ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪] – บทที่ 32 ไม่ได้ให้เพราะกลัวเธอหนาวหรอกนะ

ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪]

บทที่ 32 ไม่ได้ให้เพราะกลัวเธอหนาวหรอกนะ

ฝูเจิ้งเจิ้งรีบสาวเท้าเพื่อลงไปดูด้านล่าง และเธอก็เริ่มเห็นเงาร่างของคนคนหนึ่งลาง ๆ

เมื่อขยับเข้าไปใกล้ ๆ ก็พบว่าเจ้าของร่างที่กำลังเดินไปมาอยู่ด้านล่างนั้นก็คือเฉินเฉี่ยวหลานที่กำลังจัดของอยู่นั่นเอง

“ป้าเฉิน ทำไมยังไม่นอนอีกคะเนี่ย? นี่มันก็ดึกมากแล้วนะ”

เฉินเฉี่ยวหลานหันกลับมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นฝูเจิ้งเจิ้งเธอก็ตอบคำถามด้วยรอยยิ้ม “พรุ่งนี้ป้าก็จะกลับไปพักผ่อนแล้ว เพราะงั้นเลยอยากจะจัดของต่าง ๆ ให้สามารถหาได้ง่ายขึ้นน่ะค่ะ”

สายตาของฝูเจิ้งเจิ้งเหลือบไปเห็นรายการสิ่งต่าง ๆ บนโต๊ะก็พบว่ามันถูกจัดเตรียมไว้อย่างดี เขียนอธิบายละเอียดว่าอยู่ตรงไหนบ้าง

ยิ่งได้เห็นเช่นนี้มันยิ่งทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกโกรธหานซือฉีมากขึ้นไปกว่าเดิม โกรธในความเจ้าเล่ห์ของเขาแต่ก็ซาบซึ้งในความใจดีของเฉินเฉี่ยวหลาน เมื่อเห็นว่าสาววัยกลางคนผู้นี้ต้องทำทั้งหมดในรายการดังกล่าวคนเดียว เธอก็รีบเดินเข้าไปจับเฉินเฉี่ยวหลานนั่งลงพร้อมกับพูดกับอีกฝ่ายเชิงตำหนิตนเอง “ป้าเฉิน ให้ฉันช่วยทำดีกว่าค่ะ ดูสิ ตัวป้าเฉินเองก็ไม่ใช่ว่าจะแข็งแรง ขืนยังต้องนอนดึกอีกมันจะแย่ลงเอานะคะ”

“อย่าคิดมากเลยค่ะ ฉันแค่ทำเผื่อท่านซือฉีเฉย ๆ”

“เขาเองก็ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะคะ หรือว่าป้าเฉินกลัวว่าฉันจะปล่อยให้เขาอดเหรอ? ไม่เป็นไร ให้ฉันทำเถอะค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งค่อย ๆ พาเฉินเฉี่ยวหลานกลับไปส่งยังห้องของเจ้าตัวแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ค่อยอยากกลับไปนอนก็ตาม

อาจจะเพราะของที่เตรียมไว้เกือบจะเสร็จแล้ว หลังจากที่ฝูเจิ้งเจิ้งมารับช่วงต่อ มันจึงใช้เวลาไม่นาน ทุกอย่างก็ถูกจัดให้เข้าที่เข้าทางตามที่ลิสต์ไว้ในกระดาษครบถ้วน ในขณะที่หญิงสาวหันหน้ากลับเตรียมจะขึ้นห้องของตนนั้น เธอก็ชนเข้ากับ ‘กำแพง’​ อย่างจัง

กำแพง? ในห้องทานอาหารเนี่ยนะ?

ใบหน้าสวยเงยหน้ามองขึ้นไป อย่างที่คิดเลย นี่มันหานซือฉี!

กำแพงบ้าบออะไรจะมาอยู่ในห้องทานอาหารได้!

หญิงสาวแสร้งทำเป็นไม่เห็นเขา ฝูเจิ้งเจิ้งปลีกตัวออกมาแล้วเดินขึ้นชั้นบนไปอย่างรวดเร็ว

เอ๊ะ ไม่โกรธเหรอ? หรือว่าป้ายสแตนดี้?

น่าประหลาดใจที่คนมือไวอย่างหานซือฉีกลับไม่ได้รั้งเธอไว้ เขารอจนกระทั่งเธอขึ้นไปแล้วจึงหันหน้ากลับไปทางประตูและเดินออกไป

ทันทีที่ฝูเจิ้งเจิ้งถึงบันไดขั้นสุดท้าย เธอก็รีบสไลด์ตัวหลบมามุมหนึ่งเพื่อชะโงกหน้าไปมองเหตุการณ์ด้านล่างแบบลับ ๆ

แต่สิ่งที่เธอได้รับกลับมากลับมีเพียงเสียงเปิดประตู เสียงปิดประตู แล้วก็เสียงเครื่องยนต์รถเท่านั้น

ฝูเจิ้งเจิ้งรีบวิ่งกลับเข้าไปในห้อง ปิดไฟและพุ่งออกไปยังดาดฟ้าด้านนอกเพื่อแอบดูต่อ ภาพที่เห็นก็เป็นไปตามคาด หานซือฉีขับรถออกจากบ้านไปอีกแล้ว

ที่บอกว่ากลางคืนไม่เคยอยู่บ้านนี่เรื่องจริงงั้นเหรอ!? อยู่สักคืนมันจะทำให้ไม่มีแรงไปทำงานหรือยังไงน่ะ!

คืนก่อนที่ส่งข้อความไปบอกให้หยางเต๋าสะกดรอยตามกลับกลายเป็นว่าเขาออกไปพบฟู่เหวินไห่ซะได้ บางทีอาจจะเป็นเรื่องหลินเจี่ยว

แล้วคืนนี้ไปไหน? หนุ่ม ๆ ด้วยกันคงไม่นัดกันกลางดึกบ่อย ๆ หรอกมั้ง?

วันนี้ทั้งวันก็ไม่เห็นได้ยินหานซือฉีพูดถึงสิ่งที่จะไปทำตอนกลางคืนเลย เอาจริง ๆ วันอื่นก็แค่เผอิญไปได้ยินด้วยตัวเองมากกว่า วันนี้อาจจะพลาดไม่ได้ยินตอนเขาพูดก็ได้ แต่ก็นะ แปลกคนจริง ๆ มีอะไรก็หัดไปทำตอนเย็นสิ นี่ตอนเย็นกลับมาก็เห็นอุดอู้อยู่แต่กับงาน ทำอะไรอยู่คนเดียวหน้าคอมพิวเตอร์​ในห้องของตัวเอง…

อ๊ะ จริงสิ!

จู่ ๆ ลักษณะ​บางอย่างของหานซือฉีก็พุ่งเข้ามาในห้วงความคิดของเธอจนเธอต้องตาโต

หานซือฉีชอบอะไรน่าตื่นเต้น​ใจจะตายไปนี่นา! หรือว่า…ที่ออกไปทุก ๆ คืนแบบนี้จะไปเจอสาว ๆ เหรอ? แบบว่าอดใจไม่ไหว?

หลี่เสี่ยวเมิ่ง? ไม่สิ หรือจะเป็นเฉียวเค่อเหริน? มีใครที่ฉันยังไม่ได้พูดถึงอีกนะ?

ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันที นั่นสินะ ผู้ชายก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่พึ่งพาสัญชาตญาณสัตว์ป่าเป็นหลักอยู่แล้วนี่ พอขาดสาว ๆ มาบำเรอใจก็แทบจะลงแดงไปทุกคืน

ฮึ่ม!— แล้วฉันจะมาแคร์ทำไมเนี่ย! เขาจะไปหาสาวคนไหนก็เรื่องของเขาสิ! ม-มันไม่เกี่ยวกับรูปคดีสักหน่อย!! ไม่สนแล้ว ฉันจะไปนอน! เชิญใช้ชีวิตอิสระยามราตรีไปได้เลย! หลังจากคืนนี้ไปแล้วฉันจะริดรอน​อิสระภาพของนายซะ!

มันใช้เวลาอยู่นานกว่าฝูเจิ้งเจิ้งจะสลัดความคิดทุกอย่างไปไว้ข้างหลังและข่มตาหลับได้ นี่ถ้าไม่ติดว่าความง่วงชนะทุกอย่างได้ ดีไม่ดีเธออาจจะตาแข็งนอนคิดมากยันสว่างเลยก็ได้

———-

วันรุ่งขึ้น แสงสว่างจากดวงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในห้องนอนของเธอ นาฬิกาปลุกธรรมชาติที่ทำงานอย่างขยันขันแข็งในทุก ๆ วันได้นี่น่าอิจฉาจัง

หญิงสาวยืดมือไปสุดแขนเพื่อบิดขี้เกียจก่อนจะลืมตาที่ยังสะลึมสะลือขึ้นมา เรือนร่างงามนั้นดีดตัวขึ้นมานั่งโดยอัตโนมัติหลังจากที่แสงตะวันเริ่มกระทบเปลือกตา เธอหันไปมองข้าง ๆ เพื่อจะปลุกลูกชายของเธอ แต่เธอก็พบว่าข้างเตียงนั้นว่างเปล่า ความง่วงทั้งหลายหายไปโดยทันที​ หญิงสาวร้องตะโกนออกมา “ฝูซิง? ฝูซิง!!”

ไม่มีเสียงตอบรับใดของเจ้าตัวแสบ

ทันทีที่รู้สึกว่าผิดปกติ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ลุกพรวดไปดูห้องน้ำโดยไม่ได้สนใจจะหาเสื้อคลุมมาใส่ทับชุดนอนตัวบางนี้ก่อนสักนิด​

เธอยิ่งหน้าเสียมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อในห้องน้ำนั้นไม่มีเจ้าตัวเล็กของเธอซ่อนตัวอยู่

ปกติแล้วฝูซิงเป็นเด็กขี้เซาแท้ ๆ ขนาดมีเธอปลุกยังไม่อยากจะตื่นจนต้องดึงหูลงมาจากเตียงเลย

ฝูเจิ้งเจิ้งเดินตะโกนเรียกหาฝูซิงตั้งแต่ชั้นบนลงมาชั้นล่าง แต่ไม่ว่าอย่างไร ฝูซิงก็ไม่ได้ตอบอะไรทั้งสิ้น

ห้องของซือฉี! ใช่แล้ว ฉันลืมไปได้ยังไงนะ!

เมื่อคิดได้ดังนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบวิ่งกลับขึ้นไปด้านบนแล้วเข้าไปหาในห้องของหานซือฉีทันที ทว่าภายในห้องนั้นก็ยังว่างเปล่า ภาพเหล่านี้มันทำให้เธอเริ่มจะกังวลใจมากขึ้นเรื่อย ๆ

ป้าเฉินก็กลับบ้านไปแล้ว หานซือฉีก็ไม่อยู่บ้าน แล้วฝูซิงจะไปไหนได้น่ะ?

เมื่อครั้งที่ฝูซิงโดดเรียนออกมาหาหานซือฉีตอนนั้น เธอก็ย้ำนักย้ำหนาแล้วเรื่องไปไหนไม่บอกกล่าว นี่มันแสดงให้เห็นว่าเขาไม่หลาบจำหรือเปล่า?

หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าภายในอาณาเขตคฤหาสน์หลังนี้ไม่มีฝูซิงอยู่แน่ ๆ ความกังวลมันก็ยิ่งก่อตัวชัดเจน ทำเอามือไม้แข้งขามันก็พากันอ่อนแรงไปหมด เหงื่อที่ไม่ได้มาจากความเหนื่อยอ่อนเองก็เริ่มพากันซึมออกมา ลูกชายของเธอหายไปไหน…จะมีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าตัวน้อยของเธอรึเปล่า…

สายตาของหญิงสาวเหลือบไปเห็นโทรศัพท์ เธอจึงไม่รอช้าที่จะคว้ามาและกดเบอร์โทรศัพท์ที่คุ้ยเคยในทันที แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงแค่ “ขอโทษค่ะ เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันน่ะ!

ในเมื่อหาที่ ๆ ควรจะหาแล้วไม่เจอ ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบวิ่งออกไปนอกตัวคฤหาสน์และพบกับยามที่กำลังเดินลาดตระเวนอยู่ฝั่งตรงข้ามพอดี เธอไม่รอช้าที่จะวิ่งข้ามถนนไปและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ “เอ่อ สวัสดีค่ะ พอจะเห็นฝูซิงบ้างไหมคะ? แฮ่ก…แฮ่ก…”

ฝูซิงนั้นเป็นเด็กปากหวาน เขามักจะทักทายยามคนนี้อยู่เป็นประจำทุกวันเมื่อผ่านหน้าป้อมยาม ดังนั้นทุก ๆ คนละแวกนี้จึงรู้ดีว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กร่าเริงขนาดไหน

ยามคนดังกล่าวชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบคำถามด้วยท่าทีขัดเขิน “อ่า เอ่อ… ผมเห็นทั้งคู่เลยครับ ทั้งเขาแล้วก็คุณหาน เห็นพากันเดินอยู่ตรงจัตุรัสด้านนู้น”

“เดิน?” ฝูเจิ้งเจิ้งไม่เข้าใจเท่าไหร่ แต่ยังไม่ทันจะได้ถาม ยามคนเดิมก็รีบก้มหัวให้เธอแล้วเดินปลีกตัวไปอย่างรวดเร็วแล้ว แถมเขายังมีอาการหน้าแดงให้เห็นอยู่ด้วย

ปกติก็เป็นคนคุยง่าย พูดไม่หยุดแท้ ๆ ไหงวันนี้ถึงสงบเสงี่ยมขึ้นมาซะงั้นล่ะ?

แต่ไม่มีเวลามาสงสัยเรื่องคนอื่นแล้ว ตอนนี้เธอต้องรีบมุ่งหน้าไปยังจัตุรัสที่ว่านั่นให้เร็วที่สุด

บางทีอาจจะเป็นเพราะอากาศที่สดชื่นของเช้าวันนี้ มันเลยทำให้ที่จัตุรัสแห่งนี้มีผู้คนออกมามากมายกว่าปกติ บางคนมาออกกำลังกาย บางคนก็มาจับกลุ่มคุยนู่นคุยนี่หัวเราะกันเต็มไปหมด

ฝูเจิ้งเจิ้งที่เข้ามาถึงเขตนั้นแล้วก็มองไปรอบ ๆ ด้วยความกังวล เธอไม่เห็นเจ้าตัวเล็กอยู่เลยจึงร้องเรียกเสียงดัง “ฝูซิง!!”

“…”

“หม่ามี๊ ฝูซิงอยู่นี่!”

เสียงใสซุกซนดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน แต่ยังไม่เห็นเจ้าของเสียง คิ้วเรียงสวยของฝูเจิ้งเจิ้งจึงค่อยขมวดและเพ่งมองเข้าไปเพื่อหาเจ้าตัว และในที่สุดเธอก็เห็นฝูซิงกำลังปรบมือและหัวเราะอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนมากมาย

หญิงสาวโกรธมาก ๆ เธอเดินเข้าไปกระชากเด็กน้อยเข้ามาและกอดไว้แน่นขณะที่ร้องไห้ไปด้วย “ใครอนุญาตให้ลูกออกมาวิ่งเล่นแถวนี้ตั้งแต่เช้ากันน่ะ!?”

มองไปยังแม่ของตนที่กำลังโกรธจัด ฝูซิงก็รู้สึกผิดและพูดเสียงหงอย “หม่ามี๊ ฝูซิงไม่ได้ออกมาวิ่งเล่นสักหน่อย”

“ลูกไม่ได้ทำแล้วใครจะทำ! รู้หรือเปล่าว่าหม่ามี๊เป็นห่วงเราขนาดไหน? ถ้าต่อจากนี้ลูกยังกล้าหนีออกมาวิ่งเล่นคนเดียวอีกล่ะก็ หม่ามี๊จะหักขาลูกซะเลย!”

จริง ๆ แค่การที่ได้เห็นฝูซิงปลอดภัยดีนั้นก็ทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งโล่งใจมากแล้ว ความกังวลความทุกข์ใจและความกลัวก่อนหน้านี้มันกัดกินใจเธอจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ หญิงสาวกอดลูกไว้แน่น แต่ก็ยังอดโกรธไม่ได้อยู่ดี

“ตื่นสายเลยพาลมาลงที่เด็กหรือไง?” หานซือฉีแทรกตัวเข้ามา เขาถอดเสื้อคลุมออกและวางมันให้ฝูเจิ้งเจิ้งก่อนจะดึงตัวฝูซิงมาไว้กับตนพลางลูบไหล่เจ้าตัวน้อยเพื่อปลอบใจ

ฝูเจิ้งเจิ้งแหงนหน้ามองไปยังเจ้าของเสื้อคลุมและพบว่าเป็นหานซือฉีที่มาในชุดขนสัตว์สีสว่างและกางเกงขายาวสีเทา ตามชายกางเกงขายาวนั้นมีฝุ่นเกาะอยู่ให้เห็นประปรายรวมถึงที่ข้อมือก็มีคราบฝุ่นเลอะอยู่ด้วย ผมที่ปกติจะหวีให้เข้าทรง คราวนี้ดูยุ่งเหยิงเล็กน้อยราวกับเพิ่งตื่น ไหนจะอาการเหนื่อยที่เห็นได้จากการหอบหายใจถี่นั่นอีก

เห็นแบบนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็โกรธขึ้นมามากกว่าเดิม

นี่กกผู้หญิงมาทั้งคืนเลยเหรอ!! ทำไมถึงบ้ากามขนาดนี้นะ! ไม่รู้หรือไงว่าต้องไปทำงานน่ะ! ทำตัวเองให้เพลียไม่ยอมหลับยอมนอนแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน!

หญิงสาวส่งเสื้อคลุมตัวนั้นคืนให้เจ้าของก่อนจะดึงตัวฝูซิงมาไว้ในอ้อมกอดของตน “ฉันจะดุลูกของฉัน คุณหานมีสิทธิ์อะไรมาห้ามคะ?”

หานซือฉีขมวดคิ้วและโยนเสื้อคลุมตัวนั้นกลับไปให้เธออีกครั้ง และคราวนี้เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเชิงออกคำสั่งไปด้วย “ใส่เสื้อนั่นซะ! แล้วถ้าจะคุยอะไรค่อยกลับไปคุยที่บ้าน ฝูซิงก็เป็นลูกฉันเหมือนกัน!”

“อุ๊บ! คุณหานจะเป็นป๊ะป๋าของฝูซิงไปได้ยังไง?” ฝูเจิ้งเจิ้งโยนเสื้อคลุมนั้นกลับไปหาเขาอีกรอบและใช้นิ้วจิ้มหน้าผากฝูซิงไปด้วย “จะกล้าทำแบบนี้อีกไหม? ถ้าเกิดมีคนมาลักพาตัวแล้วเอาลูกไปขายในตลาดมืดจะทำยังไง?”

“หม่ามี๊ เมื่อเช้าฝูซิงก็ปลุกหม่ามี๊แล้วแต่หม่ามี๊ไม่ยอมตื่นเองนี่” ฝูซิงบุ้ยปากพร้อมกับร้องไห้ออกมา เด็กชายเงียบไปหลังจากโดนดุเช่นนั้น

“เดี๋ยวนี้ลูกกล้าที่จะหลบหนีความผิดที่ตัวเองก่อเหรอ? กลับไปแล้วก็หันหน้าเข้ากำแพงทำสมาธิเลยนะ! แล้วก็วันนี้ลูกจะได้กินแต่ผักทุกเมนู จำไว้เลย!” เธอทั้งโมโหและหงุดหงิด หงุดหงิดใครน่ะเหรอ..หมอนั่นไงล่ะ

“เธอเป็นบ้าอะไรแต่เช้าน่ะฝูเจิ้งเจิ้ง!” หานซือฉีเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว เขาพาดเสื้อคลุมที่ถูกส่งไปส่งมาไว้บนไหล่ก่อนจะดึงตัวฝูซิงมาไว้ด้านหลังตน “ปล่อยหม่ามี๊ของลูกไว้ที่นี่แหละ เรากลับบ้านกันดีกว่า”

“นี่ลูกจะกลับบ้านไปกับคนคนนั้นเหรอ? ทั้ง ๆ ที่หม่ามี๊เป็นแม่แท้ ๆ ของลูกน่ะนะ!”

ฝูเจิ้งเจิ้งเดินเข้าไปและดึงฝูซิงมาด้วยความโกรธ ที่เธอไม่ยุ่งกับหานซือฉีนั่นก็เพราะเขาเป็นเจ้านายของเธออีกทีหนึ่ง

ท่ามกลางสายตาของคนที่มองมายังเหตุการณ์นี้ ต่างก็แอบซุบซิบกันถึงความสัมพันธ์ระหว่าง 3 คนนี้ไปด้วย

จากเสียงซุบซิบของคนเหล่านี้ ฝูเจิ้งเจิ้งอยากจะหันไปแก้ต่างมาก ๆ ว่ามันไม่ใช่อย่างที่พวกเขาคิด แต่เพราะฝูซิงกำลังเดินห่างเธอไปเรื่อย ๆ มันเลยทำให้เธอวนเวียนอยู่กับอารมณ์โกรธตอนนี้มากกว่า “หยุดเดี๋ยวนี้นะฝูซิง!”

ทุกครั้งที่ฝูซิงเห็นฝูเจิ้งเจิ้งโกรธ เขาก็จะหวาดกลัวและไม่กล้าขัดคำสั่ง ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าเธอสั่งให้หยุด ท้ายที่สุดเด็กน้อยก็หยุดฝีเท้าลงแล้วหันไปมองหานซือฉีด้วยแววตาน่าสงสาร

หานซือฉีลูบหัวฝูซิงเบา ๆ ก่อนจะหันไปดุหญิงสาว “ฝูเจิ้งเจิ้ง ฉันไม่มีภรรยาหยาบคายแบบเธอนะ!”

ฝูเจิ้งเจิ้งที่อยู่ในอารมณ์เดือดดาลไม่ยอมแพ้ เธอตะโกนกลับอย่างไม่ลังเล “หานซือฉี! ฉันก็ไม่มีสามีแย่ ๆ แบบนาย!”

ได้ยินเช่นนั้น เหล่าคนที่หันมองมาก็พากันยิ้มกรุ้มกริ่ม พวกเขาเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นและหูที่ได้ยินพร้อมทั้งปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดก่อนที่หญิงชราคนหนึ่งจะหัวเราเสียงดังออกมา “คู่รักน่ะยิ่งทะเลาะกันก็ยิ่งรักกันนะวัยรุ่น”

“พวกเราไม่ใช่คู่รักกันนะคะ!” เมื่อตระหนักได้แล้วว่าตนเองพูดอะไรผิดไป ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบหันไปอธิบาย ทว่าคนเหล่านั้นเหมือนจะพยายามปลีกตัวออกห่างแล้วเพราะจะปล่อยให้คู่รักข้าวใหม่ปลามันทะเลาะกันไปเองโดยที่พวกเขาก็ยังคงคุยและหัวเราะด้วยกันไปตลอดทาง

หญิงสาวกระทืบเท้าและหันไปจ้องมองหานซือฉี “ค-คุณหาน! คุณแกล้งให้ฉันพูดอีกแล้ว!”เธอต่อว่าเขาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำขึ้นมาชัดเจน

ชายหนุ่มที่โดนหันมาค้อนขวับก็ได้แต่กลั้นยิ้มแล้วพูด “เธอพูดเองนะ”

ยัยนี่ก็มีมุมน่ารัก ๆ อยู่เหมือนกันนี่

ฝูซิงที่เห็นว่าแม่ของตนคงจะอารมณ์เย็นลงแล้วก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปจับมือของหล่อนและพูดด้วยเสียงนุ่มนวล “หม่ามี๊ อย่าโกรธไปเลย ฝูซิงปลุกหม่ามี๊แล้วจริง ๆ แต่ป๊ะป๋าบอกว่าหม่ามี๊คงจะเหนื่อยเกินไป หม่ามี๊ ฝูซิงจะไม่ทำอีกแล้ว อย่าโกรธฝูซิงเลยนะ…ได้ไหม?” เด็กน้อยโผกอดผู้เป็นแม่ราวกับต้องการจะปลอบขวัญ

แววตาที่บริสุทธ์ของเด็กน้อยรวมถึงถ้อยคำที่ไร้เดียงสานั้นมันพุ่งเข้ามาในใจของฝูเจิ้งเจิ้ง เธอค่อย ๆ ลูบมือที่มาจับมือเธอนั้นอย่างอ่อนโยน “ครั้งหน้าอย่าไปไหนมาไหนคนเดียวอีกนะ… หม่ามี๊เป็นห่วงฝูซิงนะลูก”

“ฝูซิงเข้าใจแล้ว” เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งให้อภัยเขาแล้ว ฝูซิงก็กลับมาสดใสอีกครั้ง “หม่ามี๊ จะมาซ้อมเดินด้วยกันไหม?”

“ซ้อมเดิน?” คำถามนี้ทำเอาฝูเจิ้งเจิ้งกลับมางุนงงอีกครั้ง

“ใช่แล้ว การแข่งจะเริ่มพรุ่งนี้แล้ว ป๊ะป๋าบอกว่าถ้าฝึกเดินในห้องมันจะส่งเสียงดังทำให้หม่ามี๊ตื่น ป๊ะป๋าอยากให้หม่ามี๊นอนเยอะ ๆ พวกเราก็เลยออกมาเดินกันตรงนี้แทน” ฝูซิงชูแขนให้เห็นเชือกที่เตรียมมาด้วยในมือ

ทันใดนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่ฝูซิงบอกไว้ เกี่ยวกับกิจกรรมผู้ปกครองและเด็กที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ และ 1 ในการแข่งขันที่มีก็เป็นวิ่ง 3 ขาเสียด้วย ครอบครัวไหนถึงเส้นชัยก่อนก็จะเป็นผู้ชนะไปตามที่รู้กัน

แต่นี่เธอไม่คิดเลยว่าหานซือฉีเองก็จะกระตือรือร้นตื่นมาซ้อมเดินแต่เช้ากับลูกชายของเธอแบบนี้ด้วย

ทั้ง ๆ ที่หานซือฉียอมทำเพื่อฝูซิงขนาดนี้ แต่เธอกลับมองเขาในแง่ร้ายไปซะหมด… รู้สึกไม่ดีเลย…

“หม่ามี๊ จะมาซ้อมด้วยไหม?” ฝูซิงโบกเชือกไปมาอีกรอบขณะถามซ้ำ

“ไว้เดี๋ยวพวกเรามาซ้อมกันใหม่ตอนบ่ายก็ได้ ตอนนี้กลับบ้านกันก่อน” หานซือฉีโยนเสื้อคลุมตัวเดิมให้แก่หญิงสาวเป็นครั้งที่สาม และคราวนี้เขาไม่รอรับคืนด้วย มือใหญ่จับมือของฝูซิงเอาไว้ในท่าทีที่พร้อมจะเดินกลับบ้านแล้ว

“ฉันไม่ได้หนาวนะคะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งบุ้ยปาก

เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งเตรียมจะโยนเสื้อนั้นกลับคืน หานซือฉีก็หรี่ตามองเธออีกครั้ง “ไม่ได้ให้ใส่เพราะกลัวเธอจะหนาว เอาไปคลุมร่างกายเธอซะ”

———————————————————————————————————————

คุยกับผู้แปล

ฝูเจิ้งเจิ้งน่าจะหึงแหละ แต่หานซือฉีนี่ห่วงเจิ้งเจิ้งจะเขินหรือหวงไม่อยากให้ใครเห็นกันนะ

-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-

ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪]

ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪]

Status: Ongoing
เรื่องราวชีวิตของคุณแม่ยังสาว ฝูเจิ้งเจิ้ง และลูกชายตัวแสบของเธอ ฝูซิง เด็กน้อยที่เฝ้าแต่จะตามหาผู้เป็นพ่อให้ได้ วันดีคืนดีเจ้าตัวน้อยดันไปเจรจาซื้อผู้ชายคนหนึ่งมาเป็นคุณพ่อของเขาเสียนี้ฝูเจิ้งเจิ้ง สาวสวยวัย 24 ปีผู้ที่วุ่นวายอยู่กับการเลี้ยงลูกน้อยอย่าง ฝูซิง ด้วยตัวคนเดียวมาตลอด ชีวิตแม่เลี้ยงเดี่ยวของเธอนั้นแม้จะยุ่งยากไปบ้างแต่ชีวิตในแต่ละวันก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี จนกระทั่งวันหนึ่งที่เธอตัดสินใจสมัครเข้าทำงานในบริษัทเว่ยฮั่น ใครจะไปคิดเล่าว่าจู่ๆ เจ้าลูกชายตัวแสบของเธอจะเก็บเงินแล้วไปหาซื้อป๊ะป๋ามาเติมเต็มให้ชีวิตแบบไม่บอกเธอเสียอย่างงั้น แถมป๊ะป๋าคนใหม่ของเขา ดันเป็นรองประธานบริษัทเว่ยฮั่นที่เธอเพิ่งจะสมัครเข้าทำงานอีก!? ตายละ แล้วแบบนี้ชีวิตฉันจะเป็นยังไงต่อไปเนี๊ย!!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท