ซูสุ่ยเลี่ยนกับสี่ชุ่ยแทบถูกหลินซือเย่าคุมตัวจากห้องปักผ้ามายังห้องครัวเพื่อกินข้าว
ตามความคิดของพวกซูสุ่ยเลี่ยน กลางวันกินข้าวที่โต๊ะเป็นการเสียเวลาไปเปล่าๆ กินหมั่นโถวแบบเมื่อวานที่วางไว้ริมจาน พอรู้สึกหิวก็เข้ามากัดคำหนึ่ง ไม่คิดให้สองมือเปื้อนเด็ดขาด เพราะทันทีที่มือเปื้อน ก็ต้องไปล้าง ไปๆ มาๆ ไม่แน่ว่าอาจปักได้อีกรอบ
แต่เห็นหลินซือเย่าจ้องตนเขม็ง ราวกับว่าหากตนกับสี่ชุ่ยไม่ไปนั่งกินที่ห้องครัวดีๆ เขาก็จะโมโหนาง พอคิดว่าเขาอาจจะโมโหขึ้นมา ซูสุ่ยเลี่ยนก็ได้แต่ยอมวางเข็มลงอย่างเป็นเด็กดี กวักมือเรียกสี่ชุ่ยตามหลินซือเย่าออกไปกินข้าวข้างนอก
“ตอนบ่ายข้าพาเสี่ยวเสวี่ยไปล่าสัตว์นะ ให้เสี่ยวฉุนเฝ้าบ้าน” ระหว่างกินอาหาร หลินซือเย่าคีบเนื้อแดงที่ป้าเหลาตุ๋นให้นางพลางเล่าแผนที่คิดไว้ก่อนหน้าให้นางฟัง
ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็มองตาอย่างไม่เข้าใจ “เมื่อวานล่ามาแล้วไม่ใช่หรือ”
คิดถึงเจ้ากระต่ายป่าและไก่ป่าท่าทางแข็งแรงพวกนั้น ยังมีแม่แพะที่ผู้ใหญ่บ้านส่งมาให้เมื่อวาน เลี้ยงอยู่ที่ลานเล้าเป็ดเล้าไก่ตรงลานหน้าบ้าน จะไปล่ามาอีก จะมีที่เลี้ยงพอหรือ
“ไว้ให้พวกมันสองตัวกิน” หลินซือเย่าเข้าใจว่านางคิดอะไร จึงชี้ไปที่เสี่ยวฉุนกับเสี่ยวเสวี่ยที่หมอบอยู่ตรงเท้าซูสุ่ยเลี่ยน พลางอธิบายน้ำเสียงอ่อนโยน
“อ้อ ใช่ อ้อ ลืมไปว่าเสี่ยวฉุนกับเสี่ยวเสวี่ยไม่อาจกินอาหารไม่มีเนื้อ” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มลูบหัวลูกหมาป่าสองตัวเบาๆ แบ่งเนื้อน้ำแดงในชามตนให้พวกมันไปคนละครึ่ง หากไม่มีพ่อแม่พวกมันต่อสู้กับเสือขาวจนตาย ไม่มีพวกมันนำตนไปที่ถ้ำหมาป่า บางทีนางอาจจะเป็นอาหารโอชะของสัตว์ป่าบนเขาต้าซื่อไปนานแล้ว
พอคิดเช่นนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนก็ยิ่งละอายใจที่ตนเองยามนี้ละเลยพวกมัน หาบ้าน ย้ายบ้าน แต่งงาน…ตั้งแต่ออกจากเขาต้าซื่อเหมือนแทบจะไม่ได้พักผ่อนดีๆ เลยสักครั้ง ชีวิตในป่าแบบเมื่อก่อนที่พาพวกมันออกไปเดินเล่นสบายๆ นั้น ยิ่งไม่เคยมี
“รอให้งานปักนี้เสร็จก่อน ข้าจะเข้าป่าไปเก็บผลไม้กับพวกเจ้านะ” ซูสุ่ยเลี่ยนเงยหน้ายิ้มมองหลินซือเย่า
“ได้” หลินซือเย่าแววตาอ่อนโยนพยักหน้า เขาเองหวังว่านางจะได้ออกไปเดินเที่ยวให้มากหน่อย อย่างไรก็ดีกว่าเอาแต่นั่งปักผ้ามากนัก
“พี่สุ่ยเลี่ยน พวกมันรู้ภาษาคนจัง วันก่อนที่พี่แต่งงานกับพี่หลิน พวกน้าฮัวเอาแต่จะเตร็ดเตร่อยู่ลานหน้าบ้าน ไม่รู้กำลังดูอะไรอยู่ ข้าไปตามก็ไม่ยอมมา ต่อมาเป็นเสี่ยวฉุนกับเสี่ยวเสวี่ยลากพวกนางกลับมาที่โถง” สี่ชุ่ยเห็นสุนัขตัวใหญ่น่ารักสองตัวข้างโต๊ะก็นึกถึงสองนางตระกูลฮัววันก่อนที่มีเรื่องกับสองสุนัข ก็อดขำพรืดออกมาไม่ได้
“จริงหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็รู้สึกขำ อดหยิกแก้มป่องๆ ของเสี่ยวเสวี่ยไม่ได้ “ข้าก็รู้สึกว่าพวกมันเหมือนรู้ภาษา แต่ว่าครั้งหน้าอย่าไปงับเสื้อผ้าคนอื่นอย่างนี้อีกนะ รู้ไหม” กัดขาดไปต้องชดใช้ไม่น้อย หากไม่ระวังกัดคนเจ็บก็ยุ่งยากแล้ว
ลูกหมาป่าสองตัวร้อง โบร๋ว โบร๋ว ราวกับฟังเข้าใจและรับปากซูสุ่ยเลี่ยน ยังแอบซนเอาหัวมาถูไถแขนนางอีก ทำเอาซูสุ่ยเลี่ยนขำไม่หยุด จนได้ยินหลินซือเย่าส่งเสียงปรามดังจากลำคอเบาๆ จึงหยุดการออดอ้อนเอาใจของลูกหมาป่าสองตัวได้ พวกมันพากันถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งมองซูสุ่ยเลี่ยนด้วยแววตาน่าสงสารไม่รู้ว่าทำอะไรผิด มองแววตาหลินซือเย่าที่กำราบพวกมันอีกที ก่อนจะกลับไปรังน้อยพวกมันอย่างไม่อยากจากไป
โบร๋ว โบร๋ว โบร๋ว เจ้านาย ไม่ใช่พวกเราขี้ขลาดนะ แต่กลัวเขาโมโหแล้วจะไม่ทำตามที่รับปากพวกเราเอาไว้ต่างหาก พวกเราจะเข้าป่าไปล่าสัตว์ พวกเราจะได้มีเนื้อก้อนโตกินทุกมื้อ! ไกลออกไป ลูกหมาป่าสองตัวสบตากันน่าสงสาร ก่อนจะหอนดังโบร๋วๆ ต่อไป
……
หลังอาหารกลางวัน ซูสุ่ยเลี่ยนกับสี่ชุ่ยก็เร่งกลับมาทำงานที่ห้องปักผ้าต่อ
หลินซือเย่าเก็บจานชามที่ป้าเหลาใส่อาหารมาไปล้างเสร็จเรียบร้อยก่อนวางกลับลงในตะกร้าดังเดิม รอให้สี่ชุ่ยนำกลับไปด้วยตอนกลับบ้าน
กลับมาถึงแปลงผักหน้าบ้าน ตอนเช้าพรวนดินไว้แล้ว ขุดหลุมไว้แล้ว แต่ละหลุมลงต้นกล้ามันหวานไว้ ยังมีพวกเมล็ดผักเช่นผักบุ้งที่หว่านลงไป อีกไม่กี่เดือนก็คงได้เก็บเกี่ยว รดน้ำอีกหน่อย
เห็นลูกหมาป่าสองตัวตื่นจากหลับอุตุตอนบ่ายก็วิ่งไปกินน้ำที่ท่าน้ำเอง สายตาจับจ้องมองหลินซือเย่าเป็นประกาย เขาก็รู้ว่าได้เวลาเข้าป่าล่าสัตว์แล้ว
เก็บเสื้อผ้าที่ตากไว้ที่ท่าแห้งแล้วมาพับวางใส่ตู้เสื้อผ้าในห้องนอน ตรวจตราหน้าบ้านอีกรอบ ไม่มีอะไรผิดปกติ ก็ไปห้องปักผ้าบอกกล่าวซูสุ่ยเลี่ยน สั่งให้เสี่ยวฉุนเฝ้าบ้านให้ดี ก่อนจะพาเสี่ยวเสวี่ยมุ่งไปเขาต้าซื่อ
……
ผ่านเข้าออกมาหลายครั้ง หลินซือเย่าพบทางเข้าออกอีกทางของเขาต้าซื่อ ผ่านเส้นทางท้องทุ่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองฝานฮัว ตรงไปยังยอดเขาซิ่วเฟิงที่ติดกับเขาต้าซื่อ ผ่านยอดเขาซิ่วเฟิงไปก็จะเป็นพื้นที่ของเขาต้าซื่อ
หลายปีก่อนเพราะข่าวสัตว์ป่าบนเขาต้าซื่อดุร้ายกินคนแพร่ออกไป บริเวณนี้จึงค่อยๆ ไม่มีนายพรานล่าสัตว์อีก พากันหันไปเป็นชาวนากันหมด ดังนั้นป่าเขาบริเวณยอดเขาซิ่วเฟิงนี้จึงค่อยๆ ร้างไร้ผู้คน สัตว์ป่าก็ค่อยๆ อุดมสมบูรณ์
ตั้งแต่ย้ายมาเมืองฝานฮัว เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวเสวี่ยได้ออกจากบ้าน ตลอดทางมาก็ตื่นเต้นสนุกสนาน ไล่ตามหลินซือเย่าที่ทะยานทีไปไกลหลายสิบจั้ง มันได้แต่รีบวิ่งตามสุดชีวิต
พริบตา หนึ่งคน หนึ่งสุนัข ก็วิ่งทะยานมาถึงเชิงเขาซิ่วเฟิง
หลินซือเย่าเดาว่าผ่านยอดเขาซิ่วเฟิงนี้อย่างน้อยต้องใช้เวลาหนึ่งก้านธูป ดังนั้นจึงนำเสี่ยวเสวี่ยไปริมลำธารดื่มน้ำพักก่อนสักครู่ กำลังเตรียมจะเรียกเสี่ยวเสวี่ยไปต่อ ก็ได้ยินเหมือนมีเสียงดังมาจากหลังพุ่มไม้ริมลำธาร
หลินซือเย่าเลิกคิ้วเล็กน้อย ในใจแอบคิดว่ายอดเขางามนี้ไม่ใช่ว่าไม่มีร่องรอยคนผ่านมานานแล้วไม่ใช่หรือ
แต่แม้ว่ามีคนเข้ามาในป่าจริงก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเขา เขาผู้เย็นชาไม่เคยยี่หระต่อสิ่งใด แม้หลังจากได้อยู่ร่วมกันกับซูสุ่ยเลี่ยนแล้ว นิสัยเขาถูกนางกล่อมเกลาจนแทบไม่ใช่ซือหลิงคนเดิมที่เปล่งไอเย็นเยียบกดดันผู้คนอีก แต่เขาก็ยังไม่ยี่หระกับสิ่งใดอยู่ดี
หลินซือเย่านิ่งงันไปก่อนจะหันไปบอกเสี่ยวเสวี่ย “ไป” จากนั้นก็โดดเข้าป่าไปทันที ต้องเร่งไปกลับมาให้ทันก่อนพระอาทิตย์ตกดิน คิดถึงสตรีตัวน้อยที่อาจถือโอกาสที่เขาไม่อยู่แอบจุดตะเกียงปักผ้าตอนไร้แสงตะวัน เขาก็อดร้อนใจไม่ได้ ฝีเท้าก็ยิ่งเร็วขึ้นอีก ไม่กี่ก้าวก็ไปได้ไกลหลายสิบจั้ง
เสี่ยวเสวี่ยหอบแฮกๆ ลิ้นยาว ผละสายตาจากพุ่มไม้ เร่งรีบวิ่งตามหลินซือเย่าไปต่อ
……
พอหลินซือเย่ากับเสี่ยวเสวี่ยโดดหายลับไปในป่า เด็กหนุ่มหลังพุ่มไม้อายุราวสิบกว่าปี ก็คือต้าเป่าลูกชายเถียนต้าฟู่ หนุ่มน้อยอายุสิบสองปีที่อายุสมองหยุดอยู่ที่อายุเก้าปี
“โอ! ร้ายกาจ! นี่มันคือวิทยายุทธ์ที่ท่านพ่อเล่ากระมัง” เถียนต้าเป่าสีหน้าตะลึงจนปล่อยกบในมือที่กว่าจะจับได้หลุดรอดไปยามที่เขากำลังอึ้ง ไม่ทันรู้สึกตัว
“หากข้าเรียนรู้วิทยายุทธ์ยอดเยี่ยมนี้ได้ ไอ้พวกลูกหมานั่นก็คงยอมเล่นกับข้าแล้วไหม” เถียนต้าเป่าคิดถึงเพื่อนวัยเดียวกันพลางพูดเองเออเองท่าทางเซ่อซ่า นั่งอยู่บนก้อนหินริมลำธารไล่จับกบไปเรื่อยๆ ก่อนจะเท้าคางมองไปยังป่าลึกอย่างวาดหวัง รอหลินซือเย่าออกมาจากป่า ใช่แล้ว เขา เถียนต้าเป่า ตัดสินใจแล้วว่าจะขอฝากตัวเป็นศิษย์พี่หลินคนดีในใจเขา
หากหลินซือเย่าได้รู้ความในใจของเด็กน้อยเถียนต้าเป่าว่าในเมืองฝานฮัวนี้เขาเป็นคนดีที่สุด ย่อมต้องหัวเราะหน้าหงายแทบไม่อยากจะเชื่อ
แต่ว่าตั้งแต่แวบแรกที่เถียนต้าเป่าได้พบหลินซือเย่า ก็เอาแต่ตามติดหลินซือเย่าให้เล่าเรื่องสุนัขสองตัวมา เขาก็ตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะตามต่อไป
ในความคิดเขา ชายทั่วเมืองฝานฮัวไม่มีใครสู้หลินซือเย่าได้ หน้าตาก็หล่อ (นี่คือที่มารดาเขาพูด) วิทยายุทธ์ก็ล้ำเลิศ (นี่คือที่บิดาเขาพูด) ดีกับพี่เทพธิดามาก (นี่คือที่พี่สาวเขาพูด) ไม่เคยหัวเราะใส่สติปัญญาที่ไม่เต็มของเขา ยังตั้งใจอธิบาย (นี่คือที่เขาพูดเอง)
ไม่ว่าที่เขาฟังมาหรือที่เขาสัมผัสด้วยตนเอง เถียนต้าเป่าก็สรุปได้ว่า พี่หลินซือเย่า ก็คือชายที่ดีที่สุดในเมืองฝานฮัว และวันหน้าเขาต้องเป็นเหมือนพี่หลิน จะได้แต่งกับภรรยางามเหมือนพี่เทพธิดา
……
ฟ้าเริ่มมืดแล้ว แต่ว่าเถียนต้าเป่ายังคงรออยู่ เขาเชื่อสัญชาตญาณตนเอง พี่หลินต้องผ่านมาทางนี้อีกแน่ เพราะที่นี่ห่างจากบ้านเขาน้อยที่สุด
ต้าเป่าที่มีสติปัญญาไม่สมบูรณ์ แต่ความฉลาดพวกนี้ก็ยังพอมีอยู่ ที่จริงกล่าวว่าเขาปัญญาไม่สมบูรณ์ก็ไม่ถูกต้องนัก ควรบอกว่าตอนแรกที่เขาตกลงในสระจนชนของแข็งกระทบกระเทือนสมอง เลือดคั่งยังไม่กระจายออก ทำให้ขัดขวางการเจริญเติบโตปกติของสมอง หากวันใดเลือดคั่งก้อนนั้นสลายไป ไม่แน่ก็อาจมีสติปัญญาเต็มดังเดิม
รอจนเถียนต้าเป่าแทบหมดหวังว่าหลินซือเย่าจะผ่านมาทางนี้ ก็เริ่มคอตกคิดหันหลังกลับบ้านอยู่นั้น ก็เห็นหนึ่งคนหนึ่งสุนัขทะยานมาไกลๆ ก็ดีใจยิ้มหน้าบานทันที
“พี่หลิน พี่หลิน!” เถียนต้าเป่าโบกไม้โบกมือเต็มแรงเพื่อให้หลินซือเย่าเห็นตน กลัวว่าเขาจะไม่หยุดและจะทะยานหายไปอย่างรวดเร็ว
หลินซือเย่าสังเกตเห็นเขามาแต่ไกลแล้ว เพียงแต่เห็นว่าพระอาทิตย์ตกดินแล้ว ใจร้อนอยากรีบกลับบ้าน คิดอยู่ว่าจะไม่หยุดความเร็ว
เพียงแต่พอเห็นเถียนต้าเป่าโบกมือให้ตนเอง จึงไม่ได้วิ่งทะยานรวดเร็วต่อ ไม่อย่างนั้นกลับไปสุ่ยเลี่ยนรู้เข้าคงตำหนิเขาแน่ อย่างไรฟ้าก็มืดแล้ว ด้วยสภาพร่างกายและจิตใจของเถียนต้าเป่า ไม่เหมาะที่จะมาอยู่ที่นี่ในตอนนี้
“พี่หลิน พวกพี่ไปล่าสัตว์มาหรือ” เถียนต้าเป่าเห็นในมือหลินซือเย่ากับปากของเสี่ยวเสวี่ยคาบสัตว์ป่าไว้อยู่หลายตัว ก็อดถามอย่างอยากรู้อยากเห็นไม่ได้
หลินซือเย่าพยักหน้า จากนั้นก็คิดถึงสภาพร่างกายและจิตใจเขา ก็อดขมวดคิ้วถามไม่ได้ “ดึกแล้วยังไม่กลับบ้านอีก?”
“เหอๆ…ข้ารอท่านอยู่ พี่หลิน ท่านรับข้าเป็นศิษย์เถอะนะ!” เถียนต้าเป่ากลั้นใจพูดสิ่งที่ตั้งใจไว้ออกมาจากนั้นก็รู้สึกเขินถูมือไปมา เกาหัวอีกสองสามที ปรายตามองปฏิกิริยายาหลินซือเย่าอยู่ตลอด
หลินซือเย่าได้ยินก็อึ้งไป ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ เด็กหนุ่มจึงมาขอเช่นนี้ได้ จากนั้นก็คิดว่าเมื่อกลางวันมีเสียงมาจากตรงนี้ เสียงสวบสาบหลังพุ่มไม้ คิดว่าคงเป็นอีกฝ่ายนี่เอง คงเพราะเห็นกระโดดทีไปไกลสิบจั้งแน่นอน จึงมารอดักพบตนเองที่นี่