่มมาก ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็ถึงวิลล่าหนานกง
หนานกงเยี่ยถอดเสื้อกันหนาวของตนเองแล้วคลุมตัวเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ จากนั้นอุ้มเธอลงมาจากรถ อุ้มไปที่ห้องนอน วางลงบนเตียง มองดูเธอนอนหลับเงียบๆ เขายิ้มพร้อมกับมีน้ำตาหยดลงมาหนึ่งหยด ในที่สุดความสุขที่เขาต้องการก็มาถึงแล้ว ผู้หญิงที่เขารักมากที่สุด ตั้งท้องลูกที่เขาเฝ้าอยากจะมีมานาน ความแค้นระหว่างเธอกับเขา จบลงเพราะเด็กคนนี้ หลังจากนี้ เขาจะมอบความรักที่ดีที่สุดให้กับเธอและลูก สร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ เขานึกถึงบ้านสุขสันต์ที่กำลังสร้าง หลังจากกลับไปเขาจะเซอร์ไพรส์เธอ
ถอดเสื้อผ้าขึ้นไปบนเตียง โอบกอดเธอเอาไว้ เอาหน้าซุกเข้าไปในซอกคอของเธอ เขาหลับตาลงอย่างมีความสุข
……
หลังจากซือคงอวี้กลับวิหารซีหลิง เขาก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ทองคำของเจ้าแห่งผู้สอนหลักความเชื่อ มองดูแท่นบูชาพระเจ้าด้วยความเหม่อลอย หมาป่าสีเทาไม่กล้านอนหลับ เขาเฝ้าซือคงอวี้เงียบๆ
ซือคงอวี้มองด้วยความตั้งใจ ถ้ามองอย่างละเอียด จะพบว่าแววตาของเขาฉายความลบหลู่ ไม่มีใครรู้ เจ้าแห่งผู้สอนหลักความเชื่อที่เก่งที่สุดตลอดร้อยกว่าปีที่ผ่านมาของซีหลิง เวลานี้ หัวใจของเขากำลังสับสน เขาถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า มีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร
ทำไมเขาถึงต้องโดดเดี่ยวแบบนี้ด้วย
เขามองไปยังรูปปั้นพระเจ้าที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์บนแท่นชูชา พร้อมกับถามด้วยความลบหลู่ “เทพเจ้าที่อายุยืนยาว ช่วยบอกผมที ทำไมผมถึงต้องโดดเดี่ยวแบบนี้ด้วย”
จากนั้น มีเพียงแค่เสียงลมที่ดังขึ้นนอกหน้าต่างเท่านั้น ไม่มีเสียงของพระเจ้าแต่อย่างใด
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ซือคงอวี้ถามอีกครั้ง “ผมเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ เหรอ ก่อนที่ผมจะเกิดผมเคยเป็นลูกของท่านจริงๆ เหรอ ทำไมท่านต้องให้ผมแบกรับความเจ็บปวดมากมายแบบนี้ด้วย สิ่งที่ผมต้องการนั้นมีไม่มาก ผมแค่อยากให้เธออยู่กับผม ทำไมความอบอุ่นแค่นี้ท่านกลับต้องพรากมันไปจากผม”
เงียบอยู่นาน
ซือคงอวี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทอง เดินลงขั้นบันได ไปยังตรงหน้าแท่นบูชา มองระยะใกล้อยู่นาน จากนั้นออกแรง เตะแท่นบูชา “แค่ความปรารถนาเล็กๆ น้อยๆ ของผมท่านก็ทำให้สมหวังไม่ได้ แล้วท่านเป็นพระเจ้าภาษาอะไร ทำไมถึงต้องทำให้ผมศรัทธา ทำให้ผมบูชาท่านด้วย?!”
หมาป่าสีเทารีบวิ่งลงบันได “เจ้าแห่งผู้สอนหลักความเชื่อ ใจเย็นก่อนครับ”