“โอ๊ะ คุณชายซี ระวังข้างหน้า!” ไฉ่อี สาวใช้อายุแค่สิบขวบรีบไล่ตามไปด้านหลังลูกชายคนเล็กสุดที่รักราวไข่ในหินของตระกูลหลิน ตามหลังร่างอ้วนจ้ำม่ำของเขาไปติดๆ ปีนลงจากตั่งใหญ่ในห้องโถงก่อนจะตะกายข้ามธรณีประตูที่สูงกว่าเข่าเขาอีก เท้าสั้นๆ ก้าวเดินเอียงไปมา วิ่งไปถึงหน้าลานด้านหน้า
“เหอๆ…ไฉ่อี เร็ว! เร็ว! ไฉ่ เร็ว!” หลินซีวิ่งไปได้ครึ่งหนึ่งก็วิ่งพลางหันหลังกลับมามอง เห็นสาวใช้กวักมือเรียกตนเองพลางไล่ตามมาอย่างเหนื่อยหอบ บอกให้นางวิ่งเร็วอีกหน่อย
ไฉ่อีได้แต่ปาดเหงื่อบนหน้าผากพูดไม่ออก ก็ไม่รู้ว่าคุณชายสามตระกูลหลินกินอะไรโตมา พลังดีมาก แค่สามขวบ พลังก็มากกว่าสาวใช้และบ่าวชายที่อายุสิบกว่าขวบ
โชคดีที่ฮูหยินเข้าใจพวกนาง ให้พวกนางสาวใช้สามคนผลัดกันดูแลคุณชายสาม ในหนึ่งวันไม่ใช่แค่นางคนเดียว แต่จะว่าไปแล้วก็แปลก ตั้งแต่ครึ่งปีก่อนย้ายจากงานลูกมือที่ครัวใหญ่มาดูแลคุณชายสาม สุขภาพร่างกายนางก็ดีขึ้นไม่น้อย ปีหนึ่งมานี้ไม่ค่อยได้ป่วยไม่ว่า แม้แต่รูปร่างก็สูงขึ้นหนึ่งช่วงศีรษะ นางในตอนนี้ไม่ใช่เด็กสาวร่างผอมบางอ่อนแอเหมือนตอนปีก่อนที่เหลียงหมัวมัวเก็บนางมาเลี้ยงแล้ว
ปรับตัวมาครึ่งปีทำให้นางเคยชินกับชีวิตที่นี่แล้ว เทียบกับครึ่งปีก่อนตอนที่อยู่ใต้ระบบบ่าวรับใช้ของตระกูลใหญ่ งานรับใช้ที่นี่เรียกได้ว่าอิสระกว่ามาก
นอกจากเวลาทำงานต้องตั้งใจทำงานให้ดี สงบเสงี่ยมเรียบร้อย เวลาที่เหลือก็ล้วนเป็นอิสระของตัวเอง คิดจะเข้าเมือง ทุกวันที่หัวสะพานหินของเหอหยวน ยามเหม่าจะมีรถม้าให้นั่งไม่เสียเงินออกไป ขากลับก็จะมีรถประจำร้านอาหารดองเหอหยวน นั่งกลับมาได้
นางว่างก็ปักผ้า ฝากเซียวหมัวมัวส่งไปร้านผ้าปักเยว่อวิ๋น หากส่งผ้าปักประจำก็จะได้เงินประจำ แอบเก็บเงินส่วนตัวได้ไม่น้อย
แต่เล็กรอนแรมไร้บ้าน ไม่รู้พ่อแม่อยู่ที่ไหน นางจึงได้คิดขายตัวเองเพื่อจะมีความสุขเช่นนี้
ฮูหยินบอกแล้วว่าบ่าวที่มีสัญญาทำงานในเหอหยวน ขอเพียงตั้งใจทำงานไม่เกิดความผิดพลาด พอครบทุกห้าปีก็จะได้เงินสิบตำลึงเป็นรางวัลครั้งหนึ่ง หรืออาจจะได้ห้องใหญ่ที่เป็นของตัวเองห้องหนึ่ง ทำงานครบสิบปีก็จะได้เงินรางวัลสามสิบตำลึง หรือไม่ก็บ้านที่มีที่พื้นที่หนึ่งหมู่
เงื่อนไขอันยอดเยี่ยมเช่นนี้ทำให้บรรดาสาวใช้และบ่าวชายมาใหม่ล้วนตื่นเต้นกันพักใหญ่
อย่าว่าแต่กินอยู่ไม่ต้องออกเองทุกเดือน อยากมีเงินหลายร้อยเหรียญทองแดงเป็นค่าแรง พอครบห้าปีสิบปี ยังจะได้รางวัลดีงามเช่นนี้อีก ไฉ่อีกับสาวใช้ที่มาใหม่สองคนต่างรู้สึกดีใจมาก พยายามทำงานอย่างเต็มที่ นอกจากเหอหยวนแล้ว ที่ไหนก็หาเจ้านายที่ดีอย่างนี้ไม่ได้
“ไฉ่อี ข้ามาอยู่เป็นเพื่อนคุณชายสาม ฮูหยินเรียกเจ้าไปพบ” ไฉ่เหลียนที่อายุเท่ากับนางมาเปลี่ยนผลัดนาง
“ได้เลย นี่คือกาน้ำของคุณชายสาม ยามเหม่ากินโจ๊กชามหนึ่งกับซาลาเปาสองลูกแล้ว” ไฉ่อีส่งมอบงานอย่างจริงจัง ก่อนจะโบกมือให้กับคุณชายสามที่กำลังเล่นอยู่ด้านนอก “คุณชายสาม บ่าวไปพบฮูหยินก่อน ไฉ่เหลียนจะอยู่เป็นเพื่อนท่านที่นี่!”
“ไปได้แล้ว คุณชายสามชินกับการผลัดเวรของเราสามคนแล้ว ทำไมต้องพูดทุกครั้งด้วย” ไฉ่เหลียนหัวเราะผลักนาง “รีบไปเถอะ ฮูหยินรออยู่”
……
ซูสุ่ยเลี่ยนถือพู่กันอยู่ในมือ เป่ารายการของขวัญที่เขียนยังไม่แห้ง อีกสองสามวันเหลียงเสวียนจิ้งก็อายุครบห้าสิบแล้ว นางพยายามคิดเลือกหาของขวัญพิเศษที่ผลิตที่เหอหยวนหรือไม่ก็ฝานลั่ว กะจะฝากหอกว่างชื่อโหลวนำไปเมืองหลวง
“ฮูหยิน ท่านเรียกพบไฉ่อีหรือ” ไฉ่อียืนอยู่หน้าประตูห้องหนังสืออย่างนอบน้อม ห้องหนังสือดูเป็นทางการทำให้นางมองอย่างให้ความเคารพ
“เจ้ามาแล้ว? เข้ามาสิ นั่งลงคุยกัน” ซูสุ่ยเลี่ยนเงยหน้ามองไฉ่อี ยิ้มกวักมือเรียกให้นางเข้ามา
“บ่าว…บ่าวยืนตรงนี้ก็พอ…” ไฉ่อีเหลือบมองไปยังหนังเสือขาวที่พื้น ก่อนหันมามองรองเท้าปักตนเองที่เปื้อนเศษหญ้า ก็แอบละอายไม่กล้าเข้าไป
ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ จึงได้มองรองเท้านาง ก่อนจะหัวเราะกล่าวว่า “ซีเอ๋อร์ไปซุกซนบนสนามหญ้าอีกแล้วหรือ เข้ามาเถอะ ไม่เป็นไร!”
ไฉ่อีได้ยินก็ซาบซึ้งใจที่ฮูหยินให้ความใส่ใจนาง จึงก้าวเข้าไปอย่างระมัดระวัง
“ฮูหยิน ท่านเรียกหาบ่าว…”
“ไฉ่อี ข้าเห็นเจ้าเป็นคนทำงานละเอียด คิดอยากไปทำงานที่ร้านอาหารดองไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนพับรายการของขวัญเสร็จ ก็ลากไฉ่อีมานั่งที่เก้าอี้ในห้องหนังสือ
“คิด…แต่ว่าคุณชายสาม…” ได้ไปทำงานที่เป็นกิจการในเหอหยวน เป็นความฝันของสาวใช้ที่เข้ามาใหม่ทุกคน คิดถึงสาวใช้รุ่นพี่ที่ตอนนี้ได้เป็นเถ้าแก่คุมงานอย่างเซียงหลัน พวกนางก็แอบนึกอิจฉา เป็นสาวใช้เช่นพวกนาง การได้เช่นนี้ถือเป็นวาสนาสูงส่งแล้ว แม้ไม่ได้เป็นเถ้าแก่ แต่ได้เป็นคนงานที่มีความสามารถก็ยังดี ประเด็นสำคัญก็คือ การได้ไปทำงานที่ร้านอาหารดองก็หมายความว่าจะได้เรียนหนังสือและได้เรียนวิชาคำนวณก่อนประจำงานสามเดือนแรก เป็นสิ่งที่พวกนางปรารถนา
“งานที่นี่ไม่ต้องเป็นกังวล เจ้าแค่คิดว่าต้องการไปทำไหม หากคิด ข้าก็จะส่งเจ้าไปสถานศึกษา”
“คิด! ไฉ่อีอยากไป” นางเพิ่งสิบขวบ นางคิดอยากจะพยายามเพื่อตัวเองสักครั้ง
“ได้ เช่นนั้น พรุ่งนี้เจ้าก็ไปสถานศึกษา อีกสามเดือน สอบผ่านแล้วก็ไปทำงานที่ร้านอาหารดองที่ฝานลั่วหนึ่งปีก่อน ไฉ่อี อีกหนึ่งปี ร้านอาหารดองเหอหยวนก็จะไปเปิดร้านสาขาที่เมืองสุ่ยเยว่ ข้าจะส่งเจ้าไปที่นั่น ไปช่วยงานซิ่นจือ เปิดร้านอาหารดองเหอหยวนสาขาสอง เชื่อมั่นในตัวเอง เจ้าทำได้”
นางทำได้! ฮูหยินบอกว่านางทำได้! นางจะได้บินทะยานแบบเซียงหลัน บินไปเมืองหลวง สร้างความสำเร็จ ต้องให้คนที่เมื่อก่อนเคยดูแคลนนาง ทอดทิ้งนางได้เห็น!
ซูสุ่ยเลี่ยนพิงหน้าต่างห้องหนังสือมองออกไป มองตามไฉ่อีที่สองมือกำอย่างให้กำลังใจตนเองเต็มที่เดินจากไปไกล มุมปากยิ้มบาง ไม่ว่าร้านอาหารดอง ร้านค้าไม้…หรือกิจการใดในวันหน้า ความต้องการแรกสุดของนางก็หวังเพียงแค่ให้คนข้างกายแต่ละคนได้รับความสุขวาสนาที่พวกเขาต้องการ
นางมักจะหารือกับจิ้งจือและอิ้งอวิ๋น ดูว่าแผนการไหนจะมีประโยชน์ต่อเหอหยวน นางจะหาเวลาที่เหมาะสมผลักดันออกไป เช่นว่าเปิดร้านอาหารดองเมื่อสองปีก่อน และปฏิรูปร้านค้าไม้เมื่อปีก่อน
ร้านค้าไม้ที่เป็นร้านต้าเป่าใช้บังหน้าเพื่อเป็นสายให้กว่างชื่อโหลวที่เมืองฮ่วนซา ตอนนี้ก็ขยายออกเป็นหน้าร้านหกห้องแล้ว
ไม้ในป่าล้วนให้คนจากกว่างชื่อโหลวระดับสูงขึ้นเขาต้าซื่อไปตัดทุกครึ่งปีหนึ่งครั้งภายใต้การนำของหลินซือเย่า พร้อมกับไม่ลืมปลูกต้นกล้าทดแทน
หลังร้านค้าไม้ปฏิรูปใหม่ ก็เพิ่มการขายเครื่องเรือนเป็นชิ้นสำเร็จรูปด้วย เครื่องเรือนเหล่านี้ ล้วนเป็นผลงานของช่างไม้ในเหอหยวนทำกันยามว่าง ทุกครั้งที่ขายได้ชิ้นหนึ่ง ร้านกับช่างไม้ก็จะแบ่งกันสี่ส่วนหกส่วน เช่นนี้ก็รับประกันได้ว่าช่างไม้ในเหอหยวนมีงานทำตลอดปี
ส่วนช่างอื่น เช่นช่างปูน ช่างหิน…นอกจากรับงานชาวบ้านแล้วก็ยังรับการซ่อมบำรุงรักษาให้จวนตากอากาศอื่นด้วย
ดังนั้นชาวบ้านเดิมในสามเมืองเดิมเหอหยวนจึงพึงพอใจกับการรวมสามจวนเป็นเหอหยวนหนึ่งเดียวมาก แต่ละคนล้วนเห็นเหอหยวนเป็นดังครอบครัวใหญ่ของพวกเขา ผู้ใหญ่บ้านทั้งสามจวนก็แบ่งงานกับทำจวนของตนเอง ทุกวันที่แปดของเดือน ก็จะมารวมกันที่ศาลในฝานฮัวประชุมหารือการบริหารจัดการของแต่ละคน สรุปงานเดือนก่อน วางแผนงานต่อ พร้อมกับนำเอาแผนงานใหม่ของเหอหยวนไปบอกชาวบ้านในเขตที่ตนรับผิดชอบดูแล
สามปีมานี้ผ่านการปรับปรุงต่อเนื่อง เหอหยวนที่รวมมาจากสามจวนพักตากอากาศ ก็ได้ใจปวงชน กลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่ทุกคนต่างชื่นชม
“คิดอะไรอยู่” เสียงผู้ชายทุ้มน่าฟังดังมาทางด้านหลังนาง พร้อมทั้งร่างกายอบอุ่นแนบแผ่นหลังนาง
“กลับมาแล้วหรือ” หันไปรอรับจุมพิตลึกซึ้งร้อนแรงของเขา
จนนางหมดแรงในอ้อมกอดเขาแล้วจึงได้ปล่อยนาง
“อืม วันนี้เทศกาลตวนอู่ เจี้ยนเหิงรีบกลับ” เขาอธิบายน้ำเสียงแหบพร่า วาจาเหมือนไม่อาจระงับความต้องการที่ลุกโหมขึ้นมาได้
“เจ้าล่ะ ไม่รีบกลับหรือ” นางแอบผลักสองมือเขาออกพลางหัวเราะเบาๆ แต่กลับถูกเขากอดไว้แน่น
“รู้แล้วยังถามอีกหรือ” เขากล่าวพร้อมกับอุ้มนางขึ้นเดินเข้าห้องนอนไป
“อาเย่า! ใกล้เวลาอาหารเที่ยงแล้วนะ…” นางร้องเตือนแผ่วเบา วันนี้เป็นวันรวมตัวกันเดือนละครั้งของบรรดาเจ้านายในเหอหยวน เจ้านายไม่ไปไม่ได้นะ
“ไม่สนใจแล้ว…” เขางึมงำขึ้น ก่อนจะรีบก้าวเข้าไปยังห้องนอนแสนอบอุ่นพวกเขา วางนางลงใต้ร่างเขา ปลดชุดเขาและนางทิ้งอย่างรวดเร็ว เข้าครองร่างนุ่มนิ่มหอมละมุนของนาง
“อืม…” ตอนเขาแทรกเข้าสู่กายนาง นางก็อดครางขึ้นเบาๆ ไม่ได้
เขาบนกายนางแอบมองใบหน้าเล็กน่ารักของนาง “ทำเจ้าเจ็บหรือ” เขาพยายามระงับความต้องการเบื้องล่าง ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าออกไปกับเจี้ยนเหิงครึ่งเดือนมานี้ เขาคิดถึงนางเพียงใด ร่างกายแสนอ่อนนุ่มของนาง รอยยิ้มงามของนาง และยังมีอีกส่วนที่ทำให้เขาจิตใจล่องลอยหลงใหลอย่างที่สุด…
“ไม่เจ็บ…” นางประคองใบหน้าหล่อเหลาของเขาไว้ ยิ้มอ่อนโยน ขยับร่างกายเล็กน้อย พร้อมกับบอกให้เขาทำตามใจปรารถนา…
จนกระทั่งภายในร้อนผ่าวด้วยแรงโหมกระหน่ำ กายนางราวกับจะปะทุออก จึงกอดนางไว้แน่น หลับตาลงพักอย่างพึงใจ
“ราบรื่นไหม” นางนอนทาบบนแผ่นอกเขา ฟังเสียงหัวใจเขา อารมณ์ค่อยๆ สงบลง นางถามอย่างอ่อนโยน ครั้งนี้พาเจี้ยนเหิงไปหอเฟิงเหยา ก็เพื่อหารือเรื่องย้ายหอเฟิงเหยา ก่อนจะแวะไปเยี่ยมเจี้ยซิวที่วัดอวิ๋นหลัว
“อืม หลักๆ ก็เรียบร้อยแล้ว ซือทั่วก็จะมาในเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้แล้ว” เขาลูบผมนางพลางตอบอ่อนโยน
ซือทั่วต้องการอบรมสั่งสอนให้หลินหลงเป็นประมุขหอเฟิงเหยา ตอนทำพิธีทำนายครบเดือนหลินหลงก็ยังจับเอาแหวนหยกมรกตอันเป็นสัญลักษณ์ประมุขหอเฟิงเหยา แต่ก่อนหลินหลิงอายุสิบสาม เขายังคงจะชี้นำให้นางอย่าไปนั่งตำแหน่งนั้น แต่หากไม่พูดถึงว่าหลินหลงเป็นลูกสาวเขา ถามใจเขาเอง นิสัยหลินหลงก็เหมาะกับองค์กรนี้จริงๆ
ดังนั้นครึ่งหนึ่งที่ทำนี้ก็เพื่อลูกสาวจะได้ไม่ไปไกลจากบ้านนัก อีกครึ่งก็เพื่อซือทั่วกับเจี้ยนเยว่ สองคนแม้ยังไม่รู้ใจตัวเอง แต่คนที่มองกระจ่างย่อมรู้ว่าวันเวลาของพวกเขายังไม่ได้ผ่านพ้นไป เพียงแต่เจี้ยนเยว่รับคำสั่งเซวี่ยหมิงไม่อาจไปจากเหอหยวนได้ ซือทั่วก็ต้องทำงานหอเฟิงเหยา จึงห่างเหินกับนาง สามปีมานี้ สองคนไม่อาจจูงมือกัน แต่กลับยิ่งนานวันยิ่งเหินห่าง
เจี้ยนเหิงในฐานะพี่ชายจึงมาหาหลินซือเย่า หารือกันแล้วหารือกันอีก ก็ตัดสินใจให้เจี้ยนเหิงไปที่หอเฟิงเหยากล่อมซือทั่วย้ายหอเฟิงเหยามาที่ฝานลั่ว อย่างไรอยู่ที่ไหนก็ไม่กระทบกับหอเฟิงเหยา กลับเป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์สองฝ่าย
“ซือทั่วยอมแล้ว ก็ย่อมดีอย่างมาก”
“เขาย่อมยอม ขอเพียงแค่บันไดให้เขาลงไม่เสียหน้า ก็แค่เสียหน้าเท่านั้น” ซือทั่วนิสัยไม่ดีเหมือนซือเล่าไม่มีผิด
“หวังว่าคนรักกันจะได้ครองคู่กัน” นางถอนหายใจ ซือเล่ากับอิ้งอวิ๋น ซือทั่วกับเจี้ยนเยว่ หวังว่าพวกเขาจะสมหวัง จูงมือเคียงข้างกันไป…