“เก็บของให้เรียบร้อย อีกสองวันจะออกจากป่า” ซือหลิงกินอาหารเย็นส่วนของตนเองหมดก็เอ่ยออกมา เสียงพูดราวกับอสุนีบาตฟาดหูซูสุ่ยเลี่ยน นางเงยหน้าขึ้นมองซือหลิง สองตาจ้องเขม็งไม่กะพริบ เป็นนานกว่าจะกลืนข้าวลงคอไปได้ ในที่สุดก็หากล่องเสียงของตนเองพบ กล่าวว่า “นาย…นายไม่ได้เป็นใบ้?”
ซือหลิงคิ้วกระตุก “ใครบอกว่าข้าเป็นใบ้ล่ะ” หากไม่ใช่เสียงกับแววตาเย็นเยียบของเขาแล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนแทบจะคิดว่าเขากำลังหัวเราะเยาะนาง
โอ๊ะ ซูสุ่ยเลี่ยนอุทานตกใจ ไหล่ตกยกมือปิดใบหน้าตนเอง งึมงำไม่พอใจกล่าวว่า “อย่างนั้นทำไมไม่บอกเร็วหน่อยล่ะ ดูฉันตลกมากไหม!”
ซือหลิงอุทานทอดถอนใจ กำลังคิดจะเอื้อมไปปลอบนาง ก็ยกมือค้างกลางอากาศ ตนกับนางเป็นอะไรกัน คู่ควรทำเช่นนี้ไหม
เขากับนาง ชายโสดหญิงโสดอยู่ในถ้ำด้วยกันมาเดือนครึ่ง ก็เป็นเรื่องไม่สมควรแล้ว
เขาไม่เป็นไร แต่เล็กก็ไม่มีพ่อไม่มีแม่ ร่อนเร่พเนจร ตอนนี้หลุดพ้นจากหอเฟิงเหยา ก็ยิ่งมีข้อจำกัดน้อยลง สิ่งที่ต้องคิดมากเพียงสิ่งเดียวก็ไม่มีแล้ว
แต่นางไม่เหมือนกัน ดูมือไม้ของนางแล้ว ก็รู้ได้ว่านางต้องมาจากตระกูลใหญ่แน่นอน แม้ตอนนี้ไม่รู้ว่ามาอยู่ในป่านี้ได้อย่างไร แต่ก็คงเพียงแค่ชั่วคราว พอออกจากป่าไปได้ เขาและนางก็คงต่างคนต่างไป ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจตามติดนางต่อไปได้อีก
ซือหลิงยกมือลง เก็บอาการก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากถ้ำไป
ซูสุ่ยเลี่ยนรู้สึกเพียงแค่เสียหน้า ถึงกับคิดไปเองว่าเขาเป็นใบ้ แต่พอคิดเช่นนี้ก็คิดมาได้ตั้งเดือนครึ่ง ตอนนี้ดีเลย เขาไม่โมโหนางก็นับว่าไม่เลวแล้ว หากเป็นนาง เพราะว่าไม่พูดจึงถูกทึกทักว่าเป็นใบ้ นางต้องโกรธแน่
ซูสุ่ยเลี่ยนคิดเช่นนี้ ก่อนจะปล่อยมือที่ปิดหน้าลง กำลังคิดเงยหน้าขึ้นขอโทษ ก็พบว่าไม่มีเงาเขาอยู่ตรงหน้าแล้ว มีแต่ลูกหมาป่าสองตัวหมอบกัดแทะเนื้องูย่างหอมกรอบอยู่ที่เท้านางอย่างเบิกบาน
……
หลายวันนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนรู้สึกแต่ว่ามีอะไรผิดปกติไป
ใช่แล้ว ตั้งแต่วันก่อนที่ชายผู้นั้นพูดขึ้นมาคำหนึ่ง ก็กลับไปสู่โลกที่ไร้วาจาเช่นเดิม
หรือว่าท่าทีตนเองทำให้เขาเข้าใจผิด ยอมเป็นใบ้ดีกว่าพูดกับนาง
คิดเหลวไหลไปมาก็เริ่มเก็บของใส่ห่อผ้าไป ออกจากป่าครั้งนี้คงไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้วกระมัง
อันที่จริงหากไม่คิดว่าใช้ชีวิตไม่สะดวกอยู่บ้าง ชีวิตในป่านี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน โดยเฉพาะตอนที่ชายผู้นั้นมีกำลังวังชากลับคืนมาจัดการสัตว์เปื้อนเลือดพวกนั้นแทนนาง ซูสุ่ยเลี่ยนก็รู้สึกสบายใจและผ่อนคลายลงไม่น้อย
เพียงแต่อย่างไรก็ต้องออกจากป่า แม้ว่าไม่ขาดแคลนเนื้อสัตว์และผลไม้ แต่อาศัยเสื้อผ้าสองชุดบางๆ นี่ก็คงไม่อาจผ่านพ้นฤดูหนาวที่จะมาถึงนี้ไปได้แน่
พอคิดเช่นนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนก็รีบเก็บของเร็วขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด
พวกเนื้อแห้ง น่องหมักเค็ม เห็ดตากแห้ง ผลไม้ป่า อัดแน่นเต็มห่อผ้า
กวาดตามองไปยังน้ำเต้าที่ไม่มีที่ให้วางอีก ก็คิดถึงของเหลวสีเขียวแวววาวในหลุมหินย้อยนั่น ลองก้าวเท้ากระโดดขึ้นไปที่แท่นหินย้อย ดังคาด แอ่งหินยังคงมีของเหลวสีเขียวแวววาวที่ครั้งที่แล้วยังตักไปไม่หมด ในเมื่อของเหลวนี้ใช้งานได้ดี ทำไมไม่เอาไปให้หมดเลยล่ะ แม้หยดที่เหลือนี้จะใช้ช้อนตักขึ้นมาไม่ได้แล้ว แต่หากเติมน้ำลงไปผสมก็ตักออกมาใส่น้ำเต้าไปได้อีก เหอๆ แม้ว่าในนี้มีแค่นิดเดียว แต่ว่าหากได้รับบาดเจ็บอะไรมาจริงๆ ดื่มสักคำสองคำก็คงได้ผลดีมาก
“เจ้าทำอะไร” ซูสุ่ยเลี่ยนกำลังคิดอย่างเบิกบานใจ ไม่ทันคิดว่าด้านหลังจะมีเสียงทุ้มถามดังขึ้น ทำเอานางสะดุ้งตกใจลื่นหงายหลังลงไปเสียอย่างนั้นเลย
แย่แล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนหลับตาปี๋อย่างนึกกลัว รอให้ร่างกายส่งความเจ็บปวดมาอย่างเสียไม่ได้ ไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง เพิ่งคิดว่าจะใช้รักษาบาดแผลก็ได้ลองใช้เร็วเช่นนี้เลย
เอ๋? ทำไมนุ่มนิ่ม ยังแอบอุ่นๆ นี่มัน…
“อ๊ะ!” ซูสุ่ยเลี่ยนกระเด้งตัวออกจากอ้อมกอดซือหลิงทันที สองแก้มแดงระเรื่ออย่างเขินอาย ก้มหน้าเอ่ยขอบคุณซือหลิง “ขอบคุณ”
ซือหลิงกำหมัด ตอนแรกเข้ารับร่างนางที่ร่วงลงมาอย่างไม่ทันได้คิดอะไร แต่พอร่างนุ่มนิ่มหอมละมุนของนางแนบอกตน ก็พบว่าหลายวันมานี้ตนเองทนอดกลั้นไว้มากเท่าไร
“เจ้าทำอะไร ไม่รู้ว่าอันตรายหรือ” เขาพยายามสะกดอารมณ์ที่ผุดขึ้นมาอย่างเต็มที่ น้ำเสียงทุ้มต่ำคืนสู่ความเย็นชาอีกครั้ง
“ฉัน…” ซูสุ่ยเลี่ยนขยับปาก ไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไรดี อย่างไรก็ไม่อาจโต้กลับไปว่าหากไม่ใช่เขาส่งเสียงดัง นางก็คงไม่ตกใจ ยิ่งไม่เหยียบพลาดลื่นหงายหลังเช่นนี้กระมัง อย่างไรเขาก็หวังดีไม่ใช่หรือ
“ใช่แล้ว เจ้ามาดู…” ซูสุ่ยเลี่ยนคิดถึงของเหลวสีเขียวแวววาวที่ยังไม่ได้ตักเก็บ ลากเสื้อซือหลิงแสดงท่าทางบอกให้เขาไปยืนที่บนแท่นหินย้อย
ซือหลิงเลิกคิ้ว เหยียบขึ้นไปยืนตามที่นางบอก
คืออะไร สายตาเขาวาดมองผ่านแวบหนึ่ง ก่อนจะใช้นิ้วก้อยจิ้มมาใส่ปาก อืม จริงด้วย หรือว่าบาดแผลตนที่แทบจะไร้หนทางรักษาหายดีอย่างรวดเร็วได้ก็เพราะสิ่งนี้?
เขาหันกลับไปมองสตรีตัวน้อยที่กำลังอมยิ้มมองตนอยู่ด้านล่าง
โง่จริง ถึงกับเอาของที่ล้ำค่าหายากเช่นนี้มารักษาตนเอง หรือว่านางไม่รู้ว่าดื่ม ‘กลั่นหยกเซียน’ ต่อเนื่องไปเดือนหนึ่งแล้วจะทำให้อายุยืนยาว ขจัดร้อยโรคภัยและร้อยพิษไม่กล้ำกราย
“เจ้าว่าทั้งหมดมีสองช้อน ข้าใช้ไปแล้วหรือ” ซือหลิงฟังซูสุ่ยเลี่ยนเล่าเรื่องคร่าวๆ ในใจก็พองโต คิดไปร้อยพันจนสุดท้ายเหลือเพียงแค่คำว่า โง่จริง!
“อืม กินไปช้อน อีกช้อนทาภายนอก” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้า แก้คำพูดเขา แม้แปลกใจมากและอยากรู้ว่าอยู่ๆ เขารู้ได้อย่างไรว่าบาดแผลอยู่ๆ หายได้อย่างไร
“เจ้าเคยลองไหม” ซือหลิงทำตามที่นางบอก เติมน้ำลงไปช้อนครึ่งแล้วผสมคนไปมา ก่อนจะเอากรอกลงในน้ำเต้า
“เคย ตอนแรกไม่รู้ว่าอะไร พอชิมไปนิดหน่อยก็พบกว่าทำให้ทนหิวได้ ต่อมาพอมีบาดแผลที่มือ ทาไปนิดเดียว เลือดก็หยุดทันที” ซูสุ่ยเลี่ยนตอบด้วยรอยยิ้มบาง
คิดถึงว่าตอนมาก็ไม่รู้อะไรสักเรื่อง แม้แต่การชำแหละเสือขาวที่ตายไปก็ทำให้ตกใจกลัวไปนาน มองดูตนเองในตอนนี้ แม้ว่ารู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง แต่ก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
แต่ซือหลิงกลับขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินว่า ‘บาดแผลที่มือ’ ใช่แล้ว คิดถึงว่านางเป็นสตรีอ่อนแอ มาตกอยู่ในป่าลึกนี่ก็ย่อมลำบากมากมายเป็นเรื่องธรรมดา มาเป็นเช่นนางได้ ไม่เพียงไม่พร่ำโทษตนเอง ยังมีชีวิตที่มีความสุขเช่นนี้ได้ มองไปยังช้อนไม้ที่ลื่นมือแกะสลักรูปดอกไม้ในมือแล้ว เขาก็คิดเช่นนี้
……
“เท่านี้พอแล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนผูกห่อผ้าเสร็จ ก็ใช้ผ้าปิดทับตะกร้าสานที่ใส่ผลไม้ไว้เต็ม ยกขึ้นมองส่งยิ้มให้ซือหลิง
ซือหลิงรับห่อผ้าและตะกร้าไป ก่อนจะเอาแหเถาวัลย์กับหนังเสือไปด้วย ซูสุ่ยเลี่ยนตะโกนเรียกลูกหมาป่าสองตัวมา สองคนสองหมาป่าเตรียมออกจากป่าแล้ว
“นาย…นายชื่ออะไร ฉันชื่อซูสุ่ยเลี่ยน สุ่ยเลี่ยนที่มาจากสำนวนที่แปลว่าแสงน้ำใสกระจ่าง”
ซูสุ่ยเลี่ยนแนะนำตัวเองอย่างเขินอาย สองคนอยู่ร่วมกันเกือบสองเดือนได้ ถึงกับไม่ได้แลกเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามกัน ในป่าก็แล้วไป มองไปทางไหนก็มีกันแค่สองคน แต่พอออกจากป่าไปที่ที่คนมากขึ้น พูดขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าพูดกับใคร ไม่ใช่ว่าจะดูเก้กังหรอกหรือ
ซือหลิงก้มหน้าลงมองท้ายทอยขาวผ่องสะอาดตาของนางที่เผยออกมายามก้มหน้าลง ก่อนจะรีบกวาดสายตาไปที่อื่น
แสงน้ำใสกระจ่างหรือ ชื่อดูมีความหมายดีจริง ยิ่งทำให้เขาเชื่อมั่นว่าชาติกำเนิดนางมาจากตระกูลใหญ่แน่นอน
“หลินซือเย่า” ซือหลิงเอ่ยชื่อหนึ่งออกมาด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก
ซือหลิงเป็นชื่อที่ใช้ที่หอเฟิงเหยา รวมทั้งสถานะอื่นๆ ตอนนี้ตนเองออกจากหอเฟิงเหยาแล้ว ตนจะลืมเลือนความทรงจำที่นั่นให้หมดสิ้น
ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็พยักหน้า แอบดีใจที่ตนเองไม่ได้เรียกชื่อเขาที่ตอนแรกแอบได้ยินมาออกไปอย่างไม่ทันคิด
“หลิน…ซือเย่า เจ้ารู้ไหมว่าพอออกจากป่านี้ไปแล้ว ห่างจากเมืองที่ใกล้ที่สุดอีกไกลไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนพยายามบังคับความรู้สึกเก้กังกับชื่อของเขา ถามเรื่องที่เก็บไว้ในใจมานาน ดูชุดกระโปรงหรูฉวินประหลาดที่นางสวมแล้ว อยากออกไปหาร้านตัดเสื้อจนแทบทนไม่ไหวแล้ว
ได้ยินนางเรียกชื่อที่ตนเองตั้งขึ้นมาเองแล้ว ก็ถึงกับมีความรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก พอตั้งสติให้นิ่งลงได้ หลินซือเย่าก็หวนนึกถึงก่อนตนเองเข้ามาในป่านี้ คืนสุดท้ายที่โรงเตี๊ยมนั่น ดูเหมือนว่าอยู่เมืองอะไรนะ ฝานลั่วอะไรสักอย่าง ใช่ ‘เมืองฝานลั่ว’ ก่อนจะพยักหน้า “ราวครึ่งวันได้”
“ใกล้เพียงนี้?” ซูสุ่ยเลี่ยนอุทานตกใจ ก่อนจะเบ้ปากงึมงำว่า “รู้อย่างนี้ออกไปแต่แรกแล้ว คิดว่าต้องเดินอีกหลายวัน”
ซูสุ่ยเลี่ยนมองอาหารแห้งในห่อผ้าที่อยู่ในมือหลินซือเย่า ก็อดคิดจะยกมือกุมขมับไม่ได้
หลินซือเย่าได้ยินนางงึมงำ ก็คิดตามทันทีว่าครึ่งวันที่ตนว่าก็หมายถึงใช้กำลังภายใน หากเป็นนางเดินเท้าไป กอปรกับพอเจอแหล่งน้ำทีไรก็ชอบหยุดพักทุกที ด้วยความเร็วนี้คงต้องเดินทางหลายวันไม่น้อย พอคิดเช่นนี้ก็หลุดปากออกไปว่า “แต่ตามความเร็วเดินทางเจ้าคงต้องสามวัน”
ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็เงยหน้าขึ้นทันที รีบถามอย่างตกใจ “อะ…อะไรนะ” ความหมายเขาคือว่า ด้วยความเร็วเขาใช้แค่ครึ่งวัน แต่นางต้องเดินสามวันหรือ
“หรือว่าให้ข้าพาเจ้าออกไป” หลินซือเย่าหลุดเอ่ยออกมาโดยไม่ทันคิด
ซูสุ่ยเลี่ยนมองเขาอย่างนึกสงสัย อะไรเรียกว่าพาออกไป ตอนนี้ไม่ใช่ว่าเขากำลังนำทางหรือ
หลินซือเย่าแบกห่อผ้าขึ้นหลัง นำตะกร้าผลไม้มัดไว้บนหลังเสี่ยวฉุน หนังเสือและแหเถาวัลย์ก็ผูกไว้ที่ตัวเสี่ยวเสวี่ย จากนั้นก็โอบเอวยกตัวซูสุ่ยเลี่ยนขึ้นมา หันกลับไปบอกลูกหมาป่าสองตัวว่า “ไป” จากนั้นก็เคลื่อนกำลังภายในกระโดดตัวลอยขึ้น
ซูสุ่ยเลี่ยนถูกเขายกตัวขึ้นก็รู้สึกตกใจ โอบกอดคอเขาไว้แน่นด้วยสัญชาตญาณ
นางเกร็งและอายที่พบว่าเขากระโดดตัวลอยไม่นานก็ไปไกลถึงหลายสิบเมตร ต่อมาก็กลายเป็นความรู้สึกยินดีและนับถือ สวรรค์ นี่มันวิชาตัวเบาที่พูดกันถึงบันทึกประหลาดอี้อู้หรือ
หลินซือเย่ายังแอบกังวลว่านางจะกลัวจนร้องขอให้ตนปล่อยนางลง อย่างไรท่วงท่าเช่นนี้ในสายตาโลกภายนอกก็นับว่าน่าตกใจอยู่ไม่น้อย อย่างน้อยก็ไม่ควรทำกับหญิงหรือชายที่ไม่ใช่สามีภรรยาตน
สามีภรรยาหรือ หลินซือเย่าแอบมีคำนี้ผุดขึ้นมากลางใจ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเยาะตนเอง ปฏิเสธความเป็นไปได้นี้ทิ้ง นางไม่ใช่คนที่คนเช่นตนจะเฝ้าปรารถนาได้