แม้แต่คนทั่วไปก็ยังทนรับพฤติกรรมน่าละอายเช่นนี้ไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับบรรดาเชื้อพระวงศ์
ใครจะรับผู้หญิงสำส่อนที่หลับนอนกับข้ารับใช้เป็นลูกสะใภ้ตัวเอง
คนที่เป็นสามีของนางมีแต่จะถูกสวมหมวกเขียว[1]เท่านั้น
คงแปลกทีเดียวถ้าอดีตฮ่องเต้ไม่สั่งตัดหัวคนคนนั้น
เสนาบดีทุกคนมองตากันด้วยความประหม่า ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงผสมกับความรังเกียจ ไม่เคยมีใครคาดคิดเลยว่าใต้เท้าอู๋จะกล้าดีถึงขนาดกระทำความผิดให้คนทั้งตระกูลถูกประหารชีวิต
ใบหน้าของใต้เท้าอู๋หมองคล้ำในทันใด บนหน้าผากของเขาปรากฏคราบเลือดขึ้น แล้วจากนั้นเขาก็ล้มลงกับพื้นของท้องพระโรง
เขานึกไม่ถึงว่าจะมีใครรู้เรื่องส่วนตัวของบุตรสาว และนำมันมาเปิดเผยเช่นนี้
ตอนนี้ต่อให้เขาเป็นหนึ่งในบรรดาเสนาบดีที่ติดตามรับใช้อดีตฮ่องเต้มาตั้งแต่ต้น แต่เขาก็คงไม่รอดแน่แล้ว
ใต้เท้าอู๋น้ำตาไหลอาบแก้ม เขารู้สึกเสียใจกับการกระทำของตัวเองยิ่งนัก ขาทั้งสองข้างของเขาสั่นแรงเสียจนไม่สามารถยืนต่อไปได้
อดีตฮ่องเต้โกรธจนควันออกหู ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยแรงโทสะพร้อมกับแผดเสียงขึ้นว่า “เหลวไหล! ช่างเป็นการกระทำที่เหลวไหลเสียไม่มี! ทหาร ลากตัวอู๋หย่งออกไปตัดหัว!”
“พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ทุกนายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พวกเขาแทบไม่เปิดโอกาสให้ใต้เท้าอู๋ได้พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว…
ตอนแรกคุณหนูอู๋ที่คุกเข่าอยู่กับพื้นไม่อยากพูดอะไรออกมาทั้งนั้น อย่างไรนี่ก็เป็นเหตุการณ์ที่น่าอับอายอย่างมาก มิหนำซ้ำนางยังถูกคนทั่วทั้งท้องพระโรงมองด้วยสายตาตัดสิน นางรู้สึกอับอายขายหน้าเสียจนอยากขุดหลุมขึ้นมาสักหลุมแล้วฝังตัวเองอยู่ในนั้น แต่เมื่อนางเห็นผู้เป็นบิดากำลังถูกพาตัวออกไป นางก็ส่งเสียงร้องขึ้นพร้อมกับน้ำตาโดยไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าหน้าตาของตัวเองจะน่าเกลียดเพียงใด “อดีตฮ่องเต้ ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ ท่านพ่อของหม่อมฉันเสียสละทำงานเพื่อท่านมาหลายปี ตระกูลอู๋เองก็ได้สร้างคุณงามความดีอันน่าจดจำเอาไว้เป็นจำนวนมาก ท่านจะสั่งประหารชีวิตท่านพ่อของหม่อมฉันด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ อย่างไรต้นตอของปัญหาทั้งหมดก็เป็นเพราะว่าพระชายาสาม..”
“เงียบ!” คงดียิ่งนักหากคุณหนูอู๋อยู่เงียบๆ ต่อไป เพราะทันทีที่นางพูดขึ้น อดีตฮ่องเต้ก็ไม่สามารถข่มความโกรธที่ซ่อนอยู่ในหัวใจของเขาได้อีกต่อไป เขาปาจอกเหล้าในมือใส่นางอย่างแรง มันปะทะเข้ากับศีรษะของนางเสียงดัง จากนั้นเขาจึงคำรามว่า “เจ้ากล้าเอาเรื่องคุณงามความดีมาพูดได้อย่างไร! เจ้าหมายความว่าใครก็ตามที่เคยทำคุณงามความดีเอาไว้ย่อมสามารถส่งผู้หญิงต่ำช้าอย่างเจ้าเข้ามาในราชวงศ์ของข้าได้หรือ ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ว่าอย่าได้พูดอะไรออกมาอีก! ข้าไม่สั่งประหารทั้งตระกูลอู๋ของเจ้าก็ดีเท่าไรแล้ว”
คุณหนูอู๋ไม่เคยเห็นอดีตฮ่องเต้โกรธนางมาก่อน อย่างไรสถานะของตระกูลอู๋ก็ไม่ได้ต่ำต้อย ยิ่งกว่านั้นนางก็ประพฤติตัวดีเป็นกิจวัตรและมักจะได้รับคำชมจากอดีตฮ่องเต้อยู่เสมอ เวลานี้เมื่อหน้าผากของนางถูกของแข็งกระแทกเข้าอย่างแรง นางย่อมรู้สึกเจ็บเป็นธรรมดา แต่หลังจากได้ยินคำพูดอันร้ายกาจของอดีตฮ่องเต้ ใบหน้าของนางก็ถึงกับเปลี่ยนสีเดี๋ยวขาวเดี๋ยวแดงสลับกัน นางรู้สึกหวาดกลัวเสียจนหมดเรี่ยวแรง นางไม่กล้าส่งเสียงอันใดออกมาอีกแม้แต่นิดเดียว และทำได้เพียงก้มศีรษะลงกับพื้นเท่านั้น
ด้วยเหตุผลหลายประการจึงทำให้ไม่มีใครร้องขอความเมตตาให้กับสองพ่อลูกตระกูลอู๋ ประการแรกก็คือวิธีการขององค์ชายสามที่มักจะโหดร้ายและอันตรายถึงชีวิต ส่วนประการที่สองนั้นเป็นเพราะการกระทำของอู๋หย่งในครั้งนี้นั้นชั่วร้ายเกินไป
เขาใช้คำว่า ’นารีเป็นเหตุ’ ใส่ร้ายพระชายาสาม เพื่อผลักดันให้บุตรสาวผู้มักมากในกามของตัวเองได้เข้าวัง คนเช่นนี้สมควรตายแล้ว
หลี่จื้อสยงรู้สึกหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติเมื่อเขาได้ยินเสียงใบมีดที่ถูกเงื้อขึ้นนอกท้องพระโรง แม้ขาข้างซ้ายของเขาจะยังคงปวดตุ้บๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขากลัวมากกว่าอะไร และนั่นก็คือผู้ชายที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เขาคนนี้นี่เอง
องค์ชายสามคงรู้เรื่องไม่ดีของตระกูลอู๋อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถจับเด็กสาวตระกูลอู๋คนนี้ได้อย่างคาหนังคาเขา
ถ้าพวกเขาฉลาดพอและเลี่ยงที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเขา พวกเขาก็คงไม่ต้องพบกับจุดจบอันเลวร้าย
แต่พวกเขากลับจงใจแทงใจดำเขา และพยายามที่จะหาเรื่องคนที่เขารักที่สุด
หลี่จื้อสยงไม่กล้าคิดเลยว่าจากนี้จะมีอะไรรอเขาอยู่ ความหวาดกลัวถาโถมเข้าใส่ร่างของเขาราวกับกระแสน้ำหลาก เขาไม่สนใจขาซ้ายที่มีเลือดไหลอาบข้างนั้นอีกต่อไป ในขณะนี้เขาเอาแต่ร้องขอความเมตตาและกล่าวว่าเขาไม่รู้เลยว่าคุณหนูอู๋จะเป็นคนไร้ยางอายถึงเพียงนั้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่แม้แต่จะปรายตามองเขา แต่เขาก็ไม่ได้สั่งให้คนลากเขาออกไปตัดหัวเช่นกัน แทนที่จะทำเช่นนั้น เขากลับปล่อยให้อีกฝ่ายหวาดกลัวจนตัวสั่นอยู่กลางท้องพระโรง
ตอนแรกหลี่จื้อสยงรู้สึกโล่งใจ แต่หลังจากผ่านไปได้ไม่ถึงครึ่งก้านธูป เขาก็ตระหนักได้ว่าองค์ชายสามจงใจทำเช่นนี้
เขาจงใจทำเช่นนี้เพื่อให้เขาตายใจ และเพื่อให้เขาได้ลิ้มรสความเจ็บปวดอันไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
แม้องค์ชายจะไม่ได้ลงโทษเขา แต่บาดแผลที่ขาซ้ายของเขาก็มีเลือดไหลออกมามาก ดังนั้นเขาย่อมสิ้นใจในเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม
อดีตฮ่องเต้เกลียดชังเสนาบดีทั้งสองอย่างมากเช่นกัน
เขารู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยทำผลงานให้กับเมืองหลวงมากมายเพียงใด ลูกสะใภ้เช่นนางย่อมมีเพียงหนึ่งในล้านเท่านั้น
การใส่ร้ายเฮ่อเหลียนเวยเวยว่าเป็นตัวอันตรายจึงฟังดูเป็นความคิดที่น่าแปลกใจสำหรับเขา
ตอนที่เมืองเซวียนหยวนส่งทูตของตัวเองมาที่นี่ เขาจึงเพิ่งรู้ว่าเมืองที่มีทั้งอำนาจและอิทธิพลอย่างจักรวรรดิจ้านหลงไม่มีผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่มีฝีมืออยู่เลยแม้แต่คนเดียว
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สี่ตระกูลใหญ่มัวแต่ทำอะไรกันอยู่
พวกเขาทำเพียงแค่แนะนำให้แต่งงานทางการเมือง และเอาแต่หนีเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู พวกเขาไม่มีสัญชาตญาณกระหายเลือดอย่างที่คนของจักรวรรดิจ้านหลงควรจะมีเลยแม้แต่นิดเดียว!
หากไม่มีเฮ่อเหลียนเวยเวย ป่านนี้จักรวรรดิจ้านหลงของพวกเราคงได้อับอายขายหน้าไปแล้ว!
เขานึกไม่ออกเลยว่าหลานชายสุดที่รักของตัวเองจะกลายเป็นเช่นไร เขาอาจจะกลายเป็นฆาตกรเข่นฆ่าคนไปแล้วนับไม่ถ้วน หรือไม่ก็กลายเป็นคนไร้ชีวิตจิตใจไปแล้วด้วยซ้ำ
อดีตฮ่องเต้รู้สึกทุกข์ใจเมื่อใดก็ตามที่นึกถึงความทรมานที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทนเผชิญมาตลอดในวัยเด็ก และสีหน้าของเขาตอนที่เขาเดินออกมาจากกองเพลิงในเหตุการณ์ครั้งนั้น
ตั้งแต่นั้นมาความคิดของอดีตฮ่องเต้ก็เปลี่ยนไป ต่อให้ในอนาคตเฮ่อเหลียนเวยเวยจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ก็ไม่เป็นไร
เขายังมีเจ้าเจ็ดอยู่มิใช่หรือ ต่อไปพอเขาโตขึ้น สายเลือดแห่งราชวงศ์ย่อมคงอยู่ต่อไป
แม้จะคิดได้เช่นนั้น แต่อดีตฮ่องเต้ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา กลับทำเพียงลูบศีรษะของเจ้าเจ็ดเท่านั้น เขาไม่แม้แต่จะเหลือบมองคราบเลือดที่อยู่บนพื้นด้วยซ้ำ
หลี่จื้อสยงยิ่งรู้สึกกระวนกระวายเมื่อเขาสังเกตเห็นท่าทีของอดีตฮ่องเต้ เขาจึงรีบร้องขอความเมตตาว่า “อดีตฮ่องเต้ ท่านต้องเชื่อกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่รู้อะไรด้วยจริงๆ กระหม่อมเพียงแค่ปรารถนาดีต่อองค์ชายและราชวงศ์เท่านั้น ที่กระหม่อมเป็นห่วงเรื่องทายาทก็ด้วยสาเหตุนี้! อดีตฮ่องเต้ ขอร้องเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
แน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมรู้ดีว่าองค์ชายคิดจะทำอะไร แต่นางก็เข้าใจในสิ่งที่หลี่จื้อสยงพูดอยู่ตอนนี้เช่นกัน
คนเช่นนี้สมควรตายจริงๆ
แต่การละเลงเลือดกลางท้องพระโรงและทำลายอารมณ์ดีๆ ของอดีตฮ่องเต้เพียงเพื่อคนไร้ค่าอย่างเขาย่อมไม่ใช่สิ่งที่คุ้มค่า…
“เมื่อครู่นี้เจ้าจะบอกอะไรกับข้าหรือ”
ระหว่างที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังจมอยู่ในภวังค์ความคิด ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เดินกลับเข้ามาหานาง เขาใช้นิ้วยาวสวยนั้นหยิบเกาลัดขึ้นมาและกำลังตั้งท่าจะป้อนนางต่อ การเคลื่อนไหวของเขาดูสง่างามเป็นธรรมชาติ ใบหน้าด้านข้างของเขายังคงหล่อเหลาและสูงศักดิ์ เขาทำราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในท้องพระโรงไม่เกี่ยวข้องกับนางแต่อย่างใด
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินเสียงเขา นางก็ขยับเข้าไปใกล้หูนั้นพร้อมกับกระซิบว่า “ข้าท้อง” เสียงของนางแผ่วเบา แต่บนใบหน้าของนางกลับมีรอยยิ้มเกียจคร้านปรากฏอยู่
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ปอกเกาลัดอยู่ถึงกับชะงักไปทันที เขาดูสับสนงุนงงอยู่ชั่วขณะ จากนั้นจึงวางเกาลัดในมือลง แล้วถามอย่างใจเย็นว่า “เจ้าว่าอะไรนะ”
น้ำเสียงทุ้มลึกของเขาตอนที่เอ่ยคำพูดนั้นยังคงฟังดูไพเราะและมีเสน่ห์ดึงดูดเหมือนอย่างเคย
“ข้าท้อง” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดซ้ำอีกครั้ง จากนั้นจึงหรี่ตาแล้วขยับตัวเข้าไปใกล้เพื่อสังเกตสีหน้าขององค์ชาย…
[1] เป็นสำนวน หมายถึง ถูกสวมเขา