บทที่ 30 คุณทำเองด้วยความสมัครใจ
“ไว้จะโทรกลับทีหลังนะคะ” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบวางสายหลังจากนั้นไม่นาน จากนั้นก็หันมามองสีหน้าของหานซือฉีด้วยความหวาดหวั่นเล็กน้อย หญิงสาวยิ้มแห้ง ๆ ออกมาเพื่อปิดบังความมีพิรุธของเธอเมื่อครู่ “พอดีเพื่อนของฉันโทรมาน่ะค่ะ พวกเราไม่ได้เจอกันนานแล้ว เขาเลยโทรมาทักทาย”
หานซือฉีเลิกคิ้วแล้วถาม “โอ้? เพราะงั้นเธอเลยจะโทรกลับทีหลังเหรอ? คนไม่ได้เจอกันนานทักทายกันแค่นี้น่ะเหรอ?”
เหมือนเธอจะพูดอะไรที่น่าสงสัยออกไปเสียแล้ว “ม-ไม่ใช่นะคะ ฉันแค่เห็นว่าอยู่ในเวลางานเลยจะโทรกลับทีหลังก็เท่านั้นเอง…”
“ถ้านี่เป็นเวลางาน งั้นก็ช่วยไปเตรียมเอกสารให้ฉันแล้วเอาไปให้ที่ห้องชั้นบนด้วยก็แล้วกัน” หลังจากพูดเช่นนั้นแล้ว หานซือฉีก็เดินตรงไปขึ้นลิฟต์ทันที
ฝูเจิ้งเจิ้งจึงรีบจัดการเตรียมเอกสารบนโต๊ะของหานซือฉีให้และเดินตามเขาไปติด ๆ เธอรู้อยู่แล้วว่าเช้านี้ที่บริษัทจะมีประชุมผ่านการวิดีโอคอล ดังนั้นจะให้เสียเวลาไม่ได้
เมื่อหญิงสาวนำเอกสารทั้งหลายมาส่งยังห้องประชุมเรียบร้อยแล้ว เธอก็เห็นว่าทุกอย่างในห้องประชุมเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมเต็มที่ เว้นแต่ว่าในห้องนั้นกลับไม่มีหานซือฉีอยู่ทั้ง ๆ ที่การประชุมครั้งนี้เขาต้องเป็นประธาน สิ่งนี้ทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งสงสัยเล็กน้อย เพราะปกติแล้วหานซือฉีจะเป็นคนที่ตรงเวลามาก ๆ
และด้วยเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาในหัว มันทำให้เธอกระวนกระวายหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาเจ้านายของตนอยู่ตลอด ในที่สุด 10 นาทีให้หลัง หานซือฉีก็ปรากฏตัวขึ้นมา
เสียงบ่นจุกจิกในห้องประชุมนั้นเงียบลงทันใด หานซือฉีนั่งลงไปที่โต๊ะตรงกลางห้องซึ่งฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบส่งเอกสารที่เตรียมไว้ให้เขา เมื่อเห็นว่าหลังการประชุมได้เริ่มขึ้น เขาไม่ได้มองมาที่เธออีกเลย หญิงสาวก็ปลีกตัวออกมาจากห้องประชุมเงียบ ๆ และปิดประตูไว้ดังเดิม เธอเดินซอยเท้าเร็ว ปรี่กลับไปยังออฟฟิศของตนและคว้ากระเป๋าออกมา
“สวี่เหยียน ฉันขอออกไปข้างนอกแปปนึงนะ เดี๋ยวจะรีบกลับมา ถ้าเกิดมีอะไรก็โทรมาได้ตลอดเลย แต่ฉันคิดว่ามันน่าจะไม่มีอะไรนะ…” ฝูเจิ้งเจิ้งเดินไปพูดกับสวี่เหยียน แต่ก่อนที่สวี่เหยียนจะได้ตอบอะไร เธอก็ปรี่ไปที่ลิฟต์และทิ้งสวี่เหยียนไว้เบื้องหลังพร้อมกับคำเตือนที่เปี่ยมด้วยความห่วงใยของผู้ถูกทิ้ง “เธอจะโดดงานไม่ได้นะ”
สองขาเรียวก้าวเท้าออกจากอาคารเว่ยหาน ในขณะที่มือหนึ่งก็รีบคว้าโทรศัพท์มาโทรกลับไปยังเบอร์แปลกก่อนหน้านั้น
“สวัสดีค่ะ ฉันคือคนที่โทรไปคุยกับคุณเรื่องเช่าบ้านก่อนหน้านี้น่ะค่ะ ตอนนี้ฉันว่างแล้ว เรามา…”
“อ้อ คุณฝูนี่เอง ต้องขอโทษด้วยนะคะ บ้านเพิ่งจะถูกเช่าไปเมื่อครู่เลย คุณคงต้องไปหาที่อื่นแล้วล่ะ”
“หา? ทำไมคุณ….”
ก่อนที่ฝูเจิ้งเจิ้งจะได้พูดจบ เจ้าของบ้านก็ชิงตัดสายเธอไปทันที
ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนเธออุตส่าห์ถ่างตาหาบ้านเช่าจากในอินเตอร์เน็ตจนดึกดื่น แล้วเมื่อ 20 นาทีที่แล้วเจ้าของบ้านก็เพิ่งจะโทรมาบอกให้เธอไปดูบ้าน ไหงตอนนี้ถึงบอกว่าถูกเช่าไปแล้วล่ะ!
นี่หลอกลวงกันเหรอ?
ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกหงุดหงิดสุด ๆ
สิ่งที่เธอได้มาจากการแอบฟังสองพี่น้องหานพูดคุยกันนั้นมีไม่มาก ส่วนหนึ่งเพราะกำแพงห้องมันหนาและเก็บเสียงดีเกินไป ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นก็มีแค่ ‘ย้ายออก’ กับ ‘เฉียวเค่อเหริน’ เท่านั้น
และด้วยความที่ฝูเจิ้งเจิ้งเป็นผู้หญิงฉลาด เธอจึงเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมหานซือเซียนถึงทำตัวเฉยชากับเธอ รวมไปถึงทำไมสองหนุ่มถึงต้องมาทะเลาะกันด้วย
ตอนนี้การอยู่ในบ้านนั้นต่อก็ไม่สามารถหาข้อมูลอะไรเพิ่มเติมได้อยู่แล้ว แถมเธอยังมั่นใจแล้วด้วยว่าหานซือฉีไม่ใช่เหนียนซี่ ดังนั้นแล้วการอยู่ในบ้านของเขา มันก็รบกวนเวลาหาเบาะแสที่น่าสงสัยของเธอเสียเปล่า ๆ เมื่อคิดได้ดังนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งจึงรู้สึกว่าสิ่งที่เธอควรจะทำในตอนนี้คือย้ายออกจากที่นั่นซะ
เมื่อวานหานซือฉีก็ให้เงินเธอไว้เยอะอยู่เหมือนกัน แถมมันยังเหลืออยู่ด้วย เพราะงั้นมันน่าจะเพียงพอต่อการใช้เป็นค่าเช่าบ้านและมีพอใช้จ่ายค่าอื่น ๆ จนถึงวันเงินเดือนออกครั้งถัดไป หรือเธอควรเบิกล่วงหน้าดีนะ…
ถ้าสมมุติว่าไปขอให้ฝ่ายบัญชีช่วยแล้วเขาช่วยไม่ได้ ก็อาจจะต้องไปพึ่งหานซือฉีอีกรอบ ยังไงซะหลังจากที่ออกจากบ้านของเขาแล้ว การตามตัวกลับคงไม่ใช่เรื่องง่ายแล้วล่ะ
แต่จนกว่าแผนหาบ้านเช่าใหม่จะสำเร็จ เธอจะให้หานซือฉีรู้เรื่องนี้ไม่ได้ การที่สองพี่น้องต้องมาทะเลาะกันเมื่อคืน มันต้องทำให้หานซือฉีไม่ยอมให้เธอไปไหนอย่างแน่นอน นอกจากนั้นฝูซิงเองก็คงไม่ยอมย้ายออกง่าย ๆ ด้วยเหมือนกัน ก็นะ…ดันเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับตานั่นซะขนาดนั้น เพราะงั้นต้องจัดการทุกอย่างให้ได้ก่อนแล้วค่อยอธิบายทีหลัง
แต่ไม่ว่าจะคิดทบทวนถึงขั้นตอนที่ต้องทำขนาดไหน ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเจ้าของบ้านถึงได้ทำเรื่องไม่น่าอภิรมณ์เช่นนั้น ตอนแรกก็ยังพูดกับเธอในโทรศัพท์ดี ๆ อยู่เลยแท้ แถมยังบอกให้เธอมาดูบ้านเมื่อไหร่ก็ได้ที่สะดวกอีก ทำไมนะ ทำไมจู่ ๆ ความคิดคนเรามันเปลี่ยนเร็วขนาดนี้!
ด้วยความไม่สบอารมณ์ หญิงสาวกลับไปยังออฟฟิศของตนพร้อมกับใบหน้าที่บูดบึ้ง
พลันเมื่อสวี่เหยียนเห็นฝูเจิ้งเจิ้งกลับมาไวเช่นนี้ เธอก็โล่งใจ ทว่าเมื่อสังเกตเห็นท่าทีของฝูเจิ้งเจิ้ง กลับทำให้เธอเป็นกังวลแทน หญิงสาวมองซ้ายมองขวาเพื่อดูว่ามีใครอื่นนอกจากเธออยู่แถวนี้ไหม เมื่อเห็นแล้วว่าปลอดภัย สวี่เหยียนจึงรีบเดินตามฝูเจิ้งเจิ้งเข้าไปในออฟฟิศเพื่อถามไถ่ทันที “เป็นอะไรไปน่ะเจิ้งเจิ้ง? มีใครทำเธอหงุดหงิดเหรอ?”
เพราะมัวแต่ครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องเดิม ๆ ฝูเจิ้งเจิ้งจึงไม่รู้ตัวเลยว่าสวี่เหยียนเดินตามเข้ามา และเมื่อถูกเรียก เธอก็สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ “ส-สวี่เหยียนเองเหรอ ก็นิดหน่อยน่ะ ฉันมีปัญหากับเจ้าของบ้านเฉย ๆ จริง ๆ คือฉันกำลังหาบ้านเช่าหลังใหม่อยู่ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังหาที่เหมาะ ๆ ไม่ได้เลย ว่าแต่ เธอพอจะรู้เรื่องนี้บ้างไหม?”
“เธออยากจะหาบ้านเช่าเหรอ? ไม่มีปัญหา พ่อของฉันทำงานเป็นยามรักษาความปลอดภัยให้หมู่บ้านของฉันน่ะ ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันลองถามพ่อให้นะ เธอจะต้องได้ข่าวดีแน่ ๆ!”
“จริงเหรอ? เยี่ยมไปเลย!” ฝูเจิ้งเจิ้งร้องออกมาด้วยความดีใจ
“ชู่ว ๆๆ!” สวี่เหยียนรีบเข้ามาปิดปากแม่คนลืมตัวก่อนที่จะมีใครมาได้ยิน
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ประชุมเช้านี้ไม่จบง่าย ๆ ใน 2 ชั่วโมงหรอก” เธอค่อย ๆ ดันมือของสวี่เหยียนลงแล้วยิ้มหวานให้ “นี่ ไหน ๆ ตอนนี้ก็ว่างกันแล้ว มานั่งคุยเรื่องนี้กันสักพักก็ได้”
“เรื่องอะไรอีก?” ทันใดนั้น หานซือฉีก็เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับปรากฏตัวที่ประตูห้อง ตัวเขาเปรียบเสมือนพญามัจจุราชที่คอยหักเงินเดือนพนักงานที่อู้งานทุกคน ซึ่งนั่นทำให้สวี่เหยียนเกรงกลัวเขาเป็นอย่างมาก
“ค-ค-คุณหาน พวกเราไม่ได้อู้งานมาคุยกันนะคะ พ-พ-พวกเราก็แค่…” สวี่เหยียนสั่นไปทั้งตัว มือของเธอขยับมั่วซั่วไปหมดโดยที่ไม่รู้จะทำยังไงดี
ไม่เพียงแค่สวี่เหยียนที่ช็อก ฝูเจิ้งเจิ้งเองก็ช็อก เพราะตามปกติแล้วการประชุมเช่นนี้มันควรจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง แต่นี่มันเพิ่งจะครึ่งชั่วโมงเองนะ!
เธอค่อย ๆ สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะทบทวนเหตุการณ์ให้ดี บางทีหานซือฉีน่าจะออกมาจากลิฟต์ตอนที่เธอดึงสวี่เหยียนเข้ามาในห้องนี้ก็ได้ ดังนั้นแล้วหญิงสาวจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณหานคะ พวกเราแค่จะคุยเรื่องการร่วมงานด้วยกันในอนาคตน่ะค่ะ อย่างน้อย ๆ จะได้มีเวลาไปทำงานส่วนอื่นกันได้ เราอยากจะใช้เวลาของพวกเราช่วยทำให้บริษัทเว่ยหานแห่งนี้พัฒนาไปได้ไกลขึ้นอีกนะคะ”
“จริงเหรอ?” หานซือฉีหันกลับไปมองสวี่เหยียน
แววตาของหญิงสาวที่ตกเป็นเป้าสายตานั้นดูละห้อยเหมือนสุนัขที่กำลังจะถูกตัดหางปล่อยวัด
ฝูเจิ้งเจิ้งที่เห็นท่าจะไม่ดี กลัวว่าสวี่เหยียนจะต้องเผชิญปัญหาใหญ่ จึงรีบดันอีกคนไปข้าง ๆ และเผชิญหน้ากับมัจจุราชในคราบรองประธานหนุ่มผู้นี้แทน “ฉันเป็นคนพาสวี่เหยียนเข้ามาในห้องนี้เองค่ะ เพราะอยากจะคุยกับเธอ ดังนั้นเธอไม่ผิดอะไรทั้งนั้น ถ้าหากจะลงโทษ ก็มาลงโทษที่ฉันได้เลยค่ะ”
“เจิ้งเจิ้ง…”
ได้ยินเช่นนั้น หานซือฉีก็หันหน้าไปมองสวี่เหยียนก่อนจะพูด “ถ้างั้นเธอก็กลับไปทำงานได้แล้ว หรือจะไม่ทำ?”
“ฉ-ฉัน…” สวี่เหยียนไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่อ เธอหันหน้าไปทางประตูและรีบวิ่งกลับไปประจำตำแหน่งตนเองทันที
หานซือฉีเดินกลับไปยังที่นั่งของเขาหลังทุกอย่างดูจะสงบลง
แต่ทางฝูเจิ้งเจิ้งที่รู้สึกประหลาดใจกับท่าทีของหานซือฉีที่ไม่ได้สนใจจะลงโทษเธอ หญิงสาวก็รีบตามเขาไปก่อนจะทวนคำพูดตนอีกครั้ง “ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของฉันเอง สวี่เหยียนไม่ได้รู้เห็นด้วย เพราะงั้นถ้าจะลงโทษ ก็เชิญลงโทษฉันได้เลยค่ะ”
“ลงโทษเธอเหรอ?” ขณะที่เอนตัวพิงไปกับเก้าอี้ หานซือฉีก็หันมองอีกฝ่ายที่กำลังออกตัวรับผิดก่อนจะยิ้มจาง ๆ ให้ “การลงโทษเธอคือการหักโบนัส ต่อให้ทำงานดีแค่ไหนก็ไม่มีให้เพิ่ม แถมเธอยังเอาเงินเดือนของครึ่งปีมาใช้จนหมดแล้วด้วย แบบนี้ยังจะรับการลงโทษได้อีกหรือไง?”
“เงินเดือนของครึ่งปี!?” ฝูเจิ้งเจิ้งตกใจสุด ๆ “ฉันเพิ่งจะได้เงินเดือนมา 2 เดือนเองนะคะ? อย่าคิดว่าฉันไม่ได้นับนะ!”
“เธอกับลูกชายกินอยู่ในบ้านของฉันตลอดหลายวันมานี้ คิดว่าฉันไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายเหรอ? ทั้งค่าเสื้อผ้าทั้งค่าเครื่องนอน คิดว่านั่นฟรีไหมล่ะ? แถมฉันยังขับรถมาส่งแล้วก็เป็นบอร์ดี้การ์ดให้อีกด้วยนะ” เขาพูดพร้อมกับมองหน้าเธอด้วยท่าทางยียวน
“ต-แต่คุณหานยื่นความช่วยเหลือนี่ให้ฉันด้วยตัวเองนะคะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งถึงกับสะอึก
หานซือฉียกยิ้ม “งั้นเธอที่ขอเข้ามาทำงานที่เว่ยหานนี่ด้วยตัวเองโดยที่ฉันไม่ได้ขอ แบบนี้ฉันไม่จ่ายเงินเดือนเธอได้หรือเปล่า?”
หญิงสาวชะงักก่อนจะกระทืบเท้าอยู่ในใจ เธอกัดฟันแน่นและพูดต่อ “โอเคค่ะ คุณหานชนะ แต่ราคานี้มันไม่โหดไปเหรอคะ ต่อให้ฉันอยู่โรงแรม ฉันยังไม่ต้องเสียเงินเดือนเทียบเท่า 3 เดือนในไม่กี่วันเลยนะ!”
“ถ้าเธออยู่โรงแรมก็อาจจะเป็นแบบนั้น แต่เธอมีฉัน ผู้เป็นรองประธานบริษัทเว่ยหานเป็นทั้งคนขับรถและบอร์ดี้การ์ดให้ เว่ยหานจ่ายฉันอย่างน้อยก็ 5 ล้านหยวนต่อปี เธอคิดว่าเงินเดือนแค่ 3 เดือนของเธอจะพอหรือเปล่าล่ะ?”
“แบบนั้นมันหมายถึงฉันติดหนี้คุณหานมหาศาลเลยไม่ใช่เหรอคะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกเดือดดาลสุด ๆ อะไรกัน นี่มันปล้นกันชัด ๆ หญิงสาวได้แต่ประท้วงในใจ
“ใช่” หานซือฉีตอบกลับง่าย ๆ แต่หนักแน่น
“ฮึ่ม! คุณหานปล้นฉัน! ฉันก็บอกไปแล้วว่านอกจากชีวิตฉันก็ไม่เหลืออะไรแล้ว!”
เมื่อเห็นฝูเจิ้งเจิ้งเดือดดาลเช่นนั้น หานซือฉีก็ยิ้มพอใจทำเป็นทองไม่รู้ร้อนต่อไป นอกจากนั้นเขายังพูดต่ออีกว่า “ถ้าไม่ติดว่าเธอเป็นพนักงานใหม่ล่ะก็ ฉันคงจะหักเงินเพิ่มจากท่าทีเมื่อกี้แล้ว แต่ก็นะ ไม่ใช่ว่าจะไม่หักหรอก ฉันจะไปลงกับพนักงานรุ่นพี่ของเธออย่างสวี่เหยียนที่อู้งานโดยไม่ได้รับอนุญาต หักโบนัสสัก 2 เดือนน่าจะสมเหตุสมผล ถ้าฉันจำไม่ผิด สวี่เหยียนบอกว่าเงินเดือนของเธอต้องเอาไปช่วยครอบครัวที่กำลังลำบาก ไหน ๆ ครอบครัวลำบากแล้วก็ลำบากกับครอบครัวไปสักพักจะเป็นไรไป” ชายหนุ่มเลือกที่จะใช้จุดอ่อนของฝูงเจิ้งเจิ้งให้เป็นประโยชน์ เธอน่ะไม่ยอมให้คนอื่นต้องมาเดือดร้อนเพราะตัวเองเด็ดขาด
“ไม่ได้นะคะ! ห้ามหักเงินสวี่เหยียนนะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบยืนขึ้นตรงหน้าหานซือฉีทันทีได้ยินเช่นนั้น
อะไรกันน่ะ แค่พนักงานคุยกันนิดเดียวต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยเหรอ? นี่ถ้ามารู้ว่าเมื่อเช้าฉันแอบหนีออกไปจากบริษัทจะไม่นึกคึกไล่ฉันออกอีกรอบเลยหรือไง?
หญิงสาวพยายามสงบสติอารมณ์และทำใจให้เย็นลง กระนั้นภายในใจของเธอก็ยังบ่นอิดออดอยู่ตลอด
“อยากจะพูดอะไรเป็นครั้งสุดท้ายไหม หรือ อยากให้ฉันพูดอะไรเป็นครั้งสุดท้าย?”
“ก-ก็ได้ ถ้างั้นก็ช่วยนำสวี่เหยียนออกจากเรื่องนี้ด้วยค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งแสดงสีหน้ากังวลออกมาก่อนจะพูดด้วยเสียงที่ค่อยลง “ฉันจะพยายามให้มากขึ้นเป็น 2 เท่าเพื่อบริษัทในอนาคตเอง”
“พยายามมากขึ้นเป็นสองเท่า?”
“ใช่…ใช่แล้วค่ะ ทำงานหนักขึ้นเป็น 2 เท่า” ฝูเจิ้งเจิ้งมองว่านี่เป็นทางที่เหมาะสมที่สุดแล้วสำหรับเรื่องนี้ ดังนั้นเธอจึงรีบพยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าวเปลือกเพื่อยืนยัน
“ดี” ชายหนุ่มตอบเพียงสั้นๆ
“จริงเหรอคะ!?”
ในขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งเตรียมจะดีอกดีใจ หานซือฉีก็พูดต่อขึ้นมาก่อน “ป้าเฉินจะลาพักร้อน 1 เดือน เพราะงั้นตั้งแต่พรุ่งนี้ หลังเลิกงาน เธอต้องคอยไปดูแลฉันทุก ๆ วันเป็นเวลา 1 เดือน”
“ดูแลคุณหาน? ฉันไม่…”
ก่อนที่ฝูเจิ้งเจิ้งจะได้พูดว่า ‘ไม่ทำ’ หานซือฉีก็ตัดบทเธอไปว่า “หลังจาก 1 เดือนนี้ พวกเงินที่ใช้เกินตัวของเธอ ฉันจะถือว่าเป็นค่าล่วงเวลา แล้วก็สวี่เหยียนจะไม่โดนหักโบนัสด้วย แต่ถ้าไม่…”
ได้ยินเช่นนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบเปลี่ยนคำพูดทันที “ฉันไม่ปฏิเสธอยู่แล้วค่ะ!”
หานซือฉีพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เขามองฝูเจิ้งเจิ้งเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตนเองพลางหัวเราะเบา ๆ คนเดียว
คิดเหรอว่าแผนการของเธอฉันจะไม่รู้? ดูท่าเธอจะยังไม่รู้สินะว่าตัวเลขกับฉันน่ะแทบจะเป็นพี่น้องกันได้แล้ว สมองของฉันสามารถจดจำตัวเลขจากการเห็นผ่าน ๆ ได้ถึง 20 ตัว แล้วนับประสาอะไรกับเบอร์โทรศัพท์แค่ 8 หลักบนจอมือถือ?
แค่โทรไปแล้วให้ราคาที่สูงกว่า เจ้าของบ้านก็ต้องเชื่อฟังและให้กุญแจบ้านฉันแทนอยู่แล้ว นี่แหละนะ พลังแห่งเงินตรา
รอยยิ้มของเขาไม่ถูกเปิดเผยให้เจ้าหล่อนเห็น มีเพียงเขาเองเท่านั้นที่เห็นมันผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าที่สะท้อนภาพออกมา
ฝูเจิ้งเจิ้งที่นั่งหน้าบูดหน้าบึ้งอยู่นั้นยังไม่รู้ตัวเลยว่าแผนการของตนเองถูกหานซือฉีดักทางไว้หมดแล้วภายใน 1 ชั่วโมงเท่านั้น!
นอกจากเธอจะย้ายออกจากบ้านไม่ได้แล้ว เธอยังต้องมาอยู่กับหานซือฉีหลังเลิกงานอีก!
นี่อยากได้พี่เลี้ยงเด็กหรือไงน่ะ? แล้วคนที่จบจากโรงเรียนตำรวจอย่างฉันต้องมาทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กแบบนี้น่ะเหรอ?
หญิงสาวตะโกนก้องอยู่ในใจ ‘พระเจ้าาาาา! มองลงมาสิ มองลงมา! เห็นไหมว่าไอ้เจ้าซาตานหน้าหล่อนี่กำลังทำอะไรอยู่!!’
ในตอนนั้นเอง ประตูออฟฟิศก็เปิดออก และด้วยความฉุกละหุกนี้มันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งแทบจะหัวใจวายได้เลย ใครบางคนวิ่งพรวดเข้ามาโดยไม่เคาะประตูห้องรองประธานเนี่ยนะ!?
——————————————————————————————————-
คุยกับผู้แปล
ตอนแรกคิดว่าโกรธจริง ที่แท้คุณชายแค่แอบแกล้งนี่หว่า ร้ายกาจนักน้าาาา ไม่อยากให้ฝูเจิ้งไปไหนเลยวางแผนไว้ล่ะซี่~
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-