บทที่ 5 จงใจหรือเปล่า?
ฝูเจิ้งเจิ้งยืนนิ่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเธอด้วยชุดสูทตัวงาม บนโต๊ะทำงานขนาดไม่ใหญ่มากนั้นถูกประดับด้วยกองเอกสารมากมายราวกับภูเขาที่ขาวโพน แววตาของเธอสอดส่องไปทั่วและหยุดลงตรงจอภาพบนกำแพงแบบไม่รู้ตัว ก่อนจะถอนหายใจยาวแล้วเดินกลับไปยังที่นั่งประจำตำแหน่งของตนเอง
ฉันทำงานที่เว่ยหานมาได้ 2 วันแล้ว…แต่รู้สึกว่าตัวเองยังไม่สามารถหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้มากเท่าไหร่เลย ชักจะกังวลขึ้นมาแล้วสิ…
“เดี๋ยวผมจะพยายามรีบ ๆ ทำให้พนักงานที่รับเข้ามาใหม่คุ้นเคยกับตำแหน่งของพวกเขาเร็ว ๆ ก็แล้วกันนะครับ จะว่าไป ประธานได้พูดอะไรเกี่ยวกับ ‘เรื่องนั้น’ ให้คุณซือฉีฟังหรือยังครับ?” เสียงของหมินจงจู่ดังเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งได้สติกลับมาอีกครั้ง หญิงสาวรีบลุกขึ้นยืนและทักทายทั้งสองในทันที
“จะบอกหรือไม่บอกมันเกี่ยวอะไรกับนายน่ะ?” ผู้ที่เดินเข้ามาพร้อมกับหมินจงจู่นั้นไม่ใช่ใครอื่น เขาคือรองประธานบริษัทเว่ยหาน หานซือฉีผู้เปรียบเสมือนหนามที่คอยทิ่มแทงใจฝูเจิ้งเจิ้งในตอนนี้นั่นเอง
หานซือฉีไม่ได้สนใจคำทักทายของเธอ เขาเดินตรงไปยังเก้าอี้ประจำตำแหน่งของตน โดยที่มีฝูเจิ้งเจิ้งคอยทำหน้าที่รินน้ำใส่แก้วให้ เธอทำอย่างช้า ๆ และอ้อยอิ่ง เพื่อฟังบทสนทนาอยู่ใกล้ ๆ ทั้งสองคนไปด้วย
หญิงสาวรู้ว่า ‘เรื่องนั้น’ ที่หมินจงจู่พูดนั้นหมายถึงเรื่องอะไร เพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับองค์กรค้ายาเสพติดขนาดใหญ่ที่มีพนักงานภายในบริษัทเว่ยหานแห่งนี้เกี่ยวข้องอยู่ด้วย ดังนั้นพวกตำรวจจึงค่อนข้างจะสงสัยถึงเบื้องหลังอันมีอิทธิพลขนาดใหญ่ของบริษัทเว่ยหานอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“เราจะนิ่งเฉยกับเรื่องนี้ราวกับว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทของเราเลยไม่ได้นะครับ พวกตำรวจกำลังจับตามองพวกเราอยู่ คุณซือฉีลองคิดกลับไปถึงเรื่องการแข่งขันเมื่อ 6 ปีก่อนดูสิครับ ทั้ง ๆ ที่เราคิดว่าเมือง B น่ะสงบสุขมาตลอดแท้ ๆ แต่จู่ ๆ เรื่องนี้ก็ดันเกิดขึ้นมาอีก เพราะงั้นแล้วเราต้องระมัดระวังตัวเองเอาไว้ด้วยนะครับ!” หมินจงจู่รับน้ำไปดื่มพลางพูดไปด้วยไม่ให้ขาดตอน
6 ปีที่แล้ว? การแข่งขัน?
ภาพเหตุการณ์เมื่อ 6 ปีที่แล้วถูกนำกลับมาฉายใหม่ภายในหัวของฝูเจิ้งเจิ้งอีกครั้ง ถึงแม้ว่าเรื่องนี้มันจะผ่านไปนานถึง 6 ปีแล้ว แต่ความหวาดกลัวที่ตราตรึงในใจเธอนั้นไม่ได้คลายลงเลย
เธอค่อนข้างเชื่อมั่นมาก ๆ ว่าการปรากฏตัวของคนเหล่านี้ในชีวิตเธอต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ ดังนั้นการที่ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้เข้ามาอยู่ภายในบริษัทแห่งนี้จะต้องไม่สูญเปล่า เธอจะต้องสืบข้อมูลเรื่องนี้ให้ได้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นเธอจะเอาหน้าที่ไหนกลับไปอธิบายให้กับทางสถานีตำรวจฟังกันล่ะ?
ทางฝั่งหานซือฉีที่นิ่งฟังอยู่เงียบ ๆ ก็ค่อย ๆ เอ่ยขึ้นมา ด้วยท่าทีสุขุม “ฉันได้ยินมาว่ามันเกี่ยวข้องกับตู้เซฟเล็ก ๆ ตู้หนึ่ง”
“หา? ตู้เซฟเนี่ยนะครับ?” หมินจงจู่ที่ได้ยินแบบนั้นก็แทบจะสำลักน้ำออกมา ทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งที่กำลังเสิร์ฟน้ำอยู่ตกใจเช่นกัน
“ประธานของบริษัทใต้ดินของเมือง B เมื่อปีนั้นอย่างพี่ใหญ่หมิง เก็บตู้เซฟของเขาไว้ในที่ลับหูลับตาที่หนึ่ง ภายในตู้เซฟนั้นมีพระพุทธรูปหยกที่เป็นเป้าหมายในการแข่งขันจะแย่งชิงกันอยู่”
แข่งขันแย่งชิง? แล้วก็ชื่อนั้น หลี่หมิง หัวหน้าองค์กรค้ามนุษย์ที่เธอเพิ่งจะทำการตรวจสอบไปเมื่อปีนั้น คนที่ฆ่าคนจากบริษัทคู่แข่งในการแข่งขันดังกล่าวไปมากมาย!
นี่มัน…ชักจะไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ซะแล้วสิ
“ห้องลับงั้นเหรอครับ? นี่มันเกินจินตนาการของผมไปมากอยู่นะครับเนี่ย แบบนี้ก็แสดงว่าถ้าเราหาเจอ ก็เหมือนเราได้เจอขุมสมบัติเลยสิ!” ท่าทีของหมินจงจู่นั้นแสดงออกชัดเจนเลยว่าตื่นเต้นขนาดไหน
“ว่ากันว่าพี่ใหญ่หมิงน่ะทำกุญแจห้องลับนั้นหายไปก่อนที่จะถูกพวกตำรวจวิสามัญ แต่จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีใครหากุญแจนั่นเจอเลย” หานซือฉียังคงพูดด้วยท่าทีและน้ำเสียงเรียบเฉย
“คุณซือฉีพอจะรู้ข่าวมาบ้างไหมครับว่ามีพวกไหนออกตามหากุญแจห้องลับที่ว่านี่กันหรือเปล่า?” สิ้นประโยคนี้ หมินจงจู่ก็ค่อย ๆ เขยิบไปนั่งข้าง ๆ ชายหนุ่มด้วยท่าทีตื่นเต้นมากกว่าเดิม “แล้วถ้าพวกเราหามันเจอก่อน นั่นหมายถึงเราจะเป็นมหาเศรษฐีชั่วข้ามคืนกันเลยใช่ไหมครับ?”
“นายจะออกไปตามหากุญแจนั่นหรือไง? ลืม ๆ มันไปเถอะน่า” หานซือฉีหัวเราะในลำคอก่อนจะยกปากกาขึ้นเคาะหน้าผากฝูเจิ้งเจิ้งที่ดูเพ้อฝันจนเหม่อลอยขณะเสิร์ฟชาให้เขาอยู่พักใหญ่ จนชาล้นออกมานอกแก้วซะเลอะเต็มโต๊ะ
“อ๊ะ—”
หญิงสาวเหมือนถูกปลุกจากภวังค์ เธอรีบคว้าเศษผ้ามาเช็ดน้ำชาที่เปรอะไปตามโต๊ะ แต่ก็ยังไม่วายที่จะคิดถึงเรื่องที่เพิ่งได้ยินมาจนเหม่อไปอีกครั้ง ทำให้เธอไม่ทันระวังว่าน้ำชาที่ถูกเช็ดเหล่านั้นจะหกใส่หานซือฉีจนเลอะเทอะยิ่งกว่าเดิม
ซ-ซวยแล้ว… ภาพตรงหน้าทำให้เธอรู้สึกตัวอีกครั้ง
ฝูเจิ้งเจิ้งจะพยายามเข้าไปช่วยเช็ดเสื้อผ้าของหานซือฉีที่เปียกชุ่มไปครึ่งตัวด้วยผ้าผืนเดิม ทว่าเมื่อมือของเธอเข้าใกล้ตัวเขา มือใหญ่หนาก็เข้ามาคว้าร่างเล็กของหญิงสาวเข้าไปไว้ในอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว
เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้หญิงสาวจากนั้นก็กระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูของเธอ
“เธอจงใจหรือเปล่า?” เขาเจตนาเป่าลมหายใจร้อน ๆ นั่นรดต้นคอของเธอด้วย
แก้มอันขาวนวลของหญิงสาวก็เห่อแดงขึ้นมาทันที เธอพยายามดิ้นหนีจากอ้อมกอดของเขาพร้อมกับพูดอธิบายไปด้วย “ม-ไม่ใช่นะคะ! ฉันก็แค่จะช่วยเช็ดน้ำชาที่มันเลอะเทอะเสื้อผ้าของคุณหานก็เท่านั้น!”
จริง ๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำเสื้อผ้าอีตานี่เปียกตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ…
“งั้นเหรอ งั้นเชิญตามสบายเลย เช็ดมันให้สะอาดล่ะ” หานซือฉีแสยะยิ้มก่อนจะเหลือบไปมองหมินจงจู่ที่กำลังจับจ้องมายังเขาและฝูเจิ้งเจิ้งด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้สุด ๆ สีหน้าของหานซือฉีที่แสดงกับหญิงสาวก่อนหน้านี้ก็พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที เขามองไปที่หมินจงจู่พร้อมกับพูดว่า “แล้วนายจะอยู่รออะไรอีก?”
“เอ่อ อ่า…ผม…” หมินจงจู่สะดุ้งโหยง เขารู้ดีว่าคำพูดเหล่านี้หมายถึงอะไร เพราะงั้นความสยองจึงวูบขึ้นจากกลางหลังจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว ดังนั้นชายหนุ่มจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อและรีบลุกออกจากห้องไปทันที
“คุณหานคะ เสื้อผ้าของคุณมันเปียกไปหมดแล้ว เพราะงั้นรีบไปเปลี่ยนเถอะค่ะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะ” ฝูเจิ้งเจิ้งที่ได้โอกาสก็รีบเอ่ยเตือนผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง
ทว่าชายหนุ่มกลับไม่สนใจจะทำอะไรแบบนั้น เขาหันกลับมามองเจ้าของเสียงหวานก่อนจะหรี่ตาลงพร้อมกับมีรอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง เขาเดินเข้าไปใกล้ ๆ และพูดกับเธอว่า “แล้วคนที่ทำมันเปียกอย่างเธอ ไม่คิดจะรับผิดชอบหน่อยหรือยังไง?”
———————————————————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ใช่แม่เลี้ยงเดี่ยวธรรมดา ๆ ชัวร์ นางดูจะรู้เรื่องรอบตัวเยอะขนาดนี้อาจจะต้องมีอะไรเกี่ยวพันกับเรื่องพวกนี้แน่ ๆ
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-