ตอนนี้ซูสุ่ยเลี่ยนกำลังมุ่งมั่นอยู่กับการปักภาพหยางกุ้ยเฟยเมาสุรา พลางกำลังสนุกกับเรื่องราวซุบซิบที่ต้าเป่าเล่าจากการได้ยินป้าเหลากับป้าเถียนพูดกัน ทั้งสองหาเวลามาแลกเปลี่ยนกันเสมอ ข่าวใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองฝานฮัวจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก ลูกชายคนเล็กตระกูลฮัวที่ ‘แต่งออก’ ไปอยู่ตระกูลร่ำรวยในเมืองพาสตรีงามราวบุปผาหยกมาบ้านพี่ใหญ่เพื่อมอบของขวัญอวยพรปีใหม่
“อาจารย์ ข้าพูดจริงนะ ลูกสาวคนโตตระกูลฮัวที่สวยๆ นั่นถามข้าถึงท่านจริงๆ นะ” เถียนต้าเป่ากระโดดไปมายืนยันแล้วยืนยันอีกกับหลินซือเย่าที่กำลังนั่งยองอยู่บนสนามหญ้าริมท่าน้ำตากเห็ดป่าและเห็ดหูหนูที่ครั้งก่อนเข้าไปเก็บมาจากในป่า ยืนยันว่าตนไม่ได้โกหก
“ถามถึงข้าทำไม” หลินซือเย่าแค่นเสียงฮึในลำคออย่างไม่คิดอะไร
หากไม่ใช่ต้าเป่าเอาแต่เน้นย้ำว่าอีกฝ่ายเป็นสตรี เขาก็คงกังวลจะว่าเป็นสายลับที่หอเฟิงเหยาส่งมาหรือไม่ แต่หากเป็นหญิง…ฮา…นอกจากเฟิงชิงหยาอยู่ๆ เกิดนึกอย่างเปลี่ยนระบบ ไม่อย่างนั้นจากความเข้าใจของเขาที่มีต่อหอเฟิงเหยา ทุกคนในหอรวมกันห้าหกร้อยคน ในนั้นไม่มีสตรีแม้แต่คนเดียว
“นั่นข้าเองก็ไม่รู้เท่าไร เอ๋? อาจารย์ เป็นไปได้ไหมว่าถูกใจท่าน อยากแต่งท่านเข้าบ้านเป็นเขย? ฮาๆ…โอ๊ย…อาจารย์ไว้ชีวิตด้วย…ไว้ชีวิตด้วย…ข้าไม่กล้าอีกแล้ว…โอ๊ย…ได้ๆ…ข้าไปยืนตอไม้แล้ว…”
ต้าเป่าผู้น่าสงสาร เพิ่งจะใจกล้าเอาวาจาป้าๆ ที่ชอบพูดจามั่วซั่วนินทามาแซวอาจารย์รูปหล่อที่ปกติสีหน้าเย็นชาของตน ไม่คิดว่าจะถูกหลินซือเย่าใช้พลังฝ่ามือลมกรดบีบให้เขาไปฝึกบนตอไม้ที่เขาเกลียดที่สุด
ตอนยืนอยู่บนตอไม้อย่างไม่พอใจ ก็แอบเหลือบมองไปยังหลินซือเย่าที่ยังคงสีหน้าเรียบเฉยพลิกเห็ดที่ตากไปเรื่อยๆ ก็อดงึมงำกับตัวเองไม่ได้ว่า “ก็แค่ล้อเล่น รู้ว่าท่านมีอาจารย์หญิงแล้ว…แต่ว่านางผู้นั้นสวยก็สวยอยู่ แต่ไม่ได้สวยเหมือนอาจารย์หญิง…”
“ตั้งใจ! หรืออยากจะต่อช่วงบ่าย” หลินซือเย่าเหมือนได้ยินที่เขางึมงำ ส่งเสียงเตือนเยียบเย็นดังมา
“ทราบแล้วอาจารย์…” ต้าเป่าเบ้ปาก ไปยอดเขาซิ่วเฟิงฝึกกระบี่สนุกกว่าเดินตอไม้ฝึกยุทธ์มาก ก่อนจะตั้งสติเคลื่อนพลังภายในยกปลายเท้าขึ้น เริ่มเดินไปมาอย่างรวดเร็วบนตอไม้ ฝึกพลังฝ่าเท้าลมกรด
……
ก๊อก ก๊อก ก๊อก…
ยามบ่ายสายลมพัดอื้ออึง ยากจะได้ยินเสียงเคาะประตู
ซูสุ่ยเลี่ยนเอียงหูฟังอีกครู่หนึ่งอย่างอดสงสัยไม่ได้
ยามนี้หลินซือเย่าพาต้าเป่าไปฝึกกระบี่และตัดหญ้าเลี้ยงแพะที่ยอดเขาซิ่วเฟิง และปกติป้าเหลาและป้าเถียนที่อาจจะมาก็ย่อมรู้ว่าตอนนี้นางกำลังเร่งปักผ้า ย่อมไม่มารบกวนนางแน่ หรือหากเป็นนางสองคนจริง เสียงเคาะประตูก็ควรจะดังก้องกว่านี้และตะโกนเรียกชื่อนาง
…เช่นนั้นจะเป็นผู้ใด
“แม่นาง?” ซูสุ่ยเลี่ยนเปิดประตูด้านหน้าออกมา ยิ้มบางถามร่างที่ถูกลมพัดบิดเบี้ยวอยู่ด้านนอกนั่น จับจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง จึงนึกออกว่าเป็นนาง หญิงงามสะคราญที่มีวาสนาได้พบกันมาสามครั้ง ลู่หว่านเอ๋อร์ ยามนั้นได้แต่นิ่งอึ้งไปทันที
“เอ๋? ที่นี่ใช่บ้านคุณชายหลินซือเย่าไหม” ลู่หว่านเอ๋อร์พอเห็นว่าคนที่มาเปิดประตูคือนาง สตรีบอบบางอรชรที่อยู่ข้างกายชายในดวงใจนางตอนได้พบกันหลายครั้ง ในใจก็สะดุ้ง แต่วาจายังคงถามเป็นปกติ
ไอ้พวกบ้ารู้จักแต่เอาเงินสองคนนั่นทำไมไม่พูดให้ชัด! อ้อ ต้องโทษนางเองที่วู่วามด้วย คิดแต่จะหาที่พักชายในดวงใจ มาหาถึงที่จนลืมไปว่าต้องให้สืบก่อนว่าสตรีเกล้ามวยแบบสตรีออกเรือนเบื้องหน้าผู้นี้มีสถานะอะไร เป็นภรรยาที่แต่งงานกับหลินซือเย่า หรือว่ามีความสัมพันธ์อื่น
“แม่นางมาหาอาเย่า?” ซูสุ่ยเลี่ยนอึ้งตกใจถามขึ้น ในใจก็เริ่มมีความรู้สึกนึกไม่พอใจอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมา ลู่หว่านเอ๋อร์ผู้นี้ตกหลุมรักอาเย่ามากหรือ ถึงกับตามมาถึงบ้านได้
แต่ว่านางไม่รู้หรือว่าอาเย่าแต่งงานแล้ว หรือว่านางไม่สน ไม่สนใจว่าเป็นภรรยาเอกหรือน้อย ถึงกับไม่ต้องการสถานะ?
ซูสุ่ยเลี่ยนอยู่ๆ นึกถึงคุณแม่ที่เป็นดังอากาศในสายตาคุณพ่อนาง นางคงไม่มีศัตรูยากรับมือแบบแม่รองกระมัง
หลินซือเย่าจะเหมือนบิดานางไหม ยินยอมเลือกสตรีที่เป็นได้แค่ภรรยาน้อยก็ไม่ต้องการภรรยาที่ตกแต่งมาอย่างเปิดเผย
ฮึ…ก็จริง เพราะคุณแม่มีครอบครัวเดิมคอยหนุนหลัง คุณพ่อเลยไม่กล้าเลิกและไม่กล้าใส่อารมณ์ แต่นางเล่า ที่นี่ไร้ญาติขาดที่พึ่ง ไหนเลยจะสู้คุณหนูร่ำรวยตระกูลใหญ่มาจากในเมืองคนงามผู้นี้ได้
ฮึ…นางมาคิดเหลวไหลอะไรเนี่ย! อาเย่าไม่ใช่คนเช่นนั้นเสียหน่อย! ซูสุ่ยเลี่ยนคิดถึงตรงนี้ก็ส่ายหน้าแรง รีบสลัดสิ่งคาดเดาที่ผุดขึ้นมาในใจอย่างไร้ที่มาทิ้งทันที
ดูท่า ตัวอย่างจากคุณแม่นางส่งอิทธิพลต่อนางไม่น้อย! หากอาเย่ารู้ว่านางเอาเขาไปเทียบกับบิดาแล้งน้ำใจหลงแต่ภรรยาน้อยจนละเลยภรรยาเอก เขาจะถือโอกาสนี้ ‘ลงโทษ’ นางแรงๆ ไหมนะ
พอคิดถึงหลินซือเย่าที่เป็นไปได้ว่าอาจจะลงโทษนางแบบนั้นแล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนก็แอบใบหูแดงขึ้นมา
นางรีบหยุดความคิด จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะอมยิ้มกวักมือเรียกลู่หว่านเอ๋อร์ที่ถูกลมหนาวพัดจนเสื้อผ้าหน้าผมยุ่งไปหมดตรงหน้า “แม่นางลู่ ข้างนอกลมแรง หากไม่รังเกียจ เข้ามาคุยข้างในกัน”
“แค่กๆ…เจ้า…เจ้ารู้จักข้า?” ลู่หว่านเอ๋อร์ได้สติ ก็กระแอมไอถามอย่างเก้กัง
“อืม พวกเราเคยพบกันหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนมองนางอย่างรู้สึกขำอยู่บ้าง นางจำได้แม่น ครั้งแรกที่ลู่หว่านเอ๋อร์เผยความในใจกับอาเย่ายังเอ่ยบอกชื่อนางเองออกมาด้วย
ประเพณีธรรมเนียมแผ่นดินต้าหุ้ยนี้ก็แปลกนัก มีทั้งอนุรักษ์นิยมเหมือนชาวบ้านเมืองซูโจว แต่ก็มีประเพณีธรรมเนียมที่ใจกล้ามาก เช่นว่าสตรีเข้าร่วมงานร่ายบทกวีได้อย่างเปิดเผย เช่นว่าพบชายในดวงใจก็เข้าไปเชิญได้ด้วยตนเอง และยังเผยความในใจได้ด้วย…แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ย่อมต้องมีตัวอย่างก่อนหน้า สตรีเหล่านี้ย่อมต้องมาจากตระกูลที่ไม่ร่ำรวยก็ต้องมีศักดิ์ใหญ่
สำหรับสาวชาวบ้านปกติ หากไม่ยุ่งกับการช่วยบิดามารดาทำมาหากิน ก็กำลังเร่งสะสมสินเดิมไว้ออกเรือน ย่อมไม่มีเวลาว่างไปร่ายบทกวีวาดภาพจิบชาอะไรพวกนั้น ยิ่งไม่มีความมั่นใจมากเช่นนี้ มั่นใจถึงขั้นเชื้อเชิญชายที่พบหน้ากันแค่ครั้งเดียวและยังไม่รู้ประวัติครอบครัวเช่นนี้ได้
“อ้อ ใช่ ข้าคือลู่หว่านเอ๋อร์แห่งตระกูลลู่ในเมือง ขอถามหน่อย…” ลู่หว่านเอ๋อร์เปิดประเด็น ทำเอาซูสุ่ยเลี่ยนที่ดูอายุไล่กันและออกเรือนแล้วไม่รู้จะตอบอย่างไร
“ข้าเป็นภรรยาอาเย่า ชื่อซูสุ่ยเลี่ยน” ซูสุ่ยเลี่ยนตอบรับคำถามของลู่หว่านเอ๋อร์ด้วยการแนะนำตนเอง นางยอมรับว่าตั้งใจอยู่บ้าง คิดจะแสดงสถานะตนสกัดโอกาสที่ไม่ดีนักของลู่หว่านเอ๋อร์จริงๆ
“เข้ามาพักให้ร่างกายอุ่นก่อนเถอะ” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มบาง มองลู่หว่านเอ๋อร์ในชุดบางถูกลมพัดจนริมฝีปากเริ่มม่วง เชื้อเชิญเข้าบ้านตามมารยาท
และนางเองก็ทนลมหนาวที่หนาวเสียดกระดูกด้านนอกเช่นนี้ไม่ไหวจริงๆ อีกฝ่ายดูเหมือนไม่คิดอำลากลับแม้แต่น้อย ได้แต่เข้าไปคุยต่อในห้องโถง ในใจคิดถึงแต่ภาพปักหยางกุ้ยเฟยเมาสุราที่ปักได้แค่ครึ่งเดียว คิดแล้วคงต้องเสียเวลาตรงนี้อีกสักพักใหญ่
ลู่หว่านเอ๋อร์เข้ามาในห้องโถง ในใจก็อดตื่นเต้นไม่ได้
คิดไม่ถึง บ้านที่ดูจากภายนอกก็แค่ดูสะอาดสะอ้านเรียบง่าย ด้านในถึงกับจัดได้เช่นนี้…เอ่อ…หรูหราและอบอุ่น!
พื้นที่ในบ้านแม้จะเล็กไปสักหน่อย เครื่องเรือนที่จัดวางอาศัยมือสัมผัสก็พอสรุปได้ว่าเป็นไม้ล้ำค่าชั้นเยี่ยม ในสายตาลู่หว่านเอ๋อร์ดูแล้วก็น่าจะเทียบได้กับเครื่องเรือนไม้แดงสูงค่าชุดงดงามที่บ้านนางชุดนั้นได้
มองไปที่แท่นนั่ง มีเบาะนั่งและเก้าอี้นั่ง มีหมอนวางแขนและเบาะนั่งสีสันงดงามแวววาวด้วยฝีมือปักประณีต เงยหน้ามองไปยังอักษรมงคลคู่[1]ที่แสนจะเสียดแทงนัยน์ตาตรงบานประตูห้องนอน ลู่หว่านเอ๋อร์อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก
ก่อนหน้านี้นางมั่นใจได้อย่างไรว่า อาศัยรูปโฉมงามและตระกูลร่ำรวยย่อมกล่อมหลินซือเย่าให้ตามนางไปอย่างเชื่อฟังได้
“คุณหนูลู่ ที่บ้านมีแค่ชาซานเหมยป่าต้อนรับ ขออภัย” ซูสุ่ยเลี่ยนออกมาจากห้องครัวพร้อมกาน้ำชา เป็นชาที่นางผัดแห้งเอง แต่ดมแล้วกลิ่นหอมแตะจมูกไม่แพ้ชาชั้นยอดที่ขายกันในร้านชาใหญ่ๆ ในเมือง
“ขอบคุณมาก” ลู่หว่านเอ๋อร์รับถ้วยชามาค่อยๆ จิบไปคำหนึ่ง รู้สึกรสชาติไม่เลว คิดไม่ถึงว่าในหมู่บ้านเล็กๆ กลางป่าเขาห่างไกลจะได้ชิมชาดอกกุ้ยผสมซานเหมยที่กลิ่นหอมชื่นใจรสชาติดีเช่นนี้
นางเงยหน้าลอบสังเกตซูสุ่ยเลี่ยนที่นั่งอยู่ตรงหน้าอีกที ใบหนาอ่อนโยนงดงาม ท่วงท่ากริยาก็ดูสูงสง่า
“ไม่ทราบว่าคุณหนูซูเป็นคนที่ใด” ลู่หว่านเอ๋อร์อยู่ๆ ก็มีความรู้สึกลนลานหนึ่งผุดขึ้นมา ซูสุ่ยเลี่ยนน่าจะไม่ได้เป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ร่ำรวยจวนไหนกระมัง จากนั้นก็เม้มปากสะกดความคาดเดาที่ไม่มีทางจะเป็นไปได้นี้
ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็อึ้งไป ไม่ใช่เพราะนางถามถึงครอบครัวตน แต่เพราะคำเรียกขานที่ออกจากปากนางว่า ‘คุณหนู’ นั่นมันคำเรียกขานยกย่องสตรียังไม่ออกเรือนไม่ใช่หรือ นางไม่อยากยอมรับว่าตนมีสถานะเป็นภรรยาอาเย่าหรือ ยังคิดมั่นใจว่าอาเย่าจะสลัดนางทิ้งหันไปหานางหรือ
โอ๊ย ซูสุ่ยเลี่ยนแอบนึกด่าตนเอง ทำไมจึงได้สงสัยในคุณธรรมของหลินซือเย่า?!
กำลังคิดว่าจะตอบคำถามละลาบละล้วงของลู่หว่านเอ๋อร์อย่างไร ด้านนอกก็มีเสียงเสี่ยวฉุนร้องหงิงๆ ดังมา แสดงให้เห็นว่าหลินซือเย่ากับต้าเป่ากลับมาแล้ว!
ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มบางพลางพยักหน้าให้ลู่หว่านเอ๋อร์ “สามีข้ากลับมาแล้ว” นางแอบบอกว่า หลินซือเย่าคือสามีนางแล้วอย่างหญิงใจแคบ ไม่ใช่ชายคู่หมายของลู่หว่านเอ๋อร์ที่นางจะมาเมียงมองได้
ลู่หว่านเอ๋อร์ไม่ได้คิดไกลเพียงนั้น เพียงแต่ถูกคำพูดซูสุ่ยเลี่ยนที่ว่า “เขากลับมาแล้ว” กระทบโสตประสาทนาง จึงได้เริ่มลนลานในใจ
นางก้มหน้าลงจัดชุดหน้าหนาวแบบใหม่ที่ดูบางเบาเหมือนชุดฤดูใบไม้ผลิ เหน็บผมที่ถูกลมพัดจนยุ่งอยู่บ้างให้เรียบร้อย แย้มยิ้มงามที่นางคิดเองว่าทำให้ชายหวั่นไหวได้ เตรียมจะออกไปรับชายที่นางเฝ้าคิดถึงมาถึงครึ่งปีผู้นั้น
ซูสุ่ยเลี่ยนอึ้งมองลู่หว่านเอ๋อร์ที่ทำราวกับไม่เห็นนาง เดินเปิดประตูห้องโถงออกไปด้วยตนเอง มองไปทางหลินซือเย่าที่เพิ่งเดินเข้าลานบ้านวางมัดหญ้าเลี้ยงแพะแล้วไปหยุดยืนล้างมือข้างโอ่งน้ำ นางเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนยิ่ง “พี่หลิน!”
เยี่ยม! เริ่มจากคุณชายหลินก่อนหน้า ตอนนี้กลายเป็นพี่หลิน จากนี้ใช่ว่าจะเรียกอีกฝ่ายว่าสามีแทนนางไหม ซูสุ่ยเลี่ยนกุมขมับพูดไม่ออก ตามลู่หว่านเอ๋อร์ออกจากห้องโถงไป
ในใจแอบทอดถอนใจอย่างเสียไม่ได้อีกครั้ง วันนี้เสียเวลาไปมากจริงๆ พรุ่งนี้ยังไม่รู้ว่าจะเร่งอย่างไรจึงจะชดเชยคืนมาได้
————————————————
[1] อักษรจีนที่ไว้แปะในบริเวณบ้านตอนจัดงานแต่งงาน