“ดูท่า พวกเราคงต้องกลับไปพักโรงเตี๊ยมอีกสองสามวันแล้ว” พอได้กลับมาสู่บ้านที่เป็นของพวกเขาสองคนอีกครั้ง ซูสุ่ยเลี่ยนมองไปรอบๆ เห็นบ้านทรุดโทรมว่างเปล่าแล้วก็อดทอดถอนใจไม่ได้
หลินซือเย่ากำลังปลดสัมภาระบนหลังลูกหมาป่าสองตัวลงอยู่นั้นได้ยินก็พยักหน้า “พรุ่งนี้ข้าไปตามช่างปูนมาซ่อมแซมใหม่”
“อืม เสาพวกนี้…” ซูสุ่ยเลี่ยนชี้ไปยังเสาหลายต้นที่มีรอยแตกร้าวหลายแห่งกลางโถง “เปลี่ยนได้ก็เปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนไม่ได้ก็คงได้แต่เสริมให้แข็งแรงขึ้นอีกหน่อย รอให้วันหน้าพวกเรามีเงินค่อยสร้างใหม่” กล่าวไปพลางเดินเลยเข้าไปสำรวจห้องทางตะวันตกและตะวันออก
หลินซือเย่าเลิกคิ้วแย้มยกมุมปาก แววตามีรอยยิ้มอย่างเห็นได้ชัด นางกำลังพูดถึงอนาคตของเขาและนางหรือนี่
“อา!” ห้องตะวันออกมีเสียงอุทานตกใจของซูสุ่ยเลี่ยนดังมา หลินซือเย่ารีบโยนของในมือทิ้ง ทะยานรวดเร็วเข้าไปยังห้องตะวันออก
“เกิดอะไรขึ้น” เขาเข้ากอดซูสุ่ยเลี่ยนที่ยืนพิงกำแพงอยู่พลางกล่าวอย่างร้อนใจ
“ไม่ ไม่มีอะไร แค่…แค่หนูยักษ์!” ซูสุ่ยเลี่ยนหน้าแดง อยากจะตบหน้าตนเองจริง ขายหน้าจริงๆ ถึงกับตกใจกับหนูตัวแค่นี้ เขาต้องแอบหัวเราะที่นางขี้ขลาดแน่เลย
ซูสุ่ยเลี่ยนแอบส่งสายตาลอบมองหลินซือเย่า สบเข้ากับแววตาเป็นห่วงของเขา อดสะดุ้งในใจไม่ได้ เขาไม่ได้มีท่าทีหัวเราะเยาะนางแม้แต่น้อย!
มือหนึ่งของหลินซือเย่าโอบไหล่นางไว้ ให้นางพิงในอ้อมอกเขา อีกมือดึงมือเล็กๆ ขาวผ่องของนางมากุมไว้ นวดบีบเบาๆ ให้นางผ่อนคลายความกลัว
“ขอบคุณ!” ซูสุ่ยเลี่ยนก้มหน้าลงกล่าวเสียงแผ่ว
หลินซือเย่าได้ยินก็ขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจ เม้มปากเชยคางนางขึ้นมองตนเอง “วันหน้าไม่ให้พูดขอบคุณข้าอีก” พูดขอบคุณนั่นไว้พูดกับคนนอก กับเขาไม่ต้อง
ซูสุ่ยเลี่ยนมองแววตายากคาดเดาของเขา ก็อดพยักหน้าไม่ได้
หลินซือเย่าอดยื่นมือออกไปลูบไล้ใบหน้านางอย่างอ่อนโยนไม่ได้ ใบหน้าขาวผ่องไร้เหงื่อ มองไม่เห็นริ้วรอยอะไร ให้ความรู้สึกนุ่มลื่นมือยามสัมผัส ทำเอาเขาไม่อาจไม่สัมผัส และก็ไม่คิดจะผละมือออก
สองแก้มซูสุ่ยเลี่ยนถูกเขาสัมผัสอ่อนโยนเข้าก็ราวกับมีไฟลุกพรึ่บ รู้สึกผิวหน้าร้อนผ่าว
“รอให้จัดการบ้านเรียบร้อย พวกเราแต่งงาน” หลินซือเย่าหลุดกล่าวสิ่งที่วาดหวังในใจออกมา
ซูสุ่ยเลี่ยนมองตาค้างแทบไม่อยากจะเชื่อ เขากำลัง…กำลังขอนางแต่งงาน?
หลินซือเย่าได้สติทันที เห็นท่าทางนางที่กำลังมีสีหน้าแตกตื่น จึงได้แต่ผินหน้าหนีเสริมอีกคำว่า “หากเจ้าไม่ยินยอม ก็ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูด” จากนั้นก็คิดจะปล่อยนาง ยืนระยะประชิดกันเช่นนี้ต่อไป เขาไม่อาจรับประกันได้ว่าตนเองจะไม่ทำเรื่องอาจหาญยิ่งกว่านี้ออกมาด้วยอารมณ์ชั่ววูบ
“อาเย่า…” ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นดังนี้ก็ดึงแขนเสื้อเขาไว้กล่าวว่า “เจ้าไม่ควรไม่ให้เวลาข้าตอบเหมือนทุกที นี่มันไม่ยุติธรรม” นางกล่าว มือเล็กที่ดึงแขนเสื้อเขาเปลี่ยนไปกุมมือใหญ่เขาไว้แทน สีหน้าแดงระเรื่อ ใจกล้ามากกว่าเวลาใด “ข้าอยากบอกว่า…ข้ายินดี…ยินดีแต่งเป็นภรรยาเจ้า…ข้า…” น้ำเสียงซูสุ่ยเลี่ยนเต็มไปด้วยความเขินอายค่อยๆ แผ่วเบาลง
หลินซือเย่าตระกองกอดร่างบางสั่นเทาของนางเอาไว้ แทบไม่อาจระงับใจตนเอง แววตาที่แต่ไรมามีแต่ความเย็นเยียบราบเรียบ ยามนี้ราวกับมีไอหมอกและกระแสน้ำ เป็นนานกว่าจะค่อยๆ แสดงความยินดีอย่างบ้าคลั่งอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
“โอ๊ะ! อาเย่า!” อาการดีใจของเขาทำเอาซูสุ่ยเลี่ยนตกใจรีบกอดคอเขาไว้แน่น ปล่อยให้เขาอุ้มนางหมุนคว้างกลางอากาศ ใบหน้างามเผยรอยยิ้มเบิกบานอย่างที่สุด
……
“เช่นนี้ พวกเราก็ต้องการสั่งทำแค่เตียงใหญ่หลังเดียว เจ้าทำไปเพื่อการนี้?” ซูสุ่ยเลี่ยนถามอย่างแทบไม่อยากจะเชื่อ อะไรนะ! ชายที่เพิ่งขอแต่งงานถึงกับทำเพื่อจะได้ลดค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องเรือนอย่างนั้นหรือ! โอ สวรรค์! นางนี่มันโง่เง่าโดยแท้ ถึงกับบอกความในใจตนเองกับเขาออกไปราวกับมีมารครอบงำจิตใจ ไม่ได้เก็บงำเอาไว้แม้แต่น้อย
เห็นซูสุ่ยเลี่ยนเหมือนโมโห หลินซือเย่ารีบดึงนางออกไปนอกบ้านยืนใต้ร่มต้นอิงเถาที่มีต้นเดียว ก่อนจะสะบัดมือทีเดียว ลูกอิงเถาป่าที่เหลือไม่กี่ลูกในปลายฤดูร้อนนี้ก็ร่วงหล่นลงมาใส่มือเขา เช็ดสะอาดส่งให้ซูสุ่ยเลี่ยน ยังไม่ลืมอธิบายว่า “ข้าเพียงบอกว่า พวกเราแต่งงานกัน เตียงต้องการแค่หลังเดียวก็พอ เจ้าอย่าคิดเช่นนั้น มันไม่ยุติธรรมกับข้า”
เขา…เขาถึงกับเลียนแบบน้ำเสียงนาง โอย…
ซูสุ่ยเลี่ยนคิดอย่างโมโห เอาเถอะ นางเองก็เข้าใจความหมายเขาผิดไปเอง แต่ว่าใครใช้ให้เขาพูดจาง่ายๆ เช่นนี้ล่ะ ถึงกับมีความหมายอื่นได้อีก ทุกครั้งต้องให้นางมาคอยเดาเอาเอง
ซูสุ่ยเลี่ยนกำลังคิดอย่างตกภวังค์ไปก็อ้าปากงับผลอิงเถาป่าที่หลินซือเย่าป้อนใส่ปากนางอย่างไม่ทันคิดอะไร รอจนน้ำผลไม้เปรี้ยวๆ หวานๆ ไหลลงลำคอจึงได้สติ กำลังคิดจะกล่าวอะไรออกมาก็ถูกเขาป้อนเข้าให้อีกลูก
“อ๊ะ!” ซูสุ่ยเลี่ยนจึงได้พบว่าเขาถึงกับป้อนนาง สองแก้มนางร้อนฉ่าขึ้นทันที รีบหันหลังเดินกลับเข้าห้อง ก่อนไปทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งว่า “ข้าไปดูหน่อยว่าต้องซื้อเครื่องเรือนอะไรอีกบ้าง” จากนั้นก็ตรงเข้าห้องไม่ยอมออกมาอีกเลย
หลินซือเย่ามองดูผลอิงเถาป่าที่อยู่ในมือตนเองอีกหลายลูก มุมปากแย้มยกขึ้นเล็กน้อย “เห็นแก่ที่พวกเจ้าช่วยข้าไว้…” เขายกมือขึ้นสะบัดลูกอิงเถาสองสามลูกแทรกลงดินเพิ่มเป็นปุ๋ยหล่อเลี้ยงต้นอิงเถาต่อ
……
ซูสุ่ยเลี่ยนเขินอายแอบหลบเข้าไปในห้องแล้วก็เอาแต่กุมใบหน้าร้อนผ่าวพิงประตูอย่างตั้งสติไม่ได้อยู่เป็นนาน
โอ สวรรค์! เขาใจกล้าเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร ถึงกับป้อนผลอิงเถาป่าใส่ปากนาง นางเองก็ถึงกับ…โอย…
พอซูสุ่ยเลี่ยนคิดถึงฉากเมื่อครู่ สองแก้มก็ร้อนฉ่าแดงก่ำ
คำสอนตระกูลซูเข้มงวด อาจเรียกได้ว่าเป็นธรรมเนียมสั่งสอนสืบทอดกันมา นายใหญ่ตระกูลซูซูฟั่งหัวกับนายหญิงหลี่หรูซีเป็นสามีภรรยาที่แต่งงานกันตามประเพณี ในยุคสาธารณรัฐนั้นก็เป็นเรื่องปกติ เพียงแต่การแต่งงานเช่นนี้ของสามีภรรยา ส่วนใหญ่ความรักผูกพันจะเบาบางและเหินห่างมาก
นางเคยชินกับพ่อแม่ที่อยู่ร่วมกันเช่นนั้นมา แต่ไรมาซูสุ่ยเลี่ยนคิดว่าระหว่างสามีภรรยาก็คงอยู่กันเช่นนั้น อยู่กันอย่างดำรงจารีต
ซูสุ่ยเลี่ยนกุมใบหน้าร้อนผ่าว มีภาพเมื่อคืนวานลอยขึ้นมาในห้วงความคิด หลินซือเย่าใกล้ชิดสนิทแนบกับนาง ในใจนางถึงกับชอบการกระทำเช่นนี้ของหลินซือเย่า ตนเองกลายเป็นหญิงไม่ดีไปแล้วหรือนี่ เหมือนดังที่นางเคยไปดูภาพยนตร์ตะวันตกกับพี่สาวที่เป็นญาติฝั่งมารดา คำพูดผู้หญิงในเรื่องส่วนใหญ่เปิดเผยพร้อมกับการกระทำที่ไม่ปิดบัง โอย! ซูสุ่ยเลี่ยนอดยกมือขึ้นปิดหน้าไว้ไม่ได้ หากคุณแม่รู้เข้า ไม่รู้ว่าจะมองนางอย่างไร!
“สุ่ยเลี่ยน…” หลินซือเย่าเคาะประตูเปิดเข้ามาในห้องนอน เห็นซูสุ่ยเลี่ยนหน้าแดงก่ำพิงประตูไม่รู้คิดอะไรอยู่ท่าทางเก้กัง ก็ขมวดคิ้วมองนางอย่างไม่เข้าใจ ถามว่า “เป็นอะไรไป”
“อา? ไม่…ไม่มีอะไร!” ซูสุ่ยเลี่ยนรีบตั้งสติ ย่อมถูกหลินซือเย่ายื่นมือมาแนบหน้าผากตนทำเอาตกใจ “อาเย่า?”
“ใบหน้าร้อนมากเช่นนี้ คงไม่ได้เป็นไข้แดดหรอกนะ?” หลินซือเย่าถามเบาๆ ด้วยแววตาเป็นห่วง
“เปล่า ห้องนี้เย็นและชื้นขนาดนี้ จะเป็นไข้แดดได้อย่างไร” ซูสุ่ยเลี่ยนตอบงึมงำ ในใจนึกรู้สาเหตุดี
“ไม่เป็นไรก็ดี หรือว่า…เจ้ากำลังเขินอาย?”
“เปล่าเสียหน่อย!” ซูสุ่ยเลี่ยนรีบเงยหน้าปฏิเสธ สบแววตาที่เหมือนมีรอยยิ้มของเขาเข้า จึงได้รู้ว่าเขากำลังหยอกเย้านาง จึงโมโหกระทืบเท้า “เจ้า…เจ้านี่นะ…”
“สุ่ยเลี่ยน…” หลินซือเย่ารั้งนางที่คิดจะสะบัดตัวหนี ค่อยๆ รั้งเข้าสู่อ้อมกอดตนกล่าวว่า “จะแต่งงานกันแล้ว ยังจำเป็นต้องเขินอายเช่นนี้หรือ”
“ข้า…ข้าเปล่า…” ซูสุ่ยเลี่ยนเม้มปากแน่น ก้มหน้าลงอย่างไม่ยอมรับ
“เหอะๆ…” เป็นครั้งแรกที่หลินซือเย่าหัวเราะเบาๆ ขึ้นอย่างสบายอารมณ์เช่นนี้ติดๆ กัน ลูบท้ายทอยนางหัวเราะ กล่าวขำๆ ว่า “หรือว่า ที่เจ้าเขินอายอยู่ก็คือข้า?”
เป็นครั้งแรกที่เขาที่เผยรอยยิ้มผ่อนคลายเปิดเผย ซูสุ่ยเลี่ยนมองอย่างนิ่งงันตกในภวังค์อยู่นาน ที่แท้เขายิ้มแล้วหน้าตาดีเช่นนี้ มิน่าลู่หว่านเอ๋อร์นั่นจึงเข้าหาเขาด้วยตนเองเช่นนั้น เหมือนกับป้าเหลาที่คิดลากเขาไปเป็นลูกเขย…ไยตนเองจึงโชคดีเช่นนี้! จากนี้จะได้จับมือกับเขาไปจนแก่เฒ่า