หลินซือเย่าไม่ได้เอ่ยปาก รับปากหรือไม่รับปาก แต่ก็ดึงเถียนต้าเป่าขึ้นหนีบไว้ในวงแขน เรียกเสี่ยวเสวี่ยทะยานเข้าเมืองฝานฮัวไปอย่างเร็วจี๋ ผ่านประตูบ้านเถียนต้าฟู่ก็หย่อนเถียนต้าเป่าลง ก่อนจะทะยานกลับบ้านโดยเท้าไม่แตะพื้น ในใจคิดถึงแต่ซูสุ่ยเลี่ยน ไม่สนใจสีหน้าเต็มไปด้วยความเลื่อมใสและแน่วแน่ของเถียนต้าเป่าที่มองตามเขามา
“เจ้ากลับมาแล้ว?” เพิ่งเข้าบ้านมายังไม่ทันได้ปิดประตู หลินซือเย่าก็เห็นคนที่ตนคิดถึงกำลังยืนอยู่ใต้ต้นอิงเถาป่าด้วยรอยยิ้มละไม อาศัยแสงรำไรยามเย็นมองเห็นแววตาดีใจและวางใจของนางที่แสดงออกมาอย่างไม่ต้องเอ่ยวาจา นางกำลังรอเขาหรือ
ซูสุ่ยเลี่ยนรอเขาอยู่จริงๆ ตอนเย็นพอเริ่มมืด สี่ชุ่ยก็กลับบ้านไปแล้ว นางนั่งปักอยู่คนเดียวครู่หนึ่งก็เริ่มใจลอยคิดถึงเขาว่าทำไมยังไม่กลับมา เป็นห่วงว่าเขาจะเกิดเรื่อง…นางอุ่นหมั่นโถวที่เหลือจากตอนเที่ยงและผัดเนื้อเส้นเปรี้ยวหวานที่นางถนัดเพียงอย่างเดียวเสร็จแล้วก็ยังไม่เห็นเขา นางก็เริ่มนั่งไม่ติดเอาแต่เดินไปเดินมาอยู่ใต้ต้นอิงเถาป่า
โชคดีที่เขากลับมาอย่างปลอดภัย ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะทำเช่นไรดี หากว่า…นางไม่กล้าคิดต่อจริงๆ
หลินซือเย่าวางสัตว์ที่ล่ามาได้ลงบนลานที่ว่างแถวหน้าประตู กวาดตามองไปยังลูกหมาป่าสองตัวที่กำลังจับจ้องสัตว์ป่าพวกนั้นตาไม่กะพริบ จึงเลือกไก่ป่าเล็กๆ ตัวหนึ่งโยนไปที่หน้าบ้านพวกมัน สำทับไปประโยคหนึ่ง “กินเสร็จเฝ้าบ้านดีๆ อย่าคิดแตะต้องตัวอื่น” จากนั้นก็ไม่สนใจมันสองตัวที่กลืนน้ำลายเอื๊อก หันไปดึงมือซูสุ่ยเลี่ยนเข้าบ้าน
“ยังไม่ได้กินข้าวหรือ” เขาล้างมือเสร็จก็หันมามองบนโต๊ะอาหารที่ยังไม่มีร่องรอยแตะต้อง ซูสุ่ยเลี่ยนกำลังส่งผ้าเช็ดหน้ามาให้เขาเช็ดหน้าเช็ดมือ
“ทำไม” หลินซือเย่าโยนผ้าไปบนราวตากผ้าเช็ดหน้า ดึงสตรีตัวน้อยมากอด ประคองนางนั่งลงบนเก้าอี้ ย่อตัวลงข้างกายนางพลางจ้องมอง “สุ่ยเลี่ยน?” เขาลูบไล้สองมืออ่อนละมุนของนางพลางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ไม่เข้าใจว่านางทำไมอยู่ๆ ขมวดคิ้วไม่พูด
“อาเย่า ครั้งหน้า…ครั้งหน้าอย่าเข้าป่าเสี่ยงอันตรายอีกเลยนะ” นางเอ่ยสิ่งที่ติดค้างในใจออกมาอย่างเป็นห่วง
“ทำไม?” หลินซือเย่าลูบคิ้วนางที่กำลังขมวดให้คลายออก
“ข้า…ข้ากลัวมาก กลัวเจ้า…” ซูสุ่ยเลี่ยนเพิ่งเอ่ยออกมาไม่กี่คำก็พบว่าตนเองอาจคิดมากไป ฝีมือเขาดีเช่นนี้ จะเกิดเรื่องได้อย่างไร ดังนั้นจึงเก็บวาจาที่ยังไม่ได้พูดออกมากลับคืนลงไป ก้มหน้าบิดผ้าเช็ดหน้า ไม่รู้ควรเอ่ยอะไรต่อดี
“เหอะ เหอะ…” หลินซือเย่าหัวเราะเบาๆ กอดนางแนบอก “เป็นห่วงข้าหรือ”
ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินเสียงที่แต่ไรมาก็มีแต่ความเย็นเยียบของเขายามนี้แฝงน้ำเสียงขบขัน ก็อดหน้าแดงลามไปถึงใบหูไม่ได้
“ข้าไม่เป็นอะไรหรอก วันนี้เสี่ยวเสวี่ยวิ่งออกไปไกล” หลินซือเย่าอธิบายน้ำเสียงแผ่วเบา คิดถึงลูกหมาป่าไม่ได้กลับเข้าป่านาน พอปล่อยเข้าป่าก็วิ่งทะยานออกไปไกล วิ่งไปไกลมากกว่าจะนึกได้ว่าต้องกลับ
“อืม” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้า หน้าแดงยังคงแดงอยู่
“กินข้าวกันก่อนเถอะ กินเสร็จค่อยคุยกันต่อ” หลินซือเย่าคีบหมั่นโถวค่อยๆ ใช้พลังภายในทำให้ร้อน ก่อนจะฉีกตรงกลางออก คีบผัดเนื้อเปรี้ยวหวานใส่ลงไปส่งให้ซูสุ่ยเลี่ยน ยังเทน้ำชาร้อนให้นางอีกแก้ว ส่งสายตาบอกให้นางค่อยๆ กิน จากนั้นตนเองจึงได้เริ่มกินอาหารตาม
……
“เอ๋? เจ้าบอกว่าต้าเป่าคิดจะขอฝากตัวเป็นศิษย์เจ้าหรือ” หลังอาหารค่ำ สองคนอาบน้ำเสร็จก็ปิดประตูหน้าต่างกำลังเตรียมเข้าห้องนอน
หลินซือเย่าอาบน้ำเสร็จก็สวมชุดตัวใน มือถือตะเกียงน้ำมันอยู่มือหนึ่ง จูงมือซูสุ่ยเลี่ยนอีกมือหนึ่ง พลางเล่าเรื่องเถียนต้าเป่าที่คิดฝากตัวเป็นศิษย์เขาให้นางฟัง
ซูสุ่ยเลี่ยนรู้สึกแปลกใจ เถียนต้าเป่าไม่ใช่ว่าสติปัญญาบกพร่องไม่ใช่หรือ ทำไมอยู่ๆ คิดจะมาขอเป็นศิษย์หลินซือเย่าได้ แต่หลินซือเย่าเล่ามาก็น่าจะคิดเรื่องนี้อยู่ในใจแล้ว
“อืม คิดว่าเพราะเขาเห็นข้าใช้วิชาตัวเบา เลยอยากรู้อยากเห็นกระมัง” หลินซือเย่าพยักหน้า ประคองนางมานั่งที่ขอบเตียง ตนเองจัดการดับไส้ตะเกียงเสร็จก็วางไว้ที่โต๊ะกลมก่อนจะคลำหาทางขึ้นเตียงกอดซูสุ่ยเลี่ยนนั่งพิงหัวเตียง อืม ความรู้สึกนี้ช่างอิ่มเอมใจ หลินซือเย่าแย้มยกมุมปาก แอบขโมยจุมพิตนางทีหนึ่ง
“เจ้ารับเขาไว้ไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนเผยอรับริมฝีปากเขาท่าทางเขินอาย สองมือยันหน้าอกเขาไว้
“เปล่า” หลินซือเย่าส่ายหน้า เดิมเขาไม่เคยคิดรับศิษย์ แต่ว่าพอกลับมาเห็นนางก็คิดว่าวันหน้าหากนางมีลูกให้ตน บางทีข้างกายมีคนรู้ยุทธ์ดูแลเพิ่มอีกสักคน ก็ใช่ว่าไม่ดี
“วันนี้ไม่คิดจุดตะเกียงปักผ้าหรือ” เขายิ้มกระเซ้าถาม ไม่อยากให้นางถามเรื่องเดิมต่อ แม้ว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กสติบกพร่อง เขาก็ไม่ยินยอม
ซูสุ่ยเลี่ยนย่อมฟังน้ำเสียงกระเซ้าของเขาออก อดทุบหน้าอกเขาไม่ได้ ยู่ปากกล่าวว่า “ก็เพราะกลัวเจ้าโมโหน่ะสิ”
“สุ่ยเลี่ยน…” หลินซือเย่าย่อมฟังออกว่านางยู่ปากกล่าว ถอนหายใจกล่าวว่า “ข้าไม่ได้โมโห แค่เป็นห่วงดวงตาเจ้า และหากนั่งอยู่นานๆ ไม่ขยับ จะเป็นผลเสียต่อร่างกาย”
“อืม ข้าย่อมเข้าใจ” ซูสุ่ยเลี่ยนอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดเขา กอดเขาไว้พลางฟังเสียงเต้นของหัวใจเป็นจังหวะหนักแน่นของเขา รู้สึกว่าเช่นนี้ช่างสบายใจจริง
“เข้าใจจริงหรือ” หลินซือเย่าเลิกคิ้วอมยิ้มกระเซ้าขึ้น ก่อนจะพลิกตัววางนางลงแนบเตียง ดึงปิ่นปักผมนางออก ปล่อยผมยาวสลวยของนางให้ทิ้งตัวลงบนหมอน
ซูสุ่ยเลี่ยนแม้ว่าผ่านคืนหฤหรรษ์กับเขามาแล้วสองคืน แต่ยามสบสายตาร้อนแรงดังเปลวเพลิงของเขาเช่นนี้ก็ยังอายจนไม่รู้จะทำอะไรต่อดี
“สุ่ยเลี่ยน…” หลินซือเย่าถอดชุดบางตัวนอกของเขาและนางออก พลางเรียกนางด้วยน้ำเสียงพร่าเบา ค่อยๆ ครอบครองร่างบางแผ่วเบา สองมือวาดผ่านร่างบาง “มีลูกให้ข้าสักคนดีไหม” เขากระซิบเสียงแผ่วข้างใบหูขาวผ่องของนาง
“ได้” ซูสุ่ยเลี่ยนตาพร่า พยักหน้าอย่างเขินอายทันทีจนสองแก้มแดง เสียงครางเบาๆ เปล่งดังออกจากลำคอของเขา สองริมฝีปากแตะกันอย่างไม่ตั้งใจก็ยิ่งทำเอาความรู้สึกยิ่งโหมทะยานขึ้น หลังม่านเตียงสองร่างพันพัวจนเตียงใหญ่แข็งแรงส่งเสียงดัง
……
ยามเช้าไก่ขันดัง ซูสุ่ยเลี่ยนก็ลุกขึ้นคิดจะข้ามตัวหลินซือเย่าที่นอนอยู่ด้านนอกออกไปล้างหน้าบ้วนปาก
วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ไม่อาจทำให้สี่ชุ่ยผิดหวัง สองวันแรกทำงานกันอย่างทรมาน งานปักเสร็จไปกว่าครึ่ง วันนี้หน้าที่นางก็คือปักวนเส้นขนปีกนกหงส์รอบหนึ่ง สี่ชุ่ยจะจัดการจันทร์เสี้ยวและทะเลสาบที่เหลือให้เสร็จ ภาพปักรูปหงส์เกี้ยวหงส์ผืนงามสุดยอดก็จะเสร็จด้วยฝีมือนางสองคน