วันที่ยี่สิบสี่เดือนสิบสอง หลังจากส่งเทพแห่งเตาขึ้นสวรรค์แล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่าก็เริ่มปีใหม่ปีแรกในเมืองฝานฮัวของเขาและนาง
หิมะใหญ่ส่งท้ายปีเก่ากระหน่ำไปทั่วเมือง ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ปกคลุมไปทั่วพื้นที่ และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก
โชคดีที่หลายวันก่อน หลินซือเย่าได้เรียนวิธีการจากชาวบ้านในเมืองฝานฮัว และจากการแนะนำของเถียนต้าฟู่ว่าให้คลุมแปลงผักด้วยผ้าอาบน้ำมันป้องกันหิมะทับถม เรียกว่าคลุม แต่ที่จริงก็คือการสร้างนั่งร้านไม้ขึ้นมาแล้วค่อยคลุมทับด้วยผ้าอาบน้ำมัน ทำเช่นนี้อย่างน้อยก็จะทำให้หิมะที่ตกหนักไม่ทับพืชผักในแปลงจนแข็งตาย
แน่นอนว่ากล้วยไม้หานหลันที่กำลังบานแย้มงามในตอนนี้ถูกหลินซือเย่าแบ่งออกไปใส่กระถางอย่างระมัดระวัง ไปปลูกในกระถางดินเผาสองใบ แบ่งวางไว้บนชั้นในห้องหนังสือและห้องนอน นับว่าได้อารมณ์การตกแต่งบ้านหน้าหนาวเดือนสิบสองนี้แล้ว
อีกเรื่อง เพื่อป้องกันบ้านเสี่ยวฉุนกับเสี่ยวเสวี่ยไม่ให้บ้านไม้โดนหิมะทับถม หลินซือเย่ายังย้ายบ้านไม้พวกมันไปไว้ใต้ชายคาทางใต้ของโถงกลาง หากอากาศดี เสี่ยวฉุนกับเสี่ยวเสวี่ยยังจะได้ตากแดด พอตกกลางคืนก็ย่อมให้เข้าไปนอนบนผืนหนังเสือขาวปูไว้ในมุมหนึ่งของห้องโถงได้ พวกมันชอบหนังเสือขาวแสนอบอุ่นผืนนี้มานานแล้ว
คู่ของเสี่ยวเสวี่ยก็คือราชาหมาป่า ตั้งแต่ครั้งนั้นที่มาเยี่ยมเสี่ยวเสวี่ยแล้วก็ไม่เห็นมันปรากฏตัวอีก
แต่เสี่ยวฉุนในระยะนี้ถึงกับคาบสัตว์ป่ากลับมาจากข้างนอกอยู่เรื่อยๆ ไม่เป็นกระต่ายตายเเล้ว ก็เป็นพวกไก่ป่าที่ตายแล้ว ถึงกับยังมีกวางลายที่เลือดไหลไม่หยุด หลินซือเย่าพอจะเดาได้ แต่ก็ไม่อยากพูดกระจ่าง ทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง คิดเสียว่าเป็นผลงานของเสี่ยวฉุน ยอมทำหน้าที่เป็นพ่อครัวแต่โดยดี ทำอาหารหลากหลายบำรุงครรภ์ให้เสี่ยวเสวี่ย
หลังจากที่กินเลี้ยงฉลองในวันเลี้ยงก่อนสิ้นปีไปวันก่อน เถียนต้าเป่าก็ตามนางเถียนไปเยี่ยมอวยพรมอบขวัญปีใหม่แก่ญาติมิตร แต่เพราะว่าหิมะตกหนักไม่หยุดช่วงนี้ คิดว่าคงต้องรอสักพักจึงจะกลับมาฝึกวิชากับเขาต่อได้
นางเหลาถือโอกาสที่หิมะยังไม่หนามากมากับลูกชายคนรองเหลาหย่งเฉียง เอาตะกร้าขนมเข่งมาอวยพรปีใหม่
เพราะว่าบ่ายวันนั้นหลังจากส่งเทพแห่งเจ้าขึ้นสวรรค์แล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่าก็ไปอวยพรปีใหม่บ้านเหลาและบ้านเถียน นำเอาเห็ดหอม เห็ดหูหนูขาวห่อใหญ่ไปให้ ยังมีไก่ป่า และปลาหลีอีกหกตัว
วันนั้นบ้านเถียนมอบของขวัญคืนกลับมาเป็นถั่วเหลืองห่อใหญ่ แป้งข้าวสิบชั่ง พร้อมกับขนมเปี๊ยะงาดำที่ไหว้เทพแห่งเตามา
ส่วนบ้านเหลา เพราะว่าทุกคนชอบกินขนมเข่งข้าวเหนียว ดังนั้นหลายวันนี้จึงไปต่อคิวโรงโม่ตระกูลเหวินเพื่อโม่แป้งข้าวเหนียวมาทำขนมเข่ง ปีนี้โม่ไปถึงหนึ่งร้อยแปดสิบชั่ง ได้บอกกับซูสุ่ยเลี่ยนไว้ก่อนแล้วว่าปีนี้พวกนางไม่ต้องโม่แป้งทำขนมเข่ง พวกเขาโม่มาทีเดียว ใส่ตะกร้าสานมาส่งหนักถึงห้าสิบชั่ง เพียงพอให้พวกซูสุ่ยเลี่ยนสองคนกินกันไปจนถึงปลายฤดูใบไม้ผลิก็ยังเหลือ
ตั้งแต่หิมะตก ซูสุ่ยเลี่ยนก็เอาแต่ขลุกอยู่บนตั่งอุ่น อยู่แต่ในห้องโถงที่อบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ แล้วยังเย็บรองเท้าหนังกวางหุ้มแข้งให้หลินซื่อเย่า ถูกต้อง ก็คือหนังกวางผืนที่ลอกออกมาจากกวางลายตัวนั้น หลังจากล้างไปหลายรอบ ทำให้นิ่ม อบให้แห้ง ก็เอามาเย็บเป็นรองเท้าหุ้มแข็งปิดทับรองเท้าผ้า น้ำก็จะไม่ซึมลอดรองเท้าผ้าง่ายๆ
แม้ว่าไม่สวยเท่าไร เพราะว่าเย็บเป็นรองเท้าหุ้มแข้ง ไม่อาจเก็บรอยเย็บไปไว้ด้านในได้
แต่ทว่าสวมใส่แล้วได้ผลดีมาก หลินซื่อเย่าสวมมันแล้วก็ไปที่อ่างเลี้ยงปลาทางลานทิศเหนือเตรียมจับปลาสองตัวมารมควัน เอาปลาสองตัวไปส่งห้องครัวแล้วก็มาเก็บผักที่ลานทิศใต้ เปิดผ้าอาบน้ำมันมุมหนึ่งขึ้น เก็บผักกาดขาวสองสามต้นและผักกวางตุ้งเขียวออกมา ยังขุดหัวมันเทศแดงสองสามหัวออกมา ก่อนจะไปเล้าไก่ รังกระต่าย คอกแพะ เติมฟางคลุมไว้ด้านบนให้พวกมัน เลี้ยงอาหารให้อิ่ม ไม่ลืมเก็บไข่ไก่ป่าที่เพิ่งออกในเล้าไก่นั่นมาด้วย
พอกลับมาถึงชายคาห้องโถง ก็สะบัดหิมะที่ติดตามรองเท้า ถอดเสื้อคลุมและหมวกสานออกก่อนเดินเข้าไปในห้องโถง
“เป็นอย่างไรบ้าง รองเท้าเปียกไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนเอาผ้าสะอาดออกมาผืนหนึ่งช่วยเขาปัดเกล็ดหิมะที่ยังติดอยู่ตามเสื้อผ้า
“ไม่” หลินซือเย่าอมยิ้มมองนางสาละวนปัดหิมะให้เขา เห็นนางเหมือนไม่เชื่อ จึงนั่งลงบนตั่งถอดรองเท้าหุ้มแข้งออก โบกไหวๆ ให้นางมาตรวจดู “แห้งมาก?” เขายิ้มแกล้งนาง
“อาจเพราะไม่นาน?” ซูสุ่ยเลี่ยนยังคงไม่อยากจะเชื่อว่าหนังกวางหุ้มรองเท้าผ้าด้านนอกแล้วจะได้ผลดีเช่นนี้
หลินซือเย่าได้ยินก็อดหัวเราะแกล้งหยอกต่อไม่ได้ “หน้าหนาวหิมะหนักอย่างนี้ เจ้ายังคิดให้ข้าสวมมันออกไปเดินทางไกลที่ไหนอีก?”
“ข้า…ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้” ซูสุ่ยเลี่ยนหน้าแดงเถือก อดโบกมือไหวๆ ปฏิเสธไม่ได้
สองแก้มแดงระเรื่อยิ่งขับกับชุดกระโปรงไหมสีเขียวใบบัวรัดเอวสูง ทับด้วยเสื้อสองชั้นของนาง ทำเอาหลินซือเย่าเริ่มหวั่นไหว
“อา…อาเย่า…” ซูสุ่ยเลี่ยนถูกเขาอยู่ๆ เข้าครอบครองริมฝีปากนาง ยังไม่ได้ทันได้เอ่ยปากห้ามก็ถูกเขากลืนลงท้องไปอีกหลายรอบ
“อา…อาเย่า…ตอนนี้…เพิ่งจะ…ยามเว่ย…” หรือก็คือยังกลางวันอยู่ นางถูกเขาครอบครองร้อนแรง เป็นนาน กว่าจะหายใจหอบถี่แทบไม่ทันออกมาได้ ส่งเสียงปฏิเสธขาดเป็นห้วงๆ
“ไม่เป็นไร” หลินซือเย่าเสียงแหบพร่าเอ่ยอู้อี้ พร้อมกับมือปัดโต๊ะเตี้ยบนตั่งนั่งออกไปอีกทาง อีกมือรั้งนางขึ้นมาวางราบไปบนตั่งอุ่น ก่อนจะขึ้นคร่อมร่างนางทันที
ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นเขาถึงกับจะกลืนกินนางที่ห้องโถงนี้ ใบหน้าก็เขินอายจนซีดทันที
“อาเย่า…” นางอยากจะบอกให้เขาหยุดการกระทำโหมกระหน่ำนี้ แต่กลับพบว่าตอนนี้วาจานางกลายเป็นเสียงครางไปแล้ว
“เด็กดี ไม่เป็นไร” หลินซือเย่าย่อมรู้สาเหตุที่นางตื่นกลัว ตวัดมือไปด้านหลังโดยไม่ต้องหันไปมอง ปิดประตูใหญ่สองบานเหนือใต้ดังปัง ประตูสองด้านปิดสนิทแล้ว
“สบายใจหรือยัง” หลินซือเย่ายิ้มมองซูสุ่ยเลี่ยนใต้ร่างที่เขินอายสั่นเทา ในใจก็มีความรู้สึกทะนุถนอมนางขึ้นมา “สุ่ยเลี่ยน ข้าเป็นสามีเจ้า ระหว่างสามีภรรยาไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘น่าอาย’” เขาใช้หลักการนี้โน้มน้าวนาง
“แต่ว่า…” ซูสุ่ยเลี่ยนขนตากระเพื่อมอย่างเขินอาย ในใจรู้ว่าเขาพูดมาอาจไม่ผิด แต่นางได้รับการอบรมมาแต่เล็ก อย่างไรนางก็ยังไม่อาจเปิดกว้างเช่นนั้นได้
“หรือว่าในใจเจ้ายังไม่เห็นข้าเป็นสามี?” หลินซือเย่างึมงำเหมือนไม่พึงใจ อารมณ์ขึ้นมาถึงขั้นนี้แล้ว
ปากพูดไป แต่ก็ไม่ลืมที่จะไล่จุมพิตหน้าผากนูนอิ่มและคิ้วโค้งงามของนาง ค่อยๆ เลื่อนลงไปยังจมูกเล็กๆ ของนาง ไปยังใบหูขาวนุ่มนิ่ม ริมฝีปากแดงนุ่มนิ่ม สุดท้ายก็อ้อยอิ่งไม่ไปไหนอีก รอให้นางตอบรับเขา
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ทำไมเจ้าพูดกับข้าแบบนี้” ซูสุ่ยเลี่ยนรีบโต้กลับความคิดเขา ไม่ทันสังเกตว่าเขากำลังแอบเปิดทางลงเพาะปลูกแล้ว
“ไม่อย่างนั้นสาเหตุคืออะไร” หลินซือเย่าดูดกลืนกลีบปากนางพลางรุกถาม
“อืม…” นางอดครางเบาๆ ไม่ได้ ก่อนจะพบว่าเขาฉวยโอกาสที่นางไม่ทันสังเกต ถึงกับถอดเสื้อตัวนอกของเขาและนางทิ้งแล้ว ยังเลิกเสื้อนางขึ้น มือหนึ่งสอดเข้ามากระโปรงนางแล้ว โอ สวรรค์ ซูสุ่ยเลี่ยนอายจนไม่อาจเป็นตัวของตัวเองแล้ว
“สุ่ยเลี่ยน…ภรรยาข้า…” เขางึมงำ ก้มหน้าลงครอบครองความนูนขาวงามเด่นของนาง นางได้แต่ครางจนไม่อาจคิดไตร่ตรองอะไรได้อีก เขาค่อยๆ แทรกกายเข้าสู่ร่างงาม…
นอกห้องหิมะตกหนัก ในห้องฤดูใบไม้ผลิแย้มบาน
เสี่ยวฉุนเสี่ยวเสวี่ยขดตัวอยู่ในบ้านไม้นอกห้องโถง แอบเงี่ยหูฟังเสียงเคลื่อนไหวประหลาด ครางฮือเหมือนคนป่วยในห้อง บางทีก็สะบัดหางสองที ชื่นชมเกล็ดหิมะที่พัดปลิวอยู่ตรงหน้า
ในใจก็แอบภาวนาว่า เจ้านาย อย่าลืมอาหารเย็นตรงเวลานะ เสี่ยวเสวี่ยตั้งท้องนะ ไม่กินมื้อหนึ่งหิวตายได้นะ
…..
หิมะตกหนักครั้งแรกแห่งปีมาตั้งแต่คืนวันฉลองก่อนสิ้นปี ตกมาได้สามวัน มาจนถึงเช้าวันที่ยี่สิบสี่เดือนสิบสองจึงได้หยุด
หลังหิมะตกหนัก แดดหน้าหนาวก็แสบตามาก
หลินซือเย่าตื่นเช้าไปกวาดหิมะ ทำความสะอาดก้อนหินชิงจวนที่ปูลาดระหว่างลานทิศเหนือทิศใต้จนสะอาด
ส่วนทางเดินหมู่บ้านนอกบ้าน เพราะหิมะทับถมหนามาก ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีคนเดินผ่านไปมา ดังนั้นมองไปไกลๆ ก็จะเห็นที่นารอบๆ ต่อกันเป็นผืนสีขาวกว้างไกลเต็มผืน
คิดถึงของไหว้รับเทพเจ้าเตาลงมาจากสวรรค์ก็เตรียมพร้อมแล้ว ของกินทั้งครอบครัวก็คงพอให้ไปถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นหลินซือเย่ากับซูสุ่ยเลี่ยนจึงได้ไม่คิดย่ำหิมะออกจากบ้าน
ส่วนเสี่ยวฉุนทุกห้าวันต้องวิ่งไปรอราชาหมาป่าที่ปากทางขึ้นเขาต้าซื่อ เพียงแต่ว่าตอนนี้หิมะตกคลุมทั่วเขา คิดว่าราชาหมาป่าเองก็คงล่าอะไรไม่ได้ ดังนั้นเสี่ยวฉุนจึงได้เหลือน่องไก่ป่าส่วนของตนไว้ คาบวิ่งไปที่ปากทางขึ้นเขาต้าซื่อซานอย่างรวดเร็ว
ตอนกลับมา ปากคาบน่องไก่ป่าเปลี่ยนเป็นคาบผลจูกั่วแดงราวผลอิงเถามาด้วย
หลินซือเย่ารับผลจูกั่วที่ขนาดเท่าผลส้มมาดูผลหนึ่ง คิ้วดาบเลิกขึ้น ในใจก็ตกใจไม่น้อย นี่มันคงไม่ใช่ผลจูกั่วเทพเจ้าในตำนานกระมัง
ว่ากันว่าผลจูกั่วสิบปีออกดอกครั้งหนึ่ง สิบปีให้ผลครั้งเดียว และต้องรออีกสิบปีจึงสุก ส่วนใหญ่สุกอยู่ตอนหิมะตกปิดพื้นที่ในหน้าหนาว
ดังนั้นเรื่องประสิทธิภาพหลังกินผลจูกั่วจึงยิ่งเป็นที่กล่าวขานของคนทั่วไป
ที่ชาวยุทธภพกล่าวถึงมากที่สุดก็คือเรื่องจำพวกว่าช่วยเสริมพลังภายในได้หกสิบปี
สำหรับชาวบ้านกินแล้วได้ผลเช่นไรก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง อายุยืนยาว โรคภัยหายหมด ชายเพิ่มพลังหลายส่วน หญิงก็ย่อมน่าหลงใหลหลายส่วน…แน่นอน ล้วนเป็นแค่ตำนาน
หลินซือเย่ายิ้มส่ายหน้า ก่อนจะโยนผลจูกั่วใส่ลงในชามของเสี่ยวเสวี่ย ในเมื่อราชาหมาป่าเด็ดมาให้คู่มัน ก็ย่อมไม่ใจร้ายเก็บไว้เอง ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับเขาที่พลังเข้าสู่ความเต็มขั้นแล้ว ผลจูกั่วไม่ได้ผลกับเขาเท่าไรแล้ว แต่หากเป็นสุ่ยเลี่ยน หากมีโอกาสก็น่าลองสักหน่อย แต่ว่าตอนนี้ก็ไว้ก่อน เสี่ยวเสวี่ยท้องอยู่ ต้องการการบำรุงขนานใหญ่