หลังกินอาหารกลางวันที่บ้านเถียนเสร็จก็ขอตัวกลับ มือหนึ่งหลินซือเย่าถือเหล้าเกาเหลียงไว้ไหหนึ่ง อีกมือจูงมือซูสุ่ยเลี่ยนเดินมาตามเส้นทางเดินในหมู่บ้าน ค่อยๆ เดินสบายๆ ตากแดดอบอุ่นกลับบ้านถือเป็นการเดินย่อยอาหาร
น้ำแข็งบางๆ บนเส้นทางเดินในหมู่บ้านละลายไปหมดแล้ว มองไปร่องคันนารอบๆ หลังคาและรั้วแต่ละบ้านยังมีก้อนหิมะหนาสะสมอยู่ ท่ามกลางแดดอบอุ่น กระทบกันส่องแสงระยิบงาม ช่างงดงามน่าหลงใหลยิ่ง
ยามบ่ายหน้าหนาวที่แทบไม่มีลมแสนเงียบสงบนี้ทำให้คนรู้สึกสบายจนแทบอยากจะอยู่อย่างนี้ต่อไปนานๆ
“วันเวลาเช่นนี้มีความสุขจริง ใช่ไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มอ่อนโยน
“อืม” หลินซือเย่าอมยิ้มจ้องมองใบหน้านางงดงามน่าหลงใหลท่ามกลางแสงระยิบสะท้อนหิมะขาว พยักหน้ารับคำ
ซูสุ่ยเลี่ยนหันไปมองพลางแอบอมยิ้ม
อยู่ๆ นางก็รู้สึกขอบคุณแม่รองกับสุ่ยเยี่ยนที่ทำให้นางได้มาที่นี่ ได้มาพบกับชายตรงหน้าที่ดูเหมือนน้ำแข็งเย็นเยียบยากเข้าใกล้ เงียบไม่ค่อยพูดจา หากร้อนแรงดังไฟ อ่อนโยนเอาใจ ทำให้อีกครึ่งชีวิตนางจากนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนยามอยู่ตระกูลซูที่ต้องวางท่าทางนิ่งสงบเรียบร้อย แต่ในใจแสนอ้างว้างเงียบเหงา…
……
วันที่สามสิบส่งท้ายปี ในที่สุดเสียงประทัดดังในเมืองฝานฮัวก็ดังขึ้นเหมือนนัดกันไว้
เช้ามาสองคนกินโจ๊กธัญพืชร้อนๆ ไปชามหนึ่งกับหมั่นโถวเสร็จ ซูสุ่ยเลี่ยนก็ถูกไล่ออกจากห้องครัวไปตามระเบียบ กลับห้องนอนไปจัดการเตียงนอนและเสื้อผ้าด้วยอาการแทบอยากจะร้องไห้
หลินซือเย่ายุ่งกับงานในครัวเสร็จ ก็จะยกน้ำพร้อมผ้าสะอาดออกจากห้องครัว
ไปจัดการเช็ดหน้าต่างก่อน แล้วต่อไปที่ห้องทางตะวันตกและตะวันออก จากนั้นก็เป็นบานประตูโถงหน้าและห้องครัวเหนือใต้สองบาน สุดท้ายจึงเป็นประตูสองบานที่รั้วบ้านบานใหญ่ สรุปหลินซือเย่าจัดการเช็ดประตูหน้าต่างทั้งบ้านอย่างเรียบร้อยรอบหนึ่งจนไม่มีฝุ่นสักนิด ก่อนจะหยิบอักษรมงคลและกลอนคู่มงคลที่ซูสุ่ยเลี่ยนเขียนอย่างดีใจเมื่อวานตอนบ่ายไปแปะไว้ที่บานหน้าต่างและประตู
นอกจากประตูใหญ่ด้านหน้ารั้วกับประตูเหนือใต้ห้องโถงกลางสองบานนั้นที่มีกลอนมงคลคู่เขียนถึงฤดูใบไม้ผลิ ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่อะไรพวกนี้ที่เป็นวาจามงคลแล้ว ที่เหลือทั้งประตูและหน้าต่างก็ติดอักษรมงคลคำว่า ‘โชคดี’ สีแดงสด และยังติดกลับหัวเพื่อให้ได้คำพ้องเสียงกับคำว่ากลับหัวสื่อความหมายว่า ‘โชคดีมาถึงแล้ว’ อีกด้วย
เสี่ยวฉุนวิ่งรอบหลินซือเย่าที่กำลังทำงานอยู่หลายรอบ สุดท้ายคาบเอาอักษร ‘โชคดี’ วิ่งส่ายไปมากลับไปที่ประตูบ้านไม้หลังน้อยของมันกับเสี่ยวเสวี่ย เสี่ยวเสวี่ยที่กำลังนอนสัปหงกตากแดดหน้าบ้านไม้ของพวกมันหรี่ตามองส่งเสียงหอนดังโบร๋วๆ หลายที ราวกับจะบอกว่า เรื่องดีน่าสนุกเช่นนี้ พวกเราก็มาแปะเล่นบ้างละกัน…
แน่นอน สิ่งที่ตอบรับพวกมันกลับมาก็คือเสียงฮึอย่างไม่พอใจ
ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นดังนี้ก็ขำเข้าไปรับอักษร ‘โชคดี’ จากปากเสี่ยวฉุน ติดกาวแป้งข้าวเหนียวแปะไว้เหนือประตูบ้านไม้พวกมัน ลูบหัวเสี่ยวฉุนสัพยอกเล่น “เป็นอย่างไร? เหมือนบ้านแล้วไหม”
โบร๋ว โบร๋ว โบร๋ว… เสี่ยวฉุนส่ายหน้าสะบัดหางตอบภาษาหมาป่า จากนั้นก็ไปหมอบนอนข้างเสี่ยวเสวี่ย หรี่ตารับแสงแดดอบอุ่น
นับวันยิ่งรู้จักเสพสุขแล้วนะเนี่ย! ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นดังนี้ก็อดยิ้มตาหยีไม่ได้ ในใจแอบชื่นชมไม่หยุด เสี่ยวฉุนกับเสี่ยวเสวี่ยยิ่งรู้ความขึ้นทุกวันแล้ว นางถึงกับรู้สึกได้ว่าพวกมันฟังภาษาคนออก บางครั้งยังโต้ฝีปากได้ด้วย เพียงแต่นางฟังภาษาหมาป่าไม่เข้าใจเท่านั้น พอคิดได้เช่นนี้ อย่างนั้นหมาป่าก็ฉลาดกว่าคนสินะ
ซูสุ่ยเลี่ยนแอบส่ายหน้าขำ ตักน้ำสะอาดใส่ชามใหญ่ให้เสี่ยวฉุนกับเสี่ยวเสวี่ยที่กำลังมีความสุขกับแสงแดดอบอุ่น ก่อนจะเดินเข้าห้องโถงไป
ใกล้บ่ายแล้ว พระอาทิตย์ก็ใกล้ขึ้นกลางท้องฟ้าแล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนตัดสินใจว่าอาศัยจังหวะที่อากาศยังดี เอาผ้าห่มและที่นอนออกไปตากแดดสักหน่อยดีกว่า ไม่เพียงแต่ขจัดฝุ่นเชื้อรา คืนนี้นอนแล้วก็จะรู้สึกแห้งสบายหน่อย
หลินซือเย่าแปะอักษร ‘โชคดี’ เสร็จ ก็เดินเข้ามาในห้องครัวอย่างพึงพอใจ เริ่มเตรียมอาหารกลางวัน
เนื่องจากปลายยามเว่ยก็จะเริ่มไหว้เทพแห่งเตา ไหว้บรรพบุรุษ ราวยามเซินก็จะได้เริ่มกินอาหารส่งท้ายปี ดังนั้นหลินซือเย่าคิดว่าตอนเที่ยงกินอะไรง่ายๆ สักหน่อยดีกว่า ไม่อย่างนั้นคืนนี้อาหารมื้อใหญ่ที่ตั้งใจเตรียมไว้มากมายก็คงต้องสิ้นเปลืองแล้ว
“สุ่ยเลี่ยน ตอนเที่ยงต้มหมี่กินเอาไหม” คิดๆ แล้ว หลินซือเย่าเดินมาที่ลานตากริมแม่น้ำทางด้านใต้ของบ้าน มองไปทางซูสุ่ยเลี่ยนที่กำลังตากผ้าห่มและที่นอนอยู่ เอ่ยเสนอขึ้น
“ได้ ข้าอยากกินหมี่เพี่ยนร์ชวน” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มตาหยีขอกิน หมี่เพี่ยนร์ชวนซึ่งเป็นหมี่น้ำมีชื่อของเมืองหังโจวที่หลินซือเย่าทำอร่อยกว่าพ่อครัวใหญ่ตระกูลซูเสียอีก ทำเอานางกินไม่เคยเบื่อ
หลินซือเย่าพยักหน้าขำ ก็แค่หมี่ชามหนึ่ง อร่อยอย่างไรก็ไม่เหมือนอาหารรสเลิศราคาแพงพวกนั้น แต่นางแสดงท่าทางเบิกบานใจเช่นนั้น ทำให้เขาอดแอบสงสัยไม่ได้ว่ารสชาติหมี่เพี่ยนร์ชวนที่เขาทำนั้นอร่อยถึงขึ้นนี้หรือ
หมี่เพี่ยนร์ชวนนี้ ตอนเขาทำงานที่ร้านน้ำชาแอบเรียนจากภรรยาเถ้าแก่ ตอนแรกก็คิดง่ายๆ แค่ว่า เอาไว้เลี้ยงตนเองให้อิ่มท้อง เพียงแต่ต่อมาถูกประมุขหอรับไปเป็นศิษย์ จากนั้นส่งขึ้นเขาไปฝึกวิชา เรียนสำเร็จกลับมาก็ค่อยๆ กลายเป็นนักฆ่าซือหลิงอันดับหนึ่งแห่งหอเฟิงเหยา…บางครั้งก็งานยุ่งจนแทบจะไม่มีเวลานอน ดังนั้นจึงทำให้ไม่มีเวลาว่างทำอาหารให้ตนเองกิน
ตอนนี้เขามีเวลา ค่อยๆ นวดแป้งช้าๆ ก่อนจะตัดเป็นเส้นละเอียด จากนั้นก็ไปล้างผักดอง หั่นเนื้อเป็นเส้น ซอยหน่อไม้และหูหลัวโปให้เป็นเส้น…ไม่ว่าของอะไรที่เอามาทำเป็นเครื่องได้ก็ถูกเขาเอามาซอยหั่นเป็นฝอยทั้งเตรียมไว้ทั้งหมด…
คิดถึงเขาที่เคยเป็นเทพสังหารคิดราคาตามเวลา ตอนนี้มายอมใช้ชีวิตในห้องครัวไม่เร่งรีบ ปล่อยเวลาผ่านไปสบายๆ หั่นนั่นล้างนี่ ก็เพื่อทำหมี่เพี่ยนร์ชวนให้แก่สตรีที่เขารัก นางอยากกิน
หากมีสหายเก่าแก่ที่เขารู้จักกันเมื่อก่อนรู้เข้า อาจจะหัวเราะจนฟันร่วง แต่ตอนนี้เขายินยอมเช่นนี้ด้วยใจ
……
หลังอาหารกลางวันพักผ่อนสักครู่ ไปนั่งขลุกกันบนตั่งอุ่นจิบชาขู่เฉียวดำหอมกรุ่น จนปลายยามอู่ จึงได้ลุกไปเตรียมของสำหรับอาบน้ำสิ้นปี
หลินซือเย่าไปห้องครัวต้มน้ำร้อน เตรียมใบส้มอิ้วมาอาบ เพราะคำว่า อิ้ว มีเสียงพ้องกับคำว่า อิ้วที่แปลว่าปกป้อง จึงอาบแล้วจะทำให้เป็นมงคลปลอดภัย ซูสุ่ยเลี่ยนไปห้องนอนเตรียมชุดเปลี่ยนหลังอาบย้ำสำหรับสองคน
ตอนนี้ที่อบอุ่นที่สุดในบ้านไม่มีที่ไหนอุ่นไปกว่าห้องโถง เพราะจุดฟืนอังความร้อนส่งเข้าใต้ตั่งนั่งอุ่นไว้ทั้งวัน
ดังนั้นหลินซือเย่าก็ปิดประตูใหญ่ฝั่งด้านใต้ของห้องโถง เสี่ยวฉุนกับเสี่ยวเสวี่ยที่กำลังตากแดดอยู่ลานทางใต้ด้านนอกจะได้ไม่วิ่งเข้ามาทำเสียงาน ซูสุ่ยเลี่ยนจะได้อาบน้ำในห้องโถงได้อย่างสบายใจ
ส่วนเขาจะไปยืนเฝ้าหน้าประตูฝั่งด้านเหนือ ตั้งใจเงี่ยหูฟังหากเกิดเหตุผิดปกติ พอซูสุ่ยเลี่ยนอาบเสร็จ เขาก็จะเข้าไปจัดเก็บให้สะอาด ตนเองไปอาบน้ำเย็นในห้องครัวได้ไม่มีปัญหา
สองคนอาบน้ำเสร็จก็เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่อย่างสดชื่น
ซูสุ่ยเลี่ยนสวมกระโปรงรัดเอวแบบสองชิ้นพื้นสีแดงผลอิงเถา ปักลายดอกเหมยด้วยไหมทองสองเส้น เข้ากันกับชุดคลุมตัวนอกสีแดงผลอิงเถา
หลินซือเย่าสวมชุดยาวรัดเอวแบบบัณฑิตสีเขียวหม่น เข็มขัดกว้างปักใบไผ่ด้วยไหมเงินขับกันกับใบไผ่เขียวชอุ่มที่ปลายชุด
แต่งกายเข้ากับผมยาวรัดสูงของเขา ช่างเป็นความสง่าสูงส่งเฉกเช่นบัณฑิตหนุ่ม ส่วนชุดยาวตัวนอกสีเข้มปักลายสนของเขานั้น เขาตัดใจใส่ไม่ลง เขาเองก็ไม่ได้กลัวหนาวจริงๆ สรุปเวลาส่วนใหญ่ เขาก็ไม่ค่อยเอาออกมาใส่ หากหนาวเหน็บถึงกระดูกจริงยามลมเหนือพัดมา หรือว่าจะออกไปข้างนอก ซูสุ่ยเลี่ยนจึงจะกำชับให้สวมชุดยาวตัวนอกหน้าหนาวให้อบอุ่นป้องกันร่างกาย
สองคนเปลี่ยนชุดใหม่ ก่อนจะเริ่มเตรียมของไหว้
เริ่มจากไหว้รับเทพแห่งเตากลับโลกมนุษย์
รับและส่งเทพแห่งเตานั่นแท้จริงแล้วเหมือนกัน ก็คือยังคงเทียนหนึ่งคู่ ธูปสามดอก น้ำชาหนึ่งแก้ว เหล้าหนึ่งแก้ว น้ำตาลทรายหนึ่งแก้ว น้ำสะอาดหนึ่งแก้ว ผลไม้สองจาน ขนมสี่จานเล็ก อาหารคาวหกอย่าง อาหารผักอีกหกอย่าง ข้าวสวยชามหนึ่ง…สรุปนำของดีที่มีในบ้านทั้งหมดมาตั้งบนโต๊ะบูชาทีละอย่างให้หมดเพื่อบูชาเทพแห่งเตา
ก่อนปีใหม่ส่งเทพแห่งเตาขึ้นสวรรค์ เทพเจ้ารับการบูชาด้วยเหล้าและอาหารดีๆ ไป เพราะตำนานเล่าว่าเทพแห่งเตาช่างกินมาก ว่ากันว่ากินของคนอื่นแล้วย่อมพูดยกยอดี หวังว่าเทพแห่งเตาขึ้นสวรรค์ไปรายงานเรื่องราวในโลกมนุษย์ ก็จะไปกราบทูลเง็กเซียนฮ่องเต้แต่เรื่องดีๆ วาจาดีอะไรก็ไม่กล้าคิด แต่อย่างน้อยอย่าพูดไม่ดี หวังว่าปีหน้าสวรรค์จะประทานลมฝนอุดม พืชพันธุ์ธัญญาหารบริบูรณ์ดี
พอปีใหม่มาก็ต้อนรับเทพแห่งเตากลับมา บูชาด้วยอาหารและเหล้าดีอีก ก็เพื่อขอบคุณท่าน หรือไม่ก็ทำให้ละอายใจ หากท่านพูดจาดีก็ย่อมควรได้รับรางวัลและคำขอบคุณที่ดีที่สุด หากท่านพูดจาไม่ดีก็ย่อมละอาย ให้ท่านปีหน้าอย่าได้ทำเช่นนี้อีก
ไหว้รับเทพแห่งเตาเสร็จ ก็ไหว้บรรพบุรุษ
ซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่าคุกเข่าคำนับไหว้บรรพบุรุษ ในใจแอบอธิษฐานขอบรรพบุรุษเบื้องบน ขอให้คุ้มครองเราสองให้สุขภาพแข็งแรงมีความสุข
ในความจริงทั้งสองตอนคุกเข่าแม้แต่พวกเขาเองยังไม่แน่ใจ ยังแอบสงสัยถึงบรรพบุรุษที่แสนจะล่องลอยในห้วงความคิด ยังแอบนึกว่าอีกฝ่ายจริงจังต่อการไหว้บรรพบุรุษเช่นนี้ อีกฝ่ายต้องให้ความสำคัญแน่
ไหว้รับเทพแห่งเตา ไหว้บรรพบุรุษ อาหารคาวหกผักเก้ารวมสิบห้าจานก็เป็นอาหารส่งท้ายปีของครอบครัว แน่นอนเย็นแล้วก็เอาไปอุ่นใหม่ แห้งไปก็เอาไปผัดใหม่ ยังต้มเกี๊ยวกับบัวลอยร้อนๆ เพิ่มอีกหม้อ ยกออกมาอีกที สองคนนั่งอยู่บนตั่งอุ่น สองหมาป่าหมอบอยู่ข้างตั่งอุ่น ‘ครอบครัวสี่คน’ เตรียมกินอาหารพร้อมหน้ามื้อส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
นอกห้องมีเสียงประทัดดัง ลมหนาวพัดมา ในห้องมีแต่เสียงหัวเราะเบิกบานอบอุ่นต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ
อาหารมื้อใหญ่พร้อมหน้า จากยามเซินกินถึงยามโหย่ว สุดท้ายซูสุ่ยเลี่ยนก็แพ้ฤทธิ์เหล้าเกาเหลียง รอไม่ถึงเวลาข้ามปี ตาก็เริ่มพร่าง่วงงุน เอนตัวซบอกหลินซือเย่าหลับไปแล้ว
จนกระทั่งอยู่ๆ เสียงประทัดดังปลุกนางตื่น จึงได้พบว่านางถึงกับหลับไปช่วงต้นยามจื่อที่เพิ่งเข้าสู่ปีใหม่
หลินซือเย่าอมยิ้มมองท่าทางนางตื่น ดวงตางุนงงกับท่าทางเมาเล็กน้อย “ตื่นแล้ว? ยามจื่อแล้ว พวกเรากลับห้องไปนอนกันเถอะ” แววตาเขาแอบมีเพลิงร้อนแรงที่แสนคุ้นเคย จากนั้นก็อุ้มนางขึ้น เตะประตูห้องนอนเปิดออก
“อาเย่า ไม่ใช่…ยังต้องจุดประทัดไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนร้อนใจคิดหาเหตุผล
“จุดไปแล้ว” ก่อนนางตื่นก็จุดประทัดต้อนรับปีใหม่ให้เป็นปีราบรื่นแล้ว ไม่เช่นนั้นนางจะตื่นได้อย่างไร เขากระซิบพลางหัวเราะใส่ใบหูนาง วางนางลงบนเตียงใหญ่ กดทับอยู่บนร่างนุ่มนิ่มไร้กระดูกอรชรของนาง…
เปลวเทียนสะบัดไหว ค่ำคืนหนาวยาวนาน ทำให้ความร้อนแรงอย่างที่สุดปรากฏชัดเจนขึ้นมา ยามแรกปีใหม่มาถึงแล้ว…ฤดูใบไม้ผลิสำราญใจยังอีกไกลได้หรือ