บทที่ 27 อยู่ด้วยกัน
หลังจากที่ตั้งสติและมองดี ๆ ฝูเจิ้งเจิ้งก็พบว่าเจ้าของมือปริศนานั้นคือ หลินเจี่ยว ที่ได้ข่าวว่าออกจากเมืองไปแล้ว ทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นอดีตศัตรู เธอก็รีบชักมือออกและหันมองรอบข้างเพื่อระวังตัวไว้ก่อน “จะทำอะไรน่ะ? ถ้ายังไม่หยุดตอแยฉันจะไม่ออมมือแล้วนะ!”
ทว่าหลินเจี่ยวกลับไม่ได้มีท่าทีหยิ่งผยองอย่างแต่ก่อน ครั้งนี้เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเบาหวิว “ฉันต้องขอโทษกับเหตุการณ์เมื่อครั้งที่แล้วจริง ๆ ค่ะคุณฝู ฉันไม่ควรทำแบบนั้นเลย มันเป็นความผิดของฉันเอง ได้โปรดให้อภัยฉันด้วยนะคะ”
เมื่อสังเกต จะเห็นว่าสีหน้าของหลินเจี่ยวนั้นดูจะซูบผอมลงไปเยอะจนน่าสงสัย แล้วไหนจะความก้าวร้าวที่หายไป ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกประหลาดใจมากแต่ถึงยังไงเธอก็ยังไม่ปักใจเชื่ออยู่ดี “เธอเป็นคนวางเพลิงงั้นเหรอ?”
หลินเจี่ยวส่ายหน้าในคราแรกแต่เธอก็หยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนไปพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ฉันทำมันเองค่ะ ฉันขอโทษ…”
เรื่องนี้มันเกินความคาดหมายของเธอมาก “ฮ่าวฮ่าวก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรร้ายแรง เธอเองก็รู้ แต่นี่เธอกลับคิดวางเพลิงบ้านฉันเพื่อจะฆ่าฉันกับลูกให้ตายเลยงั้นเหรอ? เธอคิดว่ากฎหมายของประเทศนี้เป็นแค่ข้อความโง่ ๆ ที่เขียนไว้บนหนังสือหรือยังไงน่ะ? โชคดีที่วันนั้นฉันกับลูกไม่ได้หลับสนิท ไม่งั้นล่ะก็เธอได้ใช้ชีวิตที่เหลือในคุกแน่!”
“ฉันขอโทษจริง ๆ ค่ะ ฉันผิดไปแล้ว คุณฝูจะดุ จะด่า หรือจะตบฉันให้ตายเลยก็ได้ แต่ฉันอยากขอร้องให้คุณปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้ไหม ได้โปรด ครอบครัวฉันไม่มีที่ไปแล้ว” หลินเจี่ยวนั้นยังคงขอโทษไม่หยุด น้ำตาของเธอไม่ใช่ของปลอม และความน่าสงสารเองก็เช่นกัน
สถานการณ์ในตอนนี้มันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งเริ่มสับสนขึ้นมาแล้ว “ไม่มีที่ให้ไป? จริงเหรอ? ฉันไม่ได้โทรแจ้งตำรวจเลยนะ?”
“มัน…เอ่อ….” เธออึกอัก ท่าทางดูเกรงกลัว ราวกับว่าหากพูดในสิ่งที่คิดออกไปมันอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นก็ได้
“คุณหานเหรอ?” ฝูเจิ้งเจิ้งลองเอ่ยชื่อชายหนุ่มดู
ทันทีที่ได้ยิน หลินเจี่ยวรีบพยักหน้าและน้ำตาไหลพรากอีกครั้ง “คุณฝูคะ ฉันรู้แล้วว่าฉันผิดจริง ๆ แต่ได้โปรดเถอะนะคะ ได้โปรดให้อภัยฉันเถอะ”
“มาขอร้องฉันแบบนี้แล้วมันจะได้อะไร? ใครบอกให้เธอมาขอโทษ?” มีบางอย่างไม่ชอบมาพากลจริงๆด้วย..
“ไม่ค่ะ ฉันมาขอโทษคุณด้วยตัวเอง เพียงแค่คุณฝูยกโทษให้ฉัน คุณหานก็จะเลิกก่อกวนฉัน เพราะงั้นได้โปรดยกโทษให้ฉันด้วยนะคะ” หลินเจี่ยวขอร้องอ้อนวอนจนแทบจะลงไปคุกเข่าให้กับเธอ
นี่ตานั่นทำให้ฉันขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?
ภายในหัวของฝูเจิ้งเจิ้งเต็มไปด้วยความสับสน แต่เธอก็รีบสะบัดหน้าไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป เธอต้องเตือนตัวเองเสมอว่าหานซือฉีไม่ใช่เหนียนซี่ เขาเป็นแค่เป้าหมายในการสืบสวนเท่านั้น!
เมื่อหลินเจี่ยวเห็นฝูเจิ้งเจิ้งส่ายหน้า เธอก็หน้าซีดลงมากกว่าเดิม “ค-คุณฝูคะ ฉัน…ฉัน เอ่อ…”
“ลืมมันไปซะ” ฝูเจิ้งเจิ้งสะบัดมือเป็นเชิงให้ฝูซิงเดินออกไป
“คุณฝู…” หลินเจี่ยวตาเบิกกว้าง
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะปล่อยมันไป แต่ถ้าเธอสำนึกแล้วต่อจากนี้ก็ขอให้เป็นคนดีนะ” ฝูเจิ้งเจิ้งพยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นหลินเจี่ยวก็ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ ทั้งยิ้มและร้องไห้ในคราวเดียวกัน
หลังจากที่ทั้งสองเดินทางมาถึงหน้าประตูโรงเรียนอนุบาลแล้ว ฝูซิงก็หันไปถามแม่ของตนด้วยความงุนงง “หม่ามี๊ ทำไมยกโทษให้คนที่พยายามจะเผาพวกเราง่ายจัง?”
เธอยิ้มแล้วมองลูกชายของเธอพร้อมกับลูบหัวเขา พูดว่า “ซิงซิง ครูหลี่ไม่ได้สอนลูกเหรอว่าเด็กที่เคยทำอะไรผิดพลาดและกลับตัวกลับใจได้จะเป็นเด็กดี? ผู้ใหญ่เองก็เช่นกัน บางครั้งพวกเขาก็ทำผิดพลาด และถ้าเขาตั้งใจจะสำนึกผิดจริง ๆ มันก็เป็นเรื่องที่ดีที่จะให้อภัยนะ นอกจากนั้นแล้ว ผู้ชายอย่างลูกต้องหัดรู้จักการให้อภัยนะรู้หรือเปล่า?”
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ฝูซิงก็ยังงงอยู่ดี “แต่ป๊ะป๋าบอกไว้ว่าพวกเราจะปล่อยคนผิดไปง่าย ๆ ไม่ได้นะ”
ป๊ะป๋าอีกแล้วงั้นเหรอ! ฝูเจิ้งเจิ้งเริ่มจะรำคาญคำนี้ขึ้นมาแล้ว “หม่ามี๊บอกไปแล้วว่าเราควรจะให้อภัยเธอ! ทำไมเป็นเด็กขี้สงสัยแบบนี้เนี่ย!”
“โอเค ๆ ให้อภัยก็ได้ แล้วหม่ามี๊จะโกรธทำไมเนี่ย?” ฝูซิงเดินหน้ามุ่ยเข้าโรงเรียนไปพลางบ่นงึมงำไปด้วย
หลังจากที่มองจนกระทั่งลูกชายตัวน้อยของตนเดินเข้าโรงเรียนไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็เดินทางไปยังบริษัทของตนต่อในขณะที่หัวก็คิดถึงแต่เรื่องของหลินเจี่ยวอยู่ตลอด เธอรู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล แต่ก็คิดไม่ตกว่ามันมีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังกันแน่
เมื่อหญิงสาวมาถึงที่บริษัท วันนี้เธอไม่เห็นหานซือฉีที่น่าจะมาถึงก่อน แต่ก็ดีแล้ว จะได้พักอยู่เฉย ๆ กับเขาบ้าง
หลายวันมานี้เธอพยายามสอบถามถึงชื่อบริษัทที่ทำธุรกิจร่วมกับบริษัทเว่ยหาน แต่จากการตรวจสอบและสืบหาความผิดปกติกลับไม่ได้อะไรกลับมาเลย พวกเขาไม่มีอะไรน่าสงสัย รวมถึงที่บ้านของหานซือฉีเองก็ไม่มีอะไรน่าสงสัยอีกด้วย
ทางด้านหยางเต๋าก็ไม่เจอเบาะแสที่น่าสงสัยระหว่างหลี่เสี่ยวเมิ่งและแก๊งค้ายา มันเลยทำให้ตอนนี้ฝูเจิ้งเจิ้งเริ่มจะเชื่อในสิ่งที่หยางเต๋าเคยบอกไว้ขึ้นมาบ้างแล้ว
แต่เธอเองก็ยังไม่ได้บอกหยางเต๋าถึงเรื่องที่ทางฝั่งเธอที่ไม่เจอข้อมูลอะไร เพราะถ้าพูดออกไปแล้ว อีกฝ่ายต้องคะยั้นคะยอให้เธอออกจากเมือง B อีกแน่ ๆ
เธอไม่ค่อยเต็มใจที่จะจากไป
เธอรู้ตัวดีว่าเธอไม่ควรลืมถึงหน้าที่ตนเอง แต่ตอนนี้เธอไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย เรื่องต่าง ๆ มากมายโดยเฉพาะเรื่องของหลินเจี่ยวที่ได้ฟังมาวันนี้มันยิ่งทำให้เธอยังไม่อยากรีบออกจากเมืองนี้
อีกอย่างหนึ่งก็เพราะความสัมพันธ์ของเธอและหานซือฉีช่วงหลายวันมานี้มันก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ด้วย
ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามรักษาระยะห่างกับเขา เพราะเขาดันไม่ใช่หานซือฉีที่น่ารังเกียจคนเดิมแล้ว ซึ่งทางหานซือฉีเองก็มักจะมองมาที่เธอด้วยสายตาอยากจะถามบางอย่างอยู่ตลอด ถึงขั้นที่แม้ไม่ได้เจอหน้ากันตรง ๆ เธอก็รู้สึกได้
เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ประตูห้องทำให้หญิงสาวต้องเลิกคิดไปก่อน ยามที่เงยหน้าขึ้นมามองก็พบว่าคนที่เข้ามานั้นเป็นสวี่เหยียนที่กำลังหน้าตาตื่นเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” เธอเอ่ยถามด้วยความสงสัยก่อนจะเห็นว่าสวี่เหยียนวิ่งเข้ามาปิดหน้าต่างให้เพราะด้านนอกกำลังฝนตก
“ ‘เกิดอะไรขึ้นเหรอ’ งั้นเหรอ? เพราะฉันรู้ว่าเธอกำลังเหม่อน่ะสิ” หลังจากที่ปิดหน้าต่างเรียบร้อยแล้ว สวี่เหยียนก็หันมาหัวเราะและพูดกับเธอว่า “ถ้าหากฝนสาดล่ะก็มันจะไม่ใช่เธอคนเดียวที่ต้องมาทำความสะอาดหรอกนะ”
ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกอายและอยากตำหนิตัวเองที่เหม่อจนไม่ได้สติขนาดนั้น เธอจับแขนของสวี่เหยียนไว้ก่อนจะยิ้มให้น้อย ๆ “ฉันรู้น่าว่าเธอเป็นห่วงฉัน”
“เจิ้งเจิ้ง” สวี่เหยียนหันไปมองประตูก่อนจะกลับมากระซิบ “ก่อนหน้านี้เธอยังคุยกับฉันอย่างมีความสุขอยู่เลย แล้วไหงหลายวันมานี้ทำตัวอย่างกับคนลืมวิญญาณไว้ที่หมอนซะอย่างงั้นล่ะ? ฉันรู้ว่าตัวเองก็ไม่ได้มีสิทธิ์อะไรในชีวิตเธอมากขนาดนั้น แต่ถ้าช่วยอะไรได้ฉันก็อยากจะช่วยนะ”
ได้ยินเช่นนั้นเธอก็ค่อย ๆ กุมมือของสวี่เหยียนไว้ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “สวี่เหยียนฉันไม่เป็นไรจริง ๆ เธอกังวลมากเกินไปแล้ว ช่วงนี้ที่อารมณ์ฉันไม่ค่อยดีเพราะเข้าสู่ช่วงวันนั้นของเดือนน่ะ”
“ถ้าเป็นแค่นั้นฉันก็ค่อยโล่งใจหน่อย” สวี่เหยียนไม่กล้าถามอะไรเพิ่ม เธอกลัวว่าหากอยู่นานเดี๋ยวหานซือฉีจะมาเจอเสียก่อน คราวนี้ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่อีกแน่ เพราะงั้นเธอเลยรีบกลับไปทำงานก่อนที่เขาจะเข้ามา
นี่ขนาดสวี่เหยียนยังรับรู้ได้ถึงความไม่ปกติของฉันเลยเหรอเนี่ย? ดูเหมือนว่าความสามารถในการปิดบังของฉันมันจะลดลงไปมากแล้วสินะ
ระหว่างที่คิดถึงเรื่องเมื่อครู่ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยกมือขึ้นนวดขมับตนเองและทบทวนเรื่องต่าง ๆ ไปเรื่อยเปื่อย
“ยังไงก็ตามนะซือฉี บริษัทเหวินไห่น่ะเร่งให้เราตรวจสอบคุณภาพของสิ้นค้าของพวกเขาใหม่อีกรอบแล้วนะ นายจะว่ายังไงล่ะ?” เสียงของหมินจงจู่ดังขึ้นมาก่อนจะตามด้วยเสียงฝีเท้า นั่นคือสัญญาณบ่งบอกถึงการมาของพวกเขา
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ตนเองแล้วเตรียมชาไว้สำหรับพวกเขาทันที
“ช่างเรื่องนั้นไว้ก่อน แล้วงานที่ฉันให้ทำไปถึงไหนแล้ว?” คราวนี้เป็นเสียงของหานซือฉี เขาปรากฏตัวพร้อมกับเสียงของตนเองแบบพอดิบพอดี
หมินจงจู่ที่เดินตามเข้ามาติด ๆ นั้นแสดงสีหน้ามีความสุขสุด ๆ เมื่อเห็นว่ามีชาวางไว้รออยู่บนโต๊ะพร้อมกับเอ่ยชม “เจิ้งเจิ้งน้อยนี่หัวไวจริง ๆ ฉันล่ะช้อบชอบ”
สิ้นเสียงประโยคนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าหานซือฉีกำลังเหลือบมองเขาอยู่ หมินจงจู่เลยขยิบตาแล้วพูดต่อ “ก็แค่พูดแทนใครบางคน”
ได้ยินแบบนั้นแล้วฝูเจิ้งเจิ้งก็หันขวับไปมองหานซือฉีในทันที และมันทำให้สายตาของทั้งสองสบกันโดยไม่ได้ตั้งใจ หัวใจดวงน้อยของหญิงสาวเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ เธอรีบเบนสายตามองไปทางอื่นและทำเป็นก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
เมื่อหมินจงจู่รับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างผ่านท่าทีของทั้งสอง เขาก็เดาะลิ้นเสียงดังไปทีหนึ่งก่อนจะโดนหานซือฉีโยนกองแฟ้มเอกสารใส่
“อุ่ก!? นี่นายคิดจะฆ่าฉันหรือไงน่ะ!” หมินจงจู่โวยวายด้วยความเจ็บปวดหลังจากที่โดนหานซือฉีโยนกองงานใส่เพราะไม่พอใจท่าทีของเขา “ต่อให้มันจะไม่โดนฉัน แต่ถ้ามันกระแทกกับโต๊ะไม่ก็พื้น แฟ้มก็จะเสียหายเอานะ”
“เอางานไปทำเงียบ ๆ เถอะน่า” หานซือฉีพูดทิ้งท้ายก่อนจะหันไปมองที่จอโน๊ตบุ๊คของตนและไม่เงยหน้ามามองอีกฝ่ายอีก
หมินจงจู่รีบส่ายหน้าไล่ความเจ็บและมองกลับไปยังคนโยนงานให้เขาด้วยหน้าตาตื่นพร้อมกับร้องไห้ออกมา “หา? งานเยอะขนาดนี้สำหรับวันนี้วันเดียวเหรอ? นายก็รู้ว่าฉันจะออกไปซื้อเสื้อผ้ากับหลิงหลงบ่ายนี้ นี่นายจงใจจะทำลายเดตของฉันกับเธอใช่ไหมเนี่ย?”
“ให้ฝูเจิ้งเจิ้งไปซื้อของกับเธอแทนสิ” หานซือฉีหันไปมองทางฝูเจิ้งเจิ้งด้วยท่าทีขี้เกียจก่อนจะพูดขึ้น
“ฉัน?” หญิงสาวชี้ตนเองก่อนจะถามออกมาด้วยความประหลาดใจ “ให้ฉันไปช็อปปิ้งในเวลางานเนี่ยนะคะ?”
“ซือฉี นายก็รู้ว่าหลิงหลงน่ะนิสัยเป็นแบบไหน ยังจะให้น้องเจิ้งไปเสี่ยงตายอีกเหรอ?” หมินจงจู่รู้สึกร้อนรนจนนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว
“ไม่ได้ให้เธอไปช็อปปิ้ง แค่ให้ไปเป็นเพื่อนหลิงหลงที่จะไปช็อปปิ้งเฉย ๆ” หานซือฉีไม่สนใจคำพูดใด ๆ ของหมินจงจู่ทั้งนั้น
“มันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งถอนหายใจก่อนจะพูดเชิงปฏิเสธ “ฉันยังมีงานที่ต้องทำอีกเต็มไปหมดเลยค่ะ งานมันเยอะจนฉันไม่คิดว่าจะเสร็จได้ก่อนบ่ายนี้ด้วย”
“เห็นไหม ซือฉี ฉันไม่อยากจะรบกวนเวลางานของน้องเจิ้งหรอกนะ เพราะงั้นเรื่องนี้เดี๋ยวฉันจัดการเอง” หมินจงจู่เห็นโอกาสเขาก็รีบเดินเข้ามาหาหานซือฉีด้วยรอยยิ้มทันที
ทว่าหานซือฉีก็ยังคงมองอีกฝ่ายเป็นอากาศอยู่ดี เขากดโทรเรียกสวี่เหยียนให้เข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งชี้ไปยังกองงานบนโต๊ะของฝูเจิ้งเจิ้ง “ทำงานพวกนี้ให้เสร็จ”
“รับทราบค่ะ” สวี่เหยียนเหลือบมองฝูเจิ้งเจิ้งในขณะที่เธอหันกลับไปด้วยรอยยิ้มจาง ๆ
การไปช็อปปิ้งมันสำคัญขนาดนี้เลยงั้นเหรอ? ฝูเจิ้งเจิ้งหันไปมองหานซือฉีด้วยความงุนงง เธอไม่สามารถเข้าใจความคิดเขาได้ ไม่ใช่ว่าระบบการทำงานในบริษัทเว่ยหานแห่งนี้มันเข้มงวดมาก ๆ หรือไงน่ะ?
หมินจงจู่หมดทางช่วยจริง ๆ เขาทำได้แค่ยักไหล่และพูดกับฝูเจิ้งเจิ้ง “ขอบคุณมาก ๆ เลยน้องเจิ้ง ฝากดูแลเธอด้วยนะ เธอเป็นพวกชอบจู้จี้จุกจิกเวลาซื้อของนิด ๆ หน่อย ๆ น่ะ เดี๋ยวฉันต้องรีบไปทำงานแล้ว ขืนอืดอาดพรุ่งนี้ก็จะไม่ได้ไปกับเธอด้วยตัวเองอีก”
ในขณะที่หมินจงจู่หันหน้าและเดินออกไป เขาก็ยิ้มทิ้งท้ายให้ฝูเจิ้งเจิ้ง มันให้ความรู้สึกเหมือนเขามีอะไรบางอย่างอยู่ในใจ แต่พยายามคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่ามันคืออะไร
เมื่อหันมองแล้วเห็นว่าหานซือฉีกำลังยุ่งอยู่กับการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ เธอที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โต๊ะก็อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ต้องหยุดไปเพราะรู้ดีว่าเขาไม่ชอบให้ใครรบกวนเวลาทำงาน
หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฝูเจิ้งเจิ้งก็ตัดสินใจพูดออกมา “คุณหานคะ ฉันขอถามอะไรสักหน่อยได้ไหมคะ?”
“ว่ามา”
“เอ่อ หลินเจี่ยวมาหาฉันวันนี้”
นิ้วที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บนคีย์บอร์ดหยุดลงทันที เขาค่อย ๆ หันหน้ามาตามเสียงหญิงสาว “หืม?”
“เรื่องทุกอย่างมันจบลงแล้วค่ะ ฉันไม่อยากคิดแค้นเธออีก เพราะยังไงฉันกับฝูซิงก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“ไม่คิดแค้นแล้วงั้นเหรอ?”
“ใช่ค่ะ”
คราวนี้เขาไม่ได้หันเพียงแค่หน้า แต่หันมาทั้งตัวเพื่อจับจ้องเธอเลย “ไม่เคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่พูดหรือยังไงว่าการใจดีกับศัตรูน่ะจะกลายเป็นการทำร้ายตัวเองนะ”
เธอสบตาเขาแล้วพูดว่า “คนเฒ่าคนแก่ก็เคยพูดเหมือนกันค่ะว่ามีเพื่อนเพิ่ม 1 คนยังไงก็ดีกว่ามีศัตรูเพิ่ม 1 คน”
“เพื่อนเหรอ?” ได้ยินเช่นนั้นหานซือฉีก็แสยะยิ้มออกมา “ครูของเธอได้สอนวิธีสะกดคำว่าเพื่อนให้เธอฟังหรือเปล่า?”
คำพูดที่ฟังดูเราะร้ายของเขาทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย “ยังไงก็แล้วแต่ นี่มันเป็นปัญหาของฉัน เพราะงั้นฉันไม่อยากให้คนอื่นมายุ่งกับปัญหาของฉันทั้งนั้นแหละค่ะ!”
“คนอื่น?” หานซือฉีขมวดคิ้วและเปลี่ยนจากการแสยะยิ้มเป็นยิ้มน้อย ๆ แทน “ในเมื่อเรา ‘อยู่ด้วยกัน’ แล้ว เรายังเป็น ‘คนอื่น’ กันอีกเหรอ?”
“คุณหาน!” ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อยากจะทะเลาะด้วยแท้ ๆ แต่เขาก็ทำเธออารมณ์เสียจนได้ เพราะงั้นหญิงสาวจึงตั้งใจจะเดินออกไปแต่ก็ยังโดนหานซือฉีหยุดเอาไว้
“เมื่อวานเธอทำอะไรหายที่ออฟฟิศ?”
“อะไรหาย? ไม่มีนี่คะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งงุนงง แต่ทันใดนั้นเธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้เสียก่อน เมื่อวันก่อนเธอแอบเข้าไปหาข้อมูลทั้งในและนอกบริษัทอยู่ตลอดเพื่อหวังจะได้ข้อมูลน่าสงสัยอะไรบ้าง แต่ว่าก่อนจะไปจุดไหน เธอก็ตรวจสอบแล้วนะว่ามีกล้องวงจรปิดหรือเปล่า เธอมั่นใจมาก ๆ ว่าจุดที่ไปสำรวจนั้นไม่มีกล้องวงจรปิดอยู่แน่ ๆ
หรือว่า…ความจะแตกแล้วเหรอ!?
———————————————————————————-
คุยกับผู้แปล
ยังไม่ถึงตอนที่ 30 เลยอย่าเพิ่งรีบความแตกดิ้!
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-