บทที่ 8 เขาเป็นลูกของคุณเหรอ?
หลังจากที่ตรวจสอบข้อมูลของฟู่เหวินไห่ไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็พบว่าเขานั้นเพิ่งจะเข้ามายังเมือง B ได้เมื่อครึ่งปีก่อน และจัดตั้งบริษัทที่มีชื่อว่า เหวินไห่ ในเวลาไล่เลี่ยกัน ถือเป็นการร่วมมือกันของเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่งเลยทีเดียว บริษัทแห่งนี้ถูกขึ้นทะเบียนแบบถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมทั้งเป็นคู่ค้าที่สำคัญกับบริษัทเว่ยหานที่เธอกำลังทำงานอยู่ด้วย ดู ๆ ไปแล้วที่นี่ก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย
หรือว่า…สิ่งที่น่าสงสัยจะเป็นเธอคนนั้น?
“หม่ามี๊ พาฝูซิงไปกินสเต็กหน่อยได้ไหม?” เด็กน้อยเริ่มทำการออดอ้อนอีกครั้งหลังจากที่เห็นว่าแม่ของเขานั้นมีแรงจูงใจแล้ว
“ก็ได้” ครั้งนี้เธอไม่รอช้าที่จะตอบตกลง ทั้งสองรีบเก็บสัมภาระและเดินข้ามไปยังร้านสเต็กที่อยู่ทางอาคารด้านหลังตึกเว่ยหานนี้ทันที
ไม่นานนัก แม่ลูกผู้ใจร้อนก็เข้าไปภายในร้านอาหารดังกล่าวได้สำเร็จ ฝูซิงดูจะตั้งหน้าตั้งตารอโอกาสนี้มานานแล้ว ทันทีที่มาถึงร้าน เจ้าตัวแสบก็รีบวิ่งจูงมือหม่ามี๊ของเขาตรงไปยังโต๊ะของหานซือฉี พร้อมกับพูดขึ้นเสียงดังว่า “ป๊ะป๋า ไม่ยุติธรรมเลย ทำไมถึงมากินสเต็กโดยไม่บอกฝูซิงล่ะ!”
“ซิงซิง?” หานซือฉีประหลาดใจกับการปรากฏตัวของเด็กน้อยตรงหน้า เขารีบอุ้มร่างเล็กนั้นขึ้นมาวางบนตักก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มา งั้นมากินด้วยกันนะ เดี๋ยวป๊ะป๋าหั่นให้”
คราวนี้คนที่แปลกใจคือหญิงสาวที่มากับหานซือฉี เธอได้แต่นิ่งอึ้งมองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ “ฝูซิง? คุณซือฉี เด็กคนนี้เป็นลูกคุณเหรอคะ?” ในที่สุดเธอก็อดใจไม่ได้จึงหลุดปากเอ่ยถามเขาออกไปแบบนั้น
“อ๊ะ อาจารย์หลี่ สวัสดีครับ” เด็กน้อยกล่าวทักทายผู้หญิงตรงหน้าอย่างสุภาพ
เธอคนนี้คือ หลี่เสี่ยวเมิ่ง อาจารย์ประจำชั้นของฝูซิงนั่นเอง
ทันทีที่เห็นฝูซิงทักทายหญิงสาวที่เขามาด้วยแบบนั้น หานซือฉีก็อ้าปากค้างเล็กน้อยโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ
“ถ้างั้นแม่ของฝูซิงก็ เอ่อ…” ด้วยสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ จึงทำให้หลี่เสี่ยวเมิ่งทำตัวไม่ถูกเท่าไหร่
ครูสาวหันมองไปยังคนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหลังชายหนุ่ม สายตาของทั้งสองสาวได้สบประสานกัน ทำให้เธอทั้งคู่ต่างก็ตกประหม่า ทำตัวแถบไม่ถูกกันเลยทีเดียว
สดใส ดูอ่อนโยนและจิตใจดี สิ่งเหล่านี้คือนิยามที่ฝูเจิ้งเจิ้งมอบให้ไว้เมื่อพบหลี่เสี่ยวเมิ่งที่โรงเรียนครั้งแรก ทว่าเธอไม่คิดเลยว่าผู้หญิงอ่อนหวานแบบนี้จะรู้จักกับคนแบบหานซือฉี แถมยัง…ดูท่าจะไปกันได้ดีอีกด้วย
“มานั่งกินด้วยกันสิ” หานซือฉีป้อนสเต็กเข้าปากฝูซิง ในขณะเดียวกันก็มองไปทางฝูเจิ้งเจิ้งด้วยรอยยิ้มที่เจือจางลงบนใบหน้า
นั่นทำให้เธอรู้สึกประหม่ามากขึ้นกว่าเดิม คุณแม่พยายามส่งสัญญาณบอกลูกชายของตนให้กลับไปด้วยกัน แต่ก็ดูเหมือนมันจะไม่เป็นผล
“อย่ารบกวนป๊ะป๋าเขาสิลูก มานี่เร็ว เรามานั่งกินตรงนี้” เธอกัดฟันพูด พร้อมกับส่งสายตาให้ลูกชาย
“ไม่! ฝูซิงจะกินสเต็กกับป๊ะป๋า!” เด็กน้อยไม่สนใจคำทัดทานของผู้เป็นแม่
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณแม่ฝูซิงเองก็ไม่ได้เจอกันบ่อย ๆ ถ้ายังไงเรามาทานด้วยกันก็ได้นะคะ” หลี่เสี่ยวเมิ่งเอ่ยขึ้น ด้วยความที่เธอใจกว้างเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ขณะที่พูดครูสาวก็ขยับเก้าอี้เปิดช่องว่างให้ฝูเจิ้งเจิ้งไปนั่งข้าง ๆ ด้วย
หญิงสาวตรงหน้าไม่ได้สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้อีกฝ่ายกำลังจับจ้องดูหานซือฉีที่กำลังป้อนอาหารให้ลูกชายเธออยู่
ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกหนักใจเล็กน้อยที่จะนั่งร่วมโต๊ะ แต่เมื่อลูกชายเธอไม่ยอมลุกออกมา ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมไปนั่งแต่โดยดี
ระหว่างการรับประทานอาหารร่วมกันของทั้ง 4 คน ฝูเจิ้งเจิ้งทำเหมือนชายหนุ่มเป็นเพียงธาตุอากาศ
เธอเอาแต่พูดคุยกับหลี่เสี่ยวเมิ่งเกี่ยวกับเรื่องลูกของเธอ ไม่แม้แต่จะหันมองไปทางเขา
ส่วนทางฝั่งหานซือฉี ก็เพียงแค่รับฟังเงียบ ๆ และป้อนสเต็กให้เด็กน้อยอย่างไม่ขาดปาก
หลี่เสี่ยวเมิ่งเองก็ใช่ว่าจะไม่ใส่ใจ ตลอดเวลาที่เธอพูดคุย เธอก็แอบลอบมองพฤติกรรมของทั้งคู่ไปด้วย หากแต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนเหล่านี้
“ป๊ะป๋า พรุ่งนี้ไปสวนสนุกกับฝูซิงแล้วก็หม่ามี๊ไหม? ฝูซิงยังไม่เคยไปสวนสนุกเลย” จู่ ๆ ฝูซิงก็เอ่ยขึ้นขณะที่กำลังเคี้ยวอาหารจนเต็มสองแก้มตุ่ย
“ได้สิ” ชายหนุ่มตอบตกลงในทันที เขามองไปที่เด็กชายอย่างเอ็นดู
ทั้งฝูเจิ้งเจิ้งและหลี่เสี่ยวเมิ่งนั้นต่างหันไปมองหานซือฉีพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ถึงจะตกใจเหมือนกันแต่เหตุผลในใจนั้นคนละอย่าง
“คุณซือฉีคะ ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้เรา…” ครูสาวเอ่ยทัดทาน
“วันหยุดที่ได้อยู่กับฝูซิงไม่ได้มีมาบ่อย ๆ หรอกนะ” หานซือฉีรีบตัดบทสนทนาของหลี่เสี่ยวเมิ่งด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น เธอตกใจกับปฏิกิริยาของเขา นั่นทำให้เธอไม่กล้าที่จะเอ่ยอะไรต่ออีก
“เอาล่ะ ป๊ะป๋ากินเสร็จแล้ว ถึงเวลาที่ต้องกลับไปทำงานแล้วนะ” ชายหนุ่มพูดขณะที่กำลังช่วยใช้ผ้าเช็ดปากให้ฝูซิงและอุ้มเขาขึ้นมา
“อ๊ะ ช-ใช่แล้วล่ะ พวกเราต้องไปแล้วนะฝูซิง” ฝูเจิ้งเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ถือโอกาสที่จะเข้าไปอุ้มฝูซิง จริง ๆ แล้วเธอไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ที่ทั้งฝูซิงและหานซือฉีทำเหมือนเธอเป็นบุคคลที่ 3 ราวกับเธอคือส่วนเกิน
แต่เแล้วเธอก็ต้องประหลาดใจอีกครั้งเมื่อฝูซิงรีบกอดหานซือฉีไว้แน่น “ฝูซิงไม่อยากอยู่กับหม่ามี๊แล้ว! ฝูซิงจะอยู่กับป๊ะป๋า!”
“…” ลูกไม่รักเธอแล้วแน่ๆ
ชายหนุ่มยิ้มกับฝูเจิ้งเจิ้งอย่างผู้ชนะ เขากระชับอ้อมแขนอุ้มเด็กน้อยไว้และรีบเดินไปจากเธอ เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ผู้เป็นแม่ไม่สามารถเลือกอะไรได้นอกจากยิ้มแห้ง ๆ ให้กับหลี่เสี่ยวเมิ่งแล้วรีบขอตัวตามทั้งสองออกไป
หลี่เสี่ยวเมิ่งได้แต่ยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูด้วยความสงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งสามคนนั้น
เมื่อเธอเดินออกมานอกร้าน หลี่เสี่ยวเมิ่งจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรหาพร้อมเปิดคำถามรัวใส่ปลายสายทันที “ไม่ใช่ว่าคุณหานแค่ประกาศรับสมัครเลขาเหรอ? ทำไมฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าเขามีลูกด้วย?”
——————————————————————————————
คุยกับผู้แปล
ไม่ต้องห่วงนะเสี่ยวเมิ่ง เพราะคุณหานเองก็น่าจะไม่รู้ด้วยเหมือนกันว่ามีลูกจนกระทั่งลูกเอาเงินมาจ้างเนี่ยแหละ
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-