“เถ้าแก่เนี้ย ขอบคุณท่านมาก” เช้ารุ่งขึ้นซูสุ่ยเลี่ยนก็ใส่ห่อผ้าฝ่ายที่เย็บเสร็จเมื่อคืนวาน ค่อยๆ ก้าวลงจากบันไดมา ขอบคุณเถ้าแก่เนี้ยที่กำลังกินอาหารเช้าอยู่
“ที่ไหนกัน แม่นางเกรงใจไปแล้ว” เถ้าแก่เนี้ยวาจานุ่มนวลเป็นกันเอง โดยเฉพาะตั้งแต่ที่ลูกหมาป่าสองตัวยอมให้ลูกแสนซนของนางสองคนรังแกได้ ก็มีท่าทีต่อซูสุ่ยเลี่ยนดีกว่าคนอื่นๆ มากหลายเท่า
“หากแม่นางยังต้องการใช้ ข้ายังมีอีกหน่อย ไม่ต้องเกรงใจ” แม้เถ้าแก่เนี้ยไม่รู้ว่าซูสุ่ยเลี่ยนเอาดอกฝ้ายไปทำอะไร แต่ว่าเปิดกิจการโรงเตี๊ยมก็ย่อมรู้ว่าต้องเคารพความเป็นส่วนตัวของแขกที่มาพัก ไม่ควรถามก็ไม่ถาม แขกไม่อยากพูดก็ยิ่งไม่อาจถาม
“ขอบคุณเถ้าแก่เนี้ย” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มพยักหน้า
ดอกฝ้ายเมื่อคืนวานเย็บแบ่งออกเป็นห่อฝ้ายหกห่อ เพราะไม่มีกระดาษซับน้ำ ประสิทธิภาพก็ย่อมไม่ได้ดีเหมือนห่อผ้าฝ้ายที่เคยใช้เมื่อก่อน แต่ว่าเทียบกับผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดเปล่าๆ แล้วก็ย่อมดีกว่ามาก อย่างน้อยตอนกลางคืนนางก็เปลี่ยนแค่ครั้งเดียว ไม่ได้เลอะเปรอะเปื้อนอะไร
เปลี่ยนห่อผ้าฝ้ายเสร็จ นางก็ใช้น้ำสะอาดซักแล้วผึ่งตากไว้ที่หน้าต่าง หน้าร้อนแดดแรงเช่นนี้ ไม่ถึงครึ่งวันก็ตากแห้งสนิท นำกลับมาใช้ได้อีก เพียงแต่ใช้ไปหลายครั้งเข้าก็เริ่มแข็งง่าย ต้องแกะออกมายัดดอกฝ้ายใหม่ แกะยางรัดออกเอามาเย็บใช้ใหม่ได้
สรุปคือซูสุ่ยเลี่ยนรู้สึกพึงพอใจกับการใช้ห่อผ้าฝ้ายเช่นนี้ในตอนนี้มาก สาวใช้ที่เก็บกวาดห้องนางเป็นสตรี บอกว่าสตรีที่นี่น้ำชบามาก็ต้องใช้ห่อผ้ายัดแกลบ ผ้าฝ้ายขาวรองรับน้ำชบาเป็นสิ่งที่สตรีมีตระกูลเท่านั้นที่จะใช้ไหว เห็นซูสุ่ยเลี่ยนท่าทางเขินอาย เอาละ นางไม่รู้จริงๆ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว พอคิดว่าต้องใช้แกลบมารองใต้ร่าง ก็รู้สึกทำใจลำบากอยู่บ้าง
ดังนั้น…ซูสุ่ยเลี่ยนกำมือตนแน่น ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าที่นาสองหมู่นั่นต้องปลูกฝ้ายไว้ด้วย ส่วนฝ้ายปลูกอย่างไร รอให้ย้ายบ้านเสร็จค่อยไปร้านหนังสือซื้อหนังสือเกี่ยวกับการเพาะปลูกมาอ่านดูแล้วกัน สองคนคิดจะใช้ชีวิตแบบชาวนาเมืองฝานฮัว ไม่เข้าใจเรื่องการทำนาย่อมไม่ได้ จะว่าไปนางไม่คิดว่าหลินซือเย่า…เอ่อ นักฆ่า…จะเข้าใจเรื่องการเพาะปลูก ดังนั้นงานเพาะปลูกของเขาและนางคงต้องค่อยๆ คลำทางไปแล้ว
……
หลินซือเย่ายังคงไปกลับเมืองฝานฮัวทุกวัน เช้ามาก็ห่อซาลาเปาหมั่นโถวไปสองใบ พอกลางวันก็กินกับน้ำเปล่า ทำเอาช่างไม้สี่คนที่ก้มหน้าก้มตาทำงานไม่กล้ากลับบ้านไปกินข้าวกลางวันกัน เจ้าของยังทำเช่นนี้ พวกเขารับค่าจ้างจะกลับบ้านไปกินอาหารร้อนๆ ได้อย่างไร ดังนั้นพอวันรุ่งขึ้น ทั้งสี่ก็เริ่มเลิกล้มความคิดจะกินอาหารกลางวันที่บ้าน ทำงานก็ยิ่งเร็วขึ้น จากกำหนดสิบวัน เหลืออีกแค่สามวัน หากยังไม่รีบทำ ไม่ต้องพูดถึงสีหน้าเจ้าของ เกรงว่าตนเองคงไม่ได้รางวัลค่าจ้างเพิ่ม
วันนี้รั้วบ้านเตี้ยๆ รอบๆ มีบรรดาป้าๆ มายืนอยู่ ชะโงกหน้าเข้ามามองเป็นระยะ ปากก็เอาแต่ซุบซิบกันไม่หยุดไม่รู้วิพากษ์วิจารณ์อะไรกัน
“คงคิดจะขอเศษไม้ล่ะสิ เรื่องอย่างงนี้มีทุกครั้ง นี่ตั้งเจ็ดวันกว่าจะมา นับว่าอดทนแล้วนะเนี่ย” เฝิงเหล่าลิ่วเงยหน้ามองออกไปพลางส่ายหน้า จากนั้นก็เร่งลงมือตัดไม้ทำงานต่อ
“เฮ้ นั่นใช่นางฮัวบ้านอยู่ทางตะวันออกไหม นางกล้ามาได้อย่างไร” ฟังต้าเซิงอายุน้อยที่สุดกวาดตามองไปยังกลุ่มป้านอกรั้ว เห็นนางฮัวเข้าก็อดกล่าวอย่างแปลกใจไม่ได้
“จุ๊…เจ้าไม่รู้เสียแล้ว นางฮัวกับสะใภ้นางในเมืองฝานฮัวขึ้นชื่อว่ามีแต่เข้าไม่มีออก เจ้าคิดจะหาความละอายจากใบหน้านางหรือ เป็นไปไม่ได้!” หวังสุ่ยฟาที่เหมือนขาเป๋เล็กน้อยเป็นพี่ชายผู้ใหญ่บ้านหวังเกิงฟา มีฝีมือช่างไม้
เจ้าของบ้านส่วนใหญ่เลือกช่างไม้จะไม่เลือกเขา เพราะหนึ่ง เขาขาเป๋ สอง เพราะเขาเป็นพี่ชายผู้ใหญ่บ้าน จ่ายค่าแรงให้เขาเท่าไรจึงเหมาะสม? หากว่าทำงานออกมาไม่ดีดังใจคิด หักค่าแรงได้ไหม? เช่นนี้จึงไม่ค่อยมีคนเรียกใช้เขา
ครั้งนี้หากไม่ใช่หลินซือเย่าพูดออกมาว่าให้เฝิงเหล่าลิ่วแนะนำช่างฝีมือดีมาอีกสามคน เฝิงเหล่าลิ่วก็คงไม่คิดถึงเขา แต่ต่อมาหลินซือเย่าก็เลิกกังวล กลับวางใจมากขึ้นอีก
“อาฟากล่าวได้ถูกต้อง นางฮัวคิดแต่ได้จริงๆ นางเมียข้ายังเคยเสียเปรียบนางเลย” คนพูดสุดท้ายก็คือเถียนต้าฟู่เพื่อนบ้านตระกูลฮัว นิสัยเขาแต่ไรมาก็ตรงไปตรงมาเหมือนกับนางเถียนผู้เป็นภรรยา ตอนเพิ่งแต่งเข้าตระกูลเถียนก็เสียเปรียบให้กับนางฮัวหลายครั้ง ต่อมาจึงเลิกเสวนากับนางฮัวและสะใภ้
หลินซือเย่ากำลังลองกะขนาดเครื่องเรือนที่จะทำไว้ในห้องทางขวาชิ้นต่อไปอยู่ ก็ได้ยินช่างสี่คนซุบซิบกัน จึงเลิกคิ้วกวาดตามองไปนอกรั้วเตี้ยระดับหัวเข่า เห็นสตรีจับกลุ่มคุยกันกลุ่มหนึ่งนอกรั้ว
“คือว่า…คุณชาย…ยังจำข้าได้ใช่ไหม” นางฮัวเห็นหลินซือเย่าออกมา ก็ยิ้มเข้าไปแสดงท่าทีรู้จักกัน
คิ้วหนาหลินซือเย่ากระตุก สตรีพูดไม่เป็นคำพูด เขาจะลืมได้อย่างไร เพียงแต่รับปากซูสุ่ยเลี่ยนแล้วว่าจะไม่ทำร้ายคนแบบเมื่อก่อนอีก เขาจึงต้องอดทนระงับใจไม่จับนางโยนลงน้ำ
“คือว่า คุณชาย พวกเราคือว่า…เห็นคุณชายมีไม้ตั้งมากมาย ทำเครื่องเรือนเหลือ…เอ่อ…เศษไม้คงมีไม่น้อย…เหอๆ…ให้พวกเราได้ไหม” นางฮัวถูกผลักออกมาพูดแทนบรรดาป้าๆ ทั้งหลาย อึกๆ อักๆ กล่าวที่คิดออกมาหมด
เศษไม้? หลินซือเย่าคิดเยาะในใจ สีหน้ายังคงนิ่งหันไปถามช่างทั้งสี่ที่แทบไม่กล้าหายใจ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน “เครื่องเรือนทำเสร็จแล้ว ไม้ที่เหลือเรียกว่าเศษไม้หรือ”
“คุณชายล้อเล่นแล้ว ไม้มากมายเพียงนี้ ทำเครื่องเรือนที่คุณชายต้องการเสร็จ ยังน่าเหลืออีกไม่น้อย ถึงกับไม้ใหญ่เป็นท่อนๆ ก็น่าจะยังเหลืออีกหลายท่อน ไหนเลยจะเรียกว่าเศษไม้ดังที่พวกนางว่ากัน” เฝิงเหล่าลิ่วแสร้งกล่าวน้ำเสียงจริงจังยามสบตาหลินซือเย่าที่มองมา
“ดีมาก” หลินซือเย่าได้ยินก็พยักหน้า มองไปยังบรรดาป้าๆ ทั้งหลายนอกลานบ้านที่ยังคงไม่ยอมแพ้กล่าวว่า “อีกห้าวันมาเอาแล้วกัน” ทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งก็เดินเข้าไปยังห้องปีกข้าง วัดขนาดเครื่องเรือนที่จำเป็นต้องมีในห้องครัว
บรรดาป้าๆ พอได้ยินว่าได้ก็ดีใจแยกย้ายกันไป
เฝิงเหล่าลิ่วสบตากับช่างอีกสามคน ไม่เข้าใจความคิดเจ้าของเลยจริงๆ
จนตอนค่ำ หลินซือเย่าจึงได้กล่าวกับช่างทั้งสี่ที่กำลังเก็บของเตรียมกลับบ้านด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ต่ออีกสองวัน หากในห้าวันจากนี้ไม่เสร็จ ไม่เพียงไม่ได้เงินรางวัล ไม้ที่เหลือก็จะให้พวกนางไปให้หมด”
พวกเฝิงเหล่าลิ่วสี่คนได้ฟังสีหน้าก็ยินดี หมายความว่าหากทำงานเสร็จตามกำหนด ไม้ที่เหลือก็ตกเป็นของพวกตนเอาไปแบ่งกันอย่างนั้นหรือ
ทั้งสี่มองไปทางหลินซือเย่าพร้อมกัน สายตาเต็มไปด้วยคำถามที่แสดงถึงความหวัง
เฝิงเหล่าลิ่วรีบตบหน้าอกรับประกัน “ตกลง! ตกลง! คุณชายวางใจ รับประกันงานเสร็จ! หากไม่ทัน กลางคืนจุดเทียนทำก็ได้” ที่เหลืออีกสามคนรีบพยักหน้ารับคำกลัวหลินซือเย่าเปลี่ยนใจ
หลินซือเย่าพยักหน้า ไม่สนใจพวกเขาอีก กระโดดออกไปไกลหลายจั้งก่อนจะหายลับไปท่ามกลางสายตาของทั้งสี่
“โอ! วิทยายุทธ์แท้จริง!” ฟังต้าเซิงสองตาเปล่งประกายชื่นชมออกมา
“ใช่แล้ว วันนี้เขาไม่ใส่กุญแจประตู หรือว่า…”
คืนนี้พวกเฝิงเหล่าลิ่วทั้งสี่คนจุดเทียนเร่งลงมือทำงาน จนเที่ยงคืนไปแล้วจึงได้ใส่กุญแจบ้านพากันกลับบ้าน ภรรยาของทั้งสี่ก็ให้การสนับสนุนเต็มที่ ถึงกับดึงดันจะมาช่วยงานพวกเขาให้ได้ คิดว่าไม้กองโตนี่ ไม่ว่าอย่างไร สี่คนแบ่งกันก็ย่อมได้ไม้ทำโต๊ะตัวใหญ่คนละตัวเลยทีเดียว