หลังเซ็นสัญญาเสร็จ เจียงอิ้งเยว่ก็รั้งซูสุ่ยเลี่ยนคุยเรื่องทั่วไป
หลินซือเย่าก้มหน้าจิบชาไปเงียบๆ เงยหน้ามองซูสุ่ยเลี่ยนข้างกายที่สนทนาอย่างสนุกสนานอยู่เป็นระยะ บางทียังได้สบกับรอยยิ้มที่นางส่งมาเรื่อยๆ นางกลัวว่าจะทอดทิ้งเขาหรือ หลินซือเย่าแย้มยกมุมปาก ก้มลงจิบชาต่อไป
ตอนแรกเจียงอิ้งเยว่ก็เริ่มคุยอย่างมีมารยาททั่วไป ต่อมาก็เริ่มคุยสนุกจนลืมตัว แอบชื่นชมความรอบรู้ของซูสุ่ยเลี่ยน มั่นใจว่าซูสุ่ยเลี่ยนไม่ใช่คุณหนูตระกูลทั่วไปแน่
มองดูอากัปกิริยาที่ดูมีสง่าราศีเป็นธรรมชาติ ทำให้เจียงอิ้งเยว่อดนึกสงสัยสถานะแท้จริงของนางไม่ได้
เพียงแต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองตอนนี้ก็แค่เถ้าแก่กับหัวหน้าช่างปักผ้า นางไม่อาจถามตรงๆ ได้ อย่างไรก็เป็นเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย
หากเป็นดังที่ตนคาดเดา ซูสุ่ยเลี่ยนเป็นคุณหนูที่ลอบหนีมากับหลินซือเย่า แต่ฝีมือการปักผ้ามือเป็นหนึ่งนี่ก็ยังทำให้เจียงอิ้งเยว่แอบสลัดการคาดเดาของตนเองนี้ทิ้งไป
“เถ้าแก่ใหญ่ ตรวจสอบเสร็จแล้ว นี่คือผลการตรวจสอบ” ในตอนนั้นเอง คนงานที่เอาผลงานไปตรวจด้านหลังก็ออกมาพร้อมส่งกระดาษรายงานในมือให้เจียงอิ้งเยว่
เจียงอิ้งเยว่อ่านไปสิบบรรทัด กวาดตาอ่านเนื้อหาทั้งหมดในกระดาษจบ แววตาก็มีรอยยิ้มผุดขึ้นมามากยิ่งขึ้น เงยหน้าสบสายตาอยากรู้อยากเห็นของซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มกล่าวว่า “สุ่ยเลี่ยน ยินดีด้วย หยางกุ้ยเฟยเมาเหล้าเป็นผลงานปักระดับหนึ่งขั้นบน”
การค้าผ้าปักบนแผ่นดินต้าหุ้ยมีมาตรฐานชัดเจนสืบทอดกันมาประการหนึ่ง ทุกร้านปักล้วนต้องมีอาจารย์เฉพาะทางเพื่อประเมินมาตรฐานระดับงานปัก
ผลงานปักวัดกันที่ขนาด ความยากง่าย การวางแบบ ฝีมือปัก รวมหลากหลายด้านต่างๆ นี้ประเมินงานออกเป็นระดับหนึ่ง สอง และสาม หนึ่งคือดีที่สุด สองคือดี สามคือมาตรฐาน แต่ละระดับยังแยกเป็นขั้นบน กลาง และล่างอีกสามขั้น งานที่ไม่ได้แม้แต่ขั้นล่างของระดับสามถือว่าเป็นงานที่แย่มาก เป็นแค่สตรีที่รู้การเย็บปัก ไม่เหมาะจะเป็นผลงานสำหรับขาย เพราะแม้ว่ามีร้านค้าไหนเห็นแก่ราคาถูกจ้างเอาไว้ ก็เป็นผลงานที่เอาไว้เก็บใต้หีบเท่านั้น ไม่มีคนยอมซื้อ
ภาพครั้งก่อนของซูสุ่ยเลี่ยนกับสี่ชุ่ยร่วมกันทำอย่าง ‘หงส์เกี้ยวหงส์’ ได้รับการประเมินว่าขั้นบนของระดับสอง สี่ชุ่ยรับผิดชอบองค์ประกอบภาพที่มีความสำคัญในภาพระดับรองเท่านั้น ฝีมือเย็บปักก็แค่ได้มาตรฐาน
ภาพหยางกุ้ยเฟยเมาเหล้าได้รับตรวจประเมินอยู่ในขั้นบนระดับหนึ่ง เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเจียงอิ้งเยว่
ใช่ นางเคยคิดจริงๆ ว่าอาศัยฝีมือปักของซูสุ่ยเลี่ยน น่าจะได้การประเมินค่าเป็นระดับอันดับหนึ่ง เพียงแต่คิดนั้นเรื่องหนึ่ง พอได้เห็นเอง ได้ยินเอง ก็เหมือนแอบตกใจอยู่บ้าง
คิดถึงว่าพวกนางเจียงอิ้งเยว่กับเจียงอิ้งอวิ๋นสองพี่น้อง ทำการค้าผ้าปักมาสิบเอ็ดปี ไม่เคยได้รับประเมินผลงานขั้นบนระดับหนึ่ง ผลงานขั้นบนระดับหนึ่งเป็นการประเมินสูงสุดในหลายปีมานี้ ถึงตอนนี้มีเพียงสามภาพเท่านั้น หนึ่งในนั้นยังเป็นภาพจากฝีมือซูสุ่ยเลี่ยน
ทั่วเมืองฝานลั่ว ร้านปักผ้าไหนเคยมีผลงานผ้าปักขั้นบนระดับหนึ่งกัน? ไม่มีเลย! หากมีสักภาพ ร้านผ้าปักนั้นก็ย่อมเหนือกว่าร้านตน และได้กลายเป็นร้านปักผ้าอันดับหนึ่งในเมืองฝานลั่วไปแล้ว
ตอนนี้ช่างปักผ้าตรงหน้าที่ไม่เหมือนช่างปักผ้า ใช้เวลาแค่เพียงหนึ่งเดือนครึ่งก็ทำเอาบันทึกร้านปักผ้าเยว่อวิ๋นสิบเอ็ดปีนี้ต้องบันทึกใหม่ และยิ่งอาจเปลี่ยนประวัติงานผ้าปักเมืองฝานลั่วไปเลยทีเดียว
โชคดีมาก เจียงอิ้งเยว่แอบดีใจว่าตนเองได้เซ็นสัญญากับนางแล้ว ในหนึ่งปีนี้ ด้วยลักษณะการวางตัวของซูสุ่ยเลี่ยน น่าจะไม่ต้องกังวลว่าร้านผ้าปักอื่นจะมาแย่งชิงนางไปได้ อีกหนึ่งปีจากนี้ นางก็จะยังกล่อมซูสุ่ยเลี่ยนเอาไว้ให้ร่วมมือกับร้านผ้าปักเยว่อวิ๋นต่อ ส่วนเงินค่าจ้างนั้นขอเพียงเหมาะสม นางก็ย่อมออกหน้ารับงานแทนได้
……
“อาเย่า ไป พวกเราไปร้านอู่ชิ่นไจกินอาหารดีๆ กันสักมื้อ” ซูสุ่ยเลี่ยนดึงหลินซือเย่ามุ่งไปร้านอู่ชิ่นไจที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของถนนอย่างเบิกบานใจ
ภาพหยางกุ้ยเฟยเมาเหล้าเป็นผลงานที่ตรวจสอบแล้วว่าขั้นบนระดับหนึ่ง ทำให้นางได้รับรางวัลเพิ่มอีกยี่สิบตำลึง นี่เป็นเงินรายรับก้อนแรกตั้งแต่นางมาถึงแผ่นดินต้าหุ้ย มาตั้งรกรากที่เมืองฝานฮัว จะไม่ดีใจได้หรือ
“ได้” หลินซือเย่าอมยิ้มลูบแก้มป่องขึ้นเพราะรอยยิ้มของนาง ในใจก็แอบตกตะลึงคิดว่า นางดีใจเช่นนี้เพราะเงินยี่สิบตำลึง?
หวนคิดถึงเครื่องประดับที่นางเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งแล้วยังน่าตะลึงกว่า ไม่ว่าชิ้นไหนก็มีค่าหลายสิบตำลึง ในนั้นชิ้นหนึ่งยังมีค่ามากกว่าหลายร้อยตำลึง กอปรกับเงินของนางในตอนแรกที่มีกว่าห้าสิบตำลึง นางตอนนั้นก็ไม่เห็นใส่ใจเงินพวกนั้นนี่ ที่ควรจ่ายก็จ่ายไป ที่ควรใช้ก็ใช้ไป บางครั้งถึงกับแม้แต่เขาเองยังสงสัย นางรู้ค่าสภาวะราคาสินค้าจริงๆ ไหม
ใช่แล้ว ยี่สิบตำลึงได้มาจากการทำงานหนึ่งเดือนครึ่งของนาง ย่อมไม่เหมือนกัน
……
ตอนสองคนมาถึงร้านอู่ชิ่นไจ เป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี ห้องส่วนตัวในร้านจองเต็มหมดแล้ว มีแต่โต๊ะสำหรับสองคนที่มุมโถงด้านล่าง
สั่งอาหารขึ้นชื่อไปสองสามอย่าง เช่นไก่ขอทาน ปลาซงจื่อกุ้ย ผัดตั้งโอ๋ น้ำแกงห้าสี วางเต็มโต๊ะเล็กพอดี
“พี่เสี่ยวเอ้อร์ ช่วยเก็บเป็ดย่างหนังกรอบให้พวกเราสักสองตัว ปลายยามเว่ยจะมารับ” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มสั่งอาหารกับเสี่ยวเอ้อร์ที่เอาอาหารมาส่ง เตรียมเอากลับบ้านไปให้ต้าเป่า เสี่ยวฉุน และเสี่ยวเสวี่ยได้ลิ้มลองกัน
“ได้เล้ยยย ฮูหยินวางใจ ข้าจะไปกำชับพ่อครัว ตอนฮูหยินมารับแค่แจ้งเลขโต๊ะก็พอ” เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มร่ารับคำ ครั้งก่อนเขาต้อนรับซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่า หญิงโฉมงามอ่อนโยน ชายรูปงามเย็นชา คู่สามีภรรยาที่เหมาะสมกันเช่นนี้ ในพื้นที่ห่างไกลอย่างเมืองฝานลั่วหาได้ยาก ดังนั้นพบกันครั้งเดียวก็จำได้ติดตา
แขกอื่นๆ ที่มาใช้บริการในร้าน ก็แอบมองมาทางซูสุ่ยเลี่ยนอยู่เรื่อยๆ แววตาที่มองมามีความสนใจและอิจฉา…
หลินซือเย่าขมวดคิ้วไม่พอใจแค่นเสียงฮึขึ้นมา แผ่รัศมีเย็นเยียบโดยรอบขึ้นมาสกัดแววตาอิจฉาและเต็มไปด้วยความสนใจที่ส่งมาจากทุกมุมห้องโถงล่าง
“อาเย่า? เป็นอะไรไปหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินเสียงฮึของเขา จึงได้ละความสนใจจากอาหารตรงหน้า เงยหน้าขึ้นมองสีหน้าบึ้งตึงของเขา ถามอย่างเป็นกังวลว่า “ไม่สบายตรงไหนหรือ”
“ไม่เป็นไร คิดว่าที่นี่อึดอัดไปหน่อย” หลินซือเย่าเบนหน้ากลับมาอย่างดูไม่ธรรมชาตินักพลางหาเหตุผล
“อึดอัด?” ซูสุ่ยเลี่ยนมองไปรอบๆ อย่างนึกสงสัย หน้าหนาวในห้องก็อบอุ่นดีนี่ บางทีเขากับนางอาจไม่ชินกับการกินอาหารในโถงที่วุ่นวายเหมือนกันกระมัง
“อย่างนั้นพวกเรารีบกิน กินเสร็จไปหาซื้อของฉลองปีใหม่กัน” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มละมุนกล่าวขึ้น พลางคีบเนื้อปลาซงจื่อกุ้ยให้กับเขาชิ้นหนึ่ง ส่งไปวางในจานแบ่งของเขา
“ได้ เจ้ากินเยอะๆ” หลินซือเย่าเห็นดังนี้ ความไม่พอใจที่ผุดขึ้นมาก่อนหน้าก็มลายหายไปสิ้น ตักน้ำแกงห้าสีที่ทำจากไก่ฉีกเส้น ปลาเงินตัวเล็ก เต้าหู้เส้น หน่อไม้เส้น หูหลัวโปเส้นให้ซูสุ่ยเลี่ยนชามหนึ่ง กำชับนางให้กิน จากนั้นตนเองก็ก้มหน้ากิน
นางเป็นภรรยาเขาแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว ส่วนคนอื่นไม่ได้กินองุ่นแล้วอิจฉาตาร้อน เกี่ยวอะไรกับเขา
เพียงแต่หลินซือเย่าไม่คิดว่า แววตาที่ส่งมาจากรอบกายไม่เพียงแค่มาทางซูสุ่ยเลี่ยน แต่ยังมาที่เขาโดยเฉพาะ…เช่นว่าลู่หว่านเอ๋อร์ที่อยู่ทางหน้าต่างฝั่งตะวันตกของห้องโถง