จากนั้น สองคนก็ผลัดกันอาบน้ำที่แช่ใบส้มจุกให้เย็นสบาย เปลี่ยนชุดแต่งงาน ได้ยินเสียงผู้คนดังจ้อกแจ้กอยู่ด้านนอก ก็รู้ว่าได้ฤกษ์มงคลแล้ว ชาวบ้านมาร่วมงานกันแล้ว
หลินซือเย่าออกจากห้องนอนมาตามพวกป้าๆ ให้เข้าไปแต่งตัวให้ซูสุ่ยเลี่ยน ยามนี้เพิ่งจะกลัดกระดุมชุดแต่งงานเสร็จ จากนั้นก็รัดเข็มขัดนั่งลงบนเก้าอี้ตัวกลมหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง พวกนางบรรจงจัดแต่งผมดำขลับของนาง และแต่งหน้าของนางที่ไม่ต้องประทินผิวก็ขาวผ่องงดงามอยู่แล้ว
“โอย นางหนู เจ้ายังนั่งนิ่งทำไมกัน เร็วหน่อย ฤกษ์มงคลไม่รอเจ้านะ” นางเถียนเลิกม่านประตูห้องนอนมาก็หัวเราะเร่งนาง
“ป้าเถียน…” พอเห็นนางเถียนหัวเราะดังยิ้มแย้ม ซูสุ่ยเลี่ยนก็ไม่รู้จะกล่าวอันใดต่อ
“เหอๆ ล้อเล่นๆ มาๆ ป้าเถียนช่วยเจ้าเกล้าผม จะว่าไปนะ นางหนูออกเรือน ผมยาวก็ต้องให้คนในครอบครัวมาหวีให้ วันนี้ป้าเถียนจะขอถือโอกาสเสียเลย” นางเถียนกล่าวไปก็ดึงหวีไม้จันทน์หอมจากมือซูสุ่ยเลี่ยนมาถือ พลางหวีผมให้ซูสุ่ยเลี่ยน
“ป้าเถียน ปีนี้ลูกสาวป้าอายุเท่าไรแล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นดังนี้ก็ปล่อยนางไป จริงๆ นางเองก็ไม่มีคนในครอบครัวมาช่วยหวีให้ และนางเองก็ไม่ได้คิดว่าในสถานการณ์ที่จิตใจนางกำลังตื่นเต้นเช่นนี้จะสงบใจหวีผมที่ยาวถึงเอวของนางได้ดี
“นางหนูข้าน่ะ ปีหน้าก็สิบสี่แล้ว ตอนตาเฒ่าข้าไปทำงานในเมืองชิงเถียน เจ้านายแนะนำว่าข้างบ้านมีหนุ่มมาสู่ขอนาง แต่อายุห่างกันตั้งสี่ปี เดาว่าปลายปีหน้าคงจะแต่งแล้ว” นางเถียนช่วยหวีผมให้ซูสุ่ยเลี่ยนอย่างบรรจง ก่อนจะปักปิ่นปักผมและห้อยพวงไข่มุก เล่าถึงนางหนูเถียนของตนเสียงดังฟังชัดอย่างคนนิสัยเปิดเผย
“เมืองชิงเถียน? ห่างจากเมืองฝานฮัวเราไกลไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนถามอย่างอยากรู้ ตั้งแต่ออกจากเขาต้าซื่อมา ไม่ใช่เมืองฝานลั่วก็เมืองฝานฮัว ไม่เคยไปที่อื่นเลย จะไม่อยากรู้ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ บางทีครั้งหน้าหากว่าง ก็จะลองขอให้อาเย่าพาตนไปเดินเล่นดู
“ไม่ไกล ออกจากหมู่บ้านไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราวหกลี้ ใกล้กว่าเข้าเมืองมาก…เสร็จละ นางหนูพอใจไหม” นางเถียนตบมือแสดงให้เห็นว่าจบงาน บุ้ยใบ้ให้ซูสุ่ยเลี่ยนส่องกระจก
ซูสุ่ยเลี่ยนส่องกระจกที่ไม่ได้เห็นอะไรชัดนัก มองอย่างไรก็เห็นแต่โครงร่างคร่าวๆ แต่กระจกเช่นนี้ พวกป้าเหลากลับเอาแต่ชื่นชมกันอยู่ตั้งนาน คิดถึงว่าบ้านพวกนางคงมีแต่กระจกเล็ก บานเท่าฝ่ามือก็ไม่เลวแล้ว
“ขอบคุณป้าเถียน สวยมาก”
“นางหนูนี่นะ มิน่าอาเย่าเจ้าจึงได้รักเจ้านัก เป็นเด็กดีจริง” นางเถียนเอ่ยถึงหลินซือเย่าพลางอดสัพยอกซูสุ่ยเลี่ยนอีกไม่ได้
ตอนนี้บรรดาสาวๆ ป้าๆ และน้าๆ ในเมืองฝานฮัวต่างชื่นชมหลินซือเย่า บางคนแม้ไม่พูดออกมา แต่ในใจก็แอบอดอิจฉาซูสุ่ยเลี่ยนไม่ได้ มีผู้ชายที่คิดเพื่อนางทุกเรื่องเช่นนี้ ช่างเป็นวาสนาสั่งสมมาแต่ชาติปางก่อนโดยแท้
นึกถึงลูกสาวตนที่เป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายเหมือนนาง นางเถียนก็อดวาดหวังถึงลูกเขยในอนาคตของตนไม่ได้ว่า ขอให้ดีต่อลูกสาวตนสักหน่อย ไม่ต้องถึงกับเหมือนหลินซือเย่าที่รักนางเช่นนี้ก็ได้ แต่เรื่องใหญ่น้อยให้เคารพความเห็นนางก็พอแล้ว
ซูสุ่ยเลี่ยนถูกนางเถียนล้อจนหน้าแดงอีกครั้ง ประหยัดแป้งชาดทาหน้าไปได้อีก
แต่วันแต่งงานอย่างไรก็ต้องผัดแป้งชาด อย่างไรก็ต้องทา แม้ว่าการทาชาดลงไปบนใบหน้าตรงๆ ไม่เพียงไม่อาจเผยให้เห็นความงามของหญิงสาว แต่กลับจะทำให้รู้สึกแต่งหนาไปจนดูเชยก็ตาม
ดังนั้นซูสุ่ยเลี่ยนจึงลองนึกภาพสมัยก่อนตอนที่สาวใช้ทำแป้งชาดทาหน้าให้ตนเอง พลางใช้ปลายนิ้วแตะแป้งชาดสีแดงเข้มเล็กน้อย ค่อยๆ ทากลีบปากเบาๆ ก่อนจะเม้มปากอีกที ชาดทาปากสีแดงก็เข้ากันกับริมฝีปากสนิท คิดไปมาก็เลือกเอาก้อนแป้งออกมาผสมกับน้ำในกล่องอย่างเบามือให้กลายเป็นสีแดงอ่อนๆ แตะเล็กน้อยก่อนจะผสมแป้งชาด ค่อยๆ ผสมกันและทาใบหน้าเบาๆ บรรจงใช้ปลายนิ้วชี้แตะสองแก้มเบาๆ จนสีแดงรวมเป็นหนึ่งกับสองแก้มขาวผ่องละมุนเป็นยองใยของนาง
“โอ! ที่แท้แต่งหน้าต้องแต่งแบบนี้ ฮาๆ วันนี้เปิดประสบการณ์ใหม่แล้ว” นางเถียนมองอย่างตกตะลึง เห็นซูสุ่ยเลี่ยนขยับสองสามทีก็ทำเอาแป้งชาดเดิมที่ดูบ้านๆ มาแต่งหน้าจนงดงามหยดย้อยได้เช่นนี้ อดส่งเสียงอุทานชื่นชมขึ้นไม่ได้ ทำเอาบรรดาป้าน้าด้านนอกที่มารอฤกษ์มงคลกันเสียงดัง พากันโผล่หน้าเข้ามาดู
“โอ เทพธิดามาจุติจริงๆ” นางสุ่ยแทะเม็ดแตงพลางเข้ามาหยุดดู พลางชื่นชมจากใจจริง
“ใช่แล้ว เมืองฝานฮัวเรามีสตรีออกเรือนงามๆ เหมือนกันนะ ครั้งหน้าข้ากลับเมืองลั่วสุ่ย ก็จะได้ไปคุยทับนางฟางบ้าง” นางซือบ้านอยู่เมืองลั่วสุ่ย ที่นั่นมีนางแซ่ลั่วที่ชอบแต่งตัวผู้หนึ่งเป็นเพื่อนบ้านนาง วันๆ ก็เอาแต่มาอวดโฉมใส่หน้านาง บอกว่าอะไรนะ นางเป็นคนงามที่สุดในหลายเมืองนี้ ดีเลย นางเหอไม่พอใจ แต่ไม่อาจไม่ยอมรับว่าหน้าตานางก็งดงามหาได้ยากจริง แต่ก็เพียงแค่ก่อนหน้านี้ เพราะตอนนี้มีซูสุ่ยเลี่ยนแล้ว ดูสิว่าหน้าไหนจะกล้าบอกว่าตนเองงดงามสุดในพื้นที่หลายสิบลี้นี้ ไว้วันหน้าจะต้องพาซูสุ่ยเลี่ยนไปเมืองลั่วสุ่ยสักหน่อย เชอะ ไปจัดการความยโสของนางผู้นั้นสักหน่อย
“เอาละ ใกล้ฤกษ์มงคลแล้ว รีบหน่อย คลุมหน้า” ป้าเหลาเดินเข้ามาในห้อง พอเห็นบรรดาป้าๆ น้าๆ ทั้งหลายเอาแต่คุยไม่หยุด ก็รีบเร่งให้พวกนางเตรียมตัว
“ฝีมือปักนางหนูนี่สุดยอดจริง!” นางเหอหยิบผ้าคลุมหน้าซูสุ่ยเลี่ยนขึ้นมา อดลูบไล้คู่นกเป็ดน้ำเล่นน้ำที่ปักประณีตอยู่บนผืนผ้าไม่ได้ ปากก็ชมไม่หยุด
“แม้แต่ซ้อเหอยังชื่นชมฝีมือปัก อย่างนั้นพวกเราก็ไม่มีหน้าปักแล้ว” นางเถียนเห็นผ้าคลุมหน้าลวดลายนกเป็ดน้ำราวกับมีชีวิตก็ส่งเสียงชื่นชมตาม พลางสัพยอกนางเหอเล่น
“ซ้อเถียน ครั้งหน้าอย่าได้กล่าวถึงงานปักข้าอีกเลย หากแพร่ออกไป คนอื่นได้ยินเข้า ข้าไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน” นางเหอได้ยินนางเถียงหยอกตนเองเช่นนี้ก็หน้าแดงก่ำ ในใจแอบอึดอัดขึ้นมาจริงๆ
ตั้งแต่แต่งงานเข้าเมืองฝานฮัวมาสิบปีนี้ สิ่งที่บรรดาสตรีในเมืองชื่นชมนางมากที่สุดก็คือฝีมือปักผ้าอันโดดเด่น แต่ตอนนี้แม้ซูสุ่ยเลี่ยนไม่ได้เอางานปักออกมาแสดงเปิดเผย แต่เสื้อผ้าที่สองคนสวมใส่และชุดแต่งงาน ตลอดจนผ้าห่ม ผ้าคลุมหน้าอะไรพวกนี้ ลวดลายล้วนปักได้ละเอียดประณีตงดงาม เพียงพอที่จะทำให้งานปักอื่นต้องถอยห่างไปเลยทีเดียว วันหน้าฝีมือเพียงหนึ่งเดียวของนางคงไม่เป็นที่พูดถึงอีก ไม่รู้ว่าร้านผ้าปักจากนี้ไปจะรับแต่งานฝีมือซูสุ่ยเลี่ยนคนเดียวไหม อาชีพนางเองต้องจบสิ้นลงเช่นนี้ไหม
นางเหอคิดอย่างตกในภวังค์ บรรดานางที่เหลือไม่ทันสังเกตเห็นความในใจนาง ได้แต่เร่งให้ซูสุ่ยเลี่ยนคลุมหน้า รอให้หลินซือเย่าเข้ามารับนางออกไปประกอบพิธีในโถงกลาง
……
ในโถงกลางตอนนี้มีคนเต็มไปหมด ชาวบ้านที่มาร่วมงานทำให้พื้นที่ในโถงที่เดิมเห็นว่ากว้างไม่น้อยตอนนี้ไร้ที่ยืน
ไม่เพียงเพื่อนบ้านที่ได้รับเชิญมากันไม่ขาดสักคน แม้แต่คนในเมืองฝานฮัวก็เร่งมาร่วมงานครึกครื้นอย่างไม่ขาดตก
โดยเฉพาะสองนางตระกูลฮัว ก่อนหน้าได้ยินนางเถียนเอาแต่ชมว่าจัดบ้านดีอย่างนั้นอย่างนี้ ตอนนี้ก็ขอมาชมงานแต่งซูสุ่ยเลี่ยน ดังคำกล่าวว่างานมงคลไม่ขับไล่แขก ดังนั้นก็ปล่อยให้ไหลตามฝูงชนเข้าร่วมงาน ในใจก็หวังแต่ว่าที่นางเถียนพูดชมนั้นจะเกินเลยความจริงไปมาก
ทว่าหลังสองนางตระกูลฮัวเดินวนรอบในและนอกบ้านหลายรอบ ในใจก็รู้สึกบอกไม่ถูกขึ้นมา อิจฉาเหลือเกิน ดูเครื่องเรือนพวกนี้ ทำออกมาได้ดูแพงขนาดไหน ดูดอกไม้ต้นไม้ในลานบ้าน เก้าอี้ไม้ ศิลาชิงจวนปูลาดพื้น จัดแต่งได้อย่างดูดีมีสง่าราศี จุ๊ๆ…
“น้าฮัว ท่านแม่ข้าบอกว่าให้เชิญพวกท่านเข้าไปด้านใน ได้ฤกษ์มงคลแล้ว” ลูกสาวนางเหลาชื่อว่าสี่ชุ่ยวิ่งมาตาม ตอนนี้ออกอาการเหนื่อยหอบ แม่นางสั่งว่าให้มาเชิญสองนางตระกูลฮัวที่กำลังชมห้องสุขาศาลาตะวันตกนี้กลับไปที่โถง
วาจาเดิมป้าเหลาก็คือห้องโถงคนเยอะหลายตา พวกนางคิดจะทำอะไรเหลวไหลก็ยาก หากไม่มีคนจับตา พวกนางจะทำอะไรให้ขายหน้าก็ไม่อาจรู้ได้ จริงๆ เลย สองนางตระกูลฮัวนี่มีคดีไม่น้อย ไปบ้านไหนต้องมีคว้าของบ้านนั้นติดมือกลับไปด้วย หากไม่ระวัง อาจถูกสองนางที่คิดไม่ซื่อแอบหยิบของลอยนวลไปได้
“คือว่าสี่ชุ่ยเอ๊ย โถงมีแต่คนแน่นเต็มไปหมด พวกเราอยู่ตรงนี้ก็ดีแล้ว เหอๆ…” นางฮัวหัวเราะหน้าย่น โบกมือให้สี่ชุ่ยกลับไป ไม่ต้องมาสนใจพวกนาง
สี่ชุ่ยยู่ปากอย่างลำบากใจ คำสั่งแม่นางก็ขัดไม่ได้ หน้าตายิ้มๆ ของน้าฮัวก็ขัดใจไม่ได้อีก กำลังคิดจะเกลี้ยกล่อมอยู่ ก็ได้ยินเสียง โบร๋ว โบร๋ว โบร๋ว ดังขึ้น ตามมาด้วยเงาสีขาวไหวๆ ตรงหน้า มองไปก็เห็นว่ากำลังหอนใส่สองนางตระกูลฮัว มองจ้องอีกที ถึงกับเป็นสุนัขตัวใหญ่ที่เฝ้าอยู่ลานด้านหลัง ยามนี้กำลังคาบเสื้อของพวกนางฮัวไว้ ลากพวกนางให้ไปที่โถง
“โอ๊ยๆ…เจ้าหมาเด็กดี ปล่อยข้าสองคนก่อน อ๋า?” นางหลิวพยายามพูดจาเอาใจลูกหมาป่าสองตัวโดยไม่สนใจว่าพวกมันฟังรู้เรื่องไหม หวังเพียงให้พวกมันปล่อยเสื้อตนเองก่อน
“คือว่านะ ท่านแม่ พวกมันจะลากพวกเราไปโถงหรือ?” สะใภ้ตระกูลฮัวมองหมาใหญ่ที่กำลังลากเสื้อตน ไม่มีทีท่าว่าจะกัดให้บาดเจ็บ หันกลับไปถามนางฮัวที่ถูกหมาลากเช่นกันด้วยความงุนงง
“เอ๋?” นางฮัวได้ยินก็หันไปเห็นสุนัขตัวใหญ่สองตัว คิดเอาใจลูกหมาป่าสองตัวกล่าวว่า “แหะๆ หมาน้อย ปล่อยพวกเรา พวกเราเดินเองๆ ไปร่วมงานในโถง…”
ลูกหมาป่าสองตัวเหมือนฟังนางพูดเข้าใจ ปล่อยเสื้อนางจริงๆ พลางถอยไปสองก้าว ก่อนจะจ้องมองนางสองคนเดินเข้าห้องโถงไป
เหลาสี่ชุ่ยเห็นดังนี้ก็ดีใจลูบหัวลูกหมาป่าสองตัว แอบนึกชมมันว่าร้ายกาจมาก
สองนางตระกูลฮัว นอกจากส่งเสียงอุทานอย่างรู้สึกแปลกแล้ว ในใจก็แอบคิดคำนวณขึ้นมาอย่างรวดเร็วทันที สุนัขแสนรู้เช่นนี้ ไม่รู้พันธุ์อะไร ดูเจ้าสองตัวนี้ตัวผู้ตัวตัวเมียตัว หรือว่ารอให้ออกลูก ค่อยมาขอซูสุ่ยเลี่ยนไปสักตัว
หากลูกหมาป่าสองตัวอ่านใจคนได้ ก็คงต้องกัดฟันคำรามใส่นางกลับไปว่า พวกเราพี่น้องกัน พี่น้องกันทำได้หรือ? เก่งจริงเจ้าก็หาพี่น้องเจ้ามาออกลูกดูสิ!