จากตระกูลเหลาเดินไปบ้านตระกูลฮัวทางตะวันออกของเมืองฝานฮัว ต้องผ่านเมืองฝานฮัวเกือบครึ่งเมือง เดินกันมาราวสิบห้านาทีได้
หากไม่ได้ดื่มกลั่นหยกเซียนหลายหยดในป่านั่นมาจนร่างกายอ่อนแอบอบบางของซูสุ่ยเลี่ยนแข็งแรงขึ้นมาไม่น้อย ด้วยสภาพร่างกายซูสุ่ยเลี่ยนตอนแรกก็คงหอบแฮกไปนานแล้ว
เห็นแม่นางร่างบอบบาง คิดไม่ถึงว่าจะเดินเก่งยิ่งกว่าลูกสาวนางอีก วันหน้าต้องมีลูกดกแน่เลย ป้าเหลาเดินไปพักหนึ่งก็มองซูสุ่ยเลี่ยนก้าวตามตนเองมาติดๆ อย่างไม่เหนื่อยหอบ ไม่คิดหยุดพักแม้แต่น้อย จึงยกนิ้วหัวแม่มือให้พลางกล่าวชม
พอกล่าวชมออกไป ทำเอาซูสุ่ยเลี่ยนแอบเขินไม่ว่า แม้แต่หลินซือเย่าที่อยู่ข้างกายนางเงียบๆ หน้าตาไร้อารมณ์มาตลอดยังตัวแข็งทื่อ เบนหน้าหนีกระแอมไอเบาๆ ยกกำปั้นบังปากและจมูก
ป้าเหลาเล่าถึงลูกสาวนางที่ปีหน้าก็จะเตรียมออกเรือนอย่างไม่สนใจอะไรนัก ลูกสาวนางชื่อเหลาสี่ชุ่ย ปกติอยู่บ้านทำงานปักผ้าเพื่อสะสมเงินเป็นสินเดิมตอนออกเรือน หลายวันนี้เป็นช่วงเทศกาลวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดแสนคึกคักของเมืองฝานลั่ว ตามเหลาหย่งเฉียงลูกชายคนรองของนางไปตั้งร้ายขายผ้าปักในเมือง นับดูเวลาแล้ว กลางวันวันนี้ก็น่าจะกลับมาแล้ว ก็ไม่รู้ว่าตลาดใหญ่ครานี้ ลูกสาวนางขายผ้าปักไปได้เท่าไร ป้าเหลาแอบคำนวณในใจ
ซูสุ่ยเลี่ยนกำลังตั้งใจฟังป้าเหลาข้างๆ ที่เอาแต่เอ่ยชมลูกสาวตนเอง พอป้าเหลาเอ่ยถึงคำว่า ‘งานปัก’ แววตาซูสุ่ยเลี่ยนก็ส่องประกาย มุมปากแอบกระดกยิ้มบางๆ เช่นนี้ความสามารถของนางก็จะได้ใช้งานให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว อย่างน้อยหากอาศัยงานปักของนาง ก็คงเลี้ยงดูตนเองได้อย่างไม่เป็นปัญหา
หลินซือเย่ากวาดตามองนางอย่างงุนงงแวบหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าซูสุ่ยเลี่ยนที่เมื่อครู่ยังเขินอายแทบอยากจะปักหัวลงพื้นอยู่ๆ ก็เหมือนอารมณ์ดีเบิกบานขึ้นมา หญิงชาวนาสูงวัยพูดอะไร เขาขมวดคิ้วลองนึกย้อนคำพูดของป้าเหลาอย่างละเอียดทั้งหมด
……
“ดู บ้านพวกเราตั้งอยู่ทิศเหนือหันทิศใต้ เข้าออกสะดวก ออกจากบ้านไปทางซ้ายไม่ถึงร้อยเมตรก็เป็นที่นาของพวกเรา ไปทางขวาครู่หนึ่งก็เป็นศาลบูชาประจำเมืองฝานฮัว ช่วงเทศกาลคึกคักมาก หลังบ้านมีท่าน้ำส่วนตัว ซักเสื้อผ้าและล้างอะไรก็ไม่ต้องเดินไกลถึงท่าน้ำสาธารณะ สะดวกมาก…”
พอนางฮัวเห็นหนุ่มสาวหน้าตาดีคู่หนึ่งตามนางเหลามาดูบ้านตนเอง ดูท่าแม่นางน่าจะไม่เกินสิบห้าสิบหก มือไม้ท่าทางถึงกับดูนุ่มละมุนเหมือนสตรีมีตระกูล คิดว่าไม่ใช่สตรีจากตระกูลธรรมดาทั่วไป
ดังนั้นใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของนางก็เริ่มคลี่ยิ้ม ดึงซูสุ่ยเลี่ยนไปชมบ้านมุมต่างๆ ของนางอย่างเต็มที่
ป้าเหลาได้ฟังนางฮัวพูดโอ้อวดบ้านตระกูลฮัวดีไปหมดทุกสิ่งอย่าง ก็อดเหลือบตามองบนอย่างเสียไม่ได้
ซูสุ่ยเลี่ยนตามหลังนางฮัวเดินวนรอบบ้านตระกูลฮัวรอบหนึ่ง ในใจก็นึกยินดี นอกจากบ้านเก่าไปสักหน่อยแล้ว โดยรวมถือว่าดีมาก พื้นที่ว่างหน้าบ้านหลังบ้านก็มีไม่น้อย ถึงตอนนั้นปลูกดอกไม้ผลไม้ที่ตนเองชอบสองสามต้น นั่งนอนอยู่ใต้ร่มเงาไม้บังแสงแดดปักผ้าไปเรื่อยๆ ก็แทบเหมือนกับได้กลับไปยังวันเวลาแสนสบายในเรือนหลังเล็กที่ตระกูลซูแล้ว
พอคิดเช่นนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนก็ตัดบทนางฮัวที่ยังคงเอาแต่พูดไม่หยุด ยิ้มกล่าวอ่อนโยนว่า “ป้าฮัว สี่สิบตำลึงรวมเครื่องเรือนไหม”
นางฮัวได้ยินก็อึ้งไป ช่างคิดไม่ถึงจริงๆ กำลังคิดเอ่ยปาก ก็ได้ยินสะใภ้นางเอ่ยขึ้นก่อน “แม่นางท่านนี้ เครื่องเรือนส่วนใหญ่ที่นี่พวกเราจะเอาไปด้วย อย่างไรบ้านพวกเราในเมืองก็ใหญ่กว่านี้สองเท่า ต้องซื้อเครื่องเรือนเข้าไปไม่น้อย เจ้าก็รู้เครื่องเรือนตอนนี้ราคาขึ้นจนน่าตกใจ” สะใภ้ตระกูลฮัวพูดไปก็แอบมองหลินซือเย่าข้างๆ หลายครั้ง ในใจอดคิดไม่ได้ว่า ชายผู้นี้รูปหล่อจริง หากผู้ชายของนางหล่อได้สักแปดส่วนของเขา ตนเองก็คงพอใจแล้ว
ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย หากเครื่องเรือนบ้านนี้ทิ้งไว้หมด เช่นนี้สี่สิบตำลึงก็สี่สิบตำลึงละกัน แต่สะใภ้ตระกูลฮัวกล่าวเช่นนี้ ในใจก็รู้ว่าสี่สิบตำลึงซื้อได้แค่บ้านเปล่าๆ แน่แล้ว ตนเองต้องเสียเงินซื้อเครื่องเรือนจำเป็นอีก สิบตำลึงที่เหลือพอไหมยังรับประกันไม่ได้ จากนี้ก่อนที่จะมีงานปักผ้า จะใช้ชีวิตอย่างไรกัน?!
“โอยโย สะใภ้ข้าพูดจาไม่เป็น เอาอย่างนี้นะ แม่นาง ป้าฮัวกันเองกับเจ้าเลยละกัน เครื่องเรือนบ้านนี้ส่วนหนึ่งทิ้งไว้ให้แม่นาง ป้าฮัวรู้ว่าแม่นางเพิ่งมาใหม่ๆ ต้องไม่ได้เตรียมอะไรมาเท่าไร วางใจ วางใจ พวกเราไม่ย้ายไปหมดแน่นอน อย่างไรต้องทิ้งเครื่องเรือนชิ้นสำคัญไว้ให้แม่นางสองสามชิ้น ไว้ใจป้าฮัวได้” นางฮัวมองซุสุ่ยเลี่ยนขมวดคิ้วก็รู้ว่าลูกสะใภ้ทำให้นางลังเลตัดสินไม่ได้ กลัวว่าเป็ดที่มาถึงปากจะบินหนีหายไป รีบดึงเสื้อสะใภ้ตนไว้ บุ้ยใบ้ให้นางอย่างพูดแทรก นางเขยิบเข้าไปใกล้ซูสุ่ยเลี่ยนพูดจาหว่านล้อมแทน หวังว่าซูสุ่ยเลี่ยนจะควักเงินออกมาเซ็นสัญญาตอนนี้เลย
ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินนางสุภาพเกรงใจเช่นนี้ก็รู้สึกละอายที่จะต่อรองราคา หันกลับไปมองหลินซือเย่า ค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาเขา ถามความเห็นเขาเบาๆ ว่า “เจ้าว่าที่นี่ดีไหม”
หลินซือเย่าก้มหน้าลงมองใบหน้าเล็กเต็มไปด้วยความหวังของนางด้วยประกายตาอ่อนโยน สำหรับเขาแล้วอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ขอแค่ที่นั่นมองเห็นร่างบอบบางอรชรของนาง ได้ยินเสียงนุ่มนวลของนางก็เพียงพอแล้ว
หลินซือเย่าพยักหน้า สี่สิบตำลึง? หากเป็นเช่นนี้ ห่อเงินของนางก็จะเหลือแค่สิบตำลึงเท่านั้น ส่วนเศษเงินที่วางประกันไว้กับโรงเตี๊ยมก็น่าจะพอดีจ่ายค่าห้องพักอีกสองสามวัน
ในใจหลินซือเย่านึกเยาะตนเอง เป็นนักฆ่าเหรียญทองมาหลายปี ตนเองเคยมีวันเวลาอัตคัดขัดสนเงินทองเช่นนี้ตอนไหนกัน เพียงแต่ตอนนี้หลุดพ้นจากหอเฟิงเหยาแล้ว และรับปากนางว่าจะไม่ทำอาชีพนี้อีก เช่นนั้นเงินสะสมที่ตนเองเก็บซ่อนไว้หลายปีก็อย่าได้เอามาใช้ดีกว่า เพียงแต่นอกจากจับดาบฆ่าคนเลือดสาดแล้ว ตนเองทำอะไรเป็นอีก?
……
“นี่คือสี่สิบตำลึง ป้าฮัวโปรดรับไว้” ซูสุ่ยเลี่ยนควักก้อนเงินสี่ก้อนออกจากห่อเงินส่งให้นางฮัวที่ยิ้มหน้าบาน รับสัญญาบ้านและที่นาจากนางฮัวมาแล้ว นางฮัวและสะใภ้ลงชื่อขายเรียบร้อยไว้ก่อนแล้ว สองฝ่ายรับไปคนละชุด
“จุ๊ๆ ดูลายมือแม่นางสิ เหมือนคุณหนูมีตระกูลเลยจริงๆ” นางฮัวยกสัญญาขายบ้านขึ้นดู เห็นลายเซ็นของซูสุ่ยเลี่ยนที่งดงามก็เอ่ยชมไม่หยุด ก่อนจะหันไปนึกถึงลายมือลูกชายคนโตตนเองเอียงไปเอียงมาราวไส้เดือนแล้ว ใบหน้านางก็อดร้อนอย่างนึกอายไม่ได้ เห็นนางควักเงินสี่สิบตำลึงออกมาส่งเข้ากระเป๋าป้าเหลาง่ายๆ อย่างไม่มีอิดออดก็นึกอิจฉา ก่อนจะปรับสีหน้าตนเองยืดอกขึ้นมาได้ก็นานอยู่ พูดถึงเรื่องรู้หนังสือ ลูกชายสองคนตนเองเก่งกาจกว่าลูกชายตระกูลฮัวมากนัก
“ตกลง! อย่างนั้นพวกเราเก็บของ รีบย้ายให้เร็วที่สุด” นางฮัวรับเงินสี่สิบตำลึงเป็นค่าขายบ้านมาเก็บอย่างทะนุถนอม กล่าวเปิดเผยตรงๆ ออกมา หันไปกระซิบหูสะใภ้นาง บุ้ยใบ้ให้นางรีบไปที่นาตามตาแก่ของนางที่กำลังลงนาอยู่ ให้รีบเข้าเมืองไปแจ้งลูกชายคนโตที่ยังเปิดร้านขายของอยู่ให้รู้ ดีที่สุดก็รีบไปจัดการซื้อบ้านในเมืองหลังนั้นให้เรียบร้อยในวันนี้ เช่นนี้พรุ่งนี้ทั้งครอบครัวย่อมย้ายเข้าเมืองไปได้อย่างมีหน้ามีตา ใช้ชีวิตแสนสบาย