บทที่ 34 มักมาก
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบยกมือขึ้นปิดอกในทันทีด้วยความเคยชิน แต่พอก้มลงมองก็พลันคิดได้ว่าวันนี้ตนเองสวมเสื้อคอสูงอยู่ ดังนั้นหญิงสาวจึงเปลี่ยนไปกดขาแนบกับพื้นและดึงเสื้อลงไปปิดอย่างรวดเร็ว จะให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยแบบเมื่อเช้าไม่ได้!!
“ฮ่า ๆๆๆๆ” เมื่อเห็นท่าทีดังนั้นของเธอที่นั่งเขินอยู่กับพื้น ชายหนุ่มก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
เสียงหัวเราะนี้ทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งต้องหันไปมอง นั่นมัน หานซือฉี!
ใบหน้าสวยก้มมองลงตามเนื้อตามตัวของตนเอง และก็พบว่าไม่มีส่วนไหนวับ ๆ แวม ๆ มีเพียงแค่ฝุ่นที่เปรอะเปื้อนนิดหน่อยเท่านั้น เมื่อตระหนักได้ว่าตนเองกำลังทำตัวเปิ่น ๆ ออกมา ฝูเจิ้งเจิ้งก็หงุดหงิดและตะโกนใส่เขาทันที “คุณหาน! สนุกมากหรือไงคะที่เห็นคนอื่นพลาดพลั้งน่ะ?”
หานซือฉีมองไปยังถนนใกล้ ๆ ก่อนจะหันกลับมามองเธออีกรอบหนึ่งด้วยสีหน้ายิ้มเยาะ “ว่าแต่ เธอเดตเสร็จหรือยัง?”
“หา?” ฝูเจิ้งเจิ้นงุนงงกับคำถามที่ดูไร้สาระสุด ๆ นั่น
เขาขมวดคิ้วแล้วถามใหม่ “ฉันเห็นเธอวิ่งไม่ห่วงสวยข้ามถนนมา หนุ่มของเธอไปไหนแล้วล่ะ?”
อ๋อออ ไอรถที่เกือบจะชนฉันคันนั้นก็คือนายอีกแล้วงั้นเหรอ!!
ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้ามันค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาในหัวอีกครั้ง “ฉันไม่ได้มีเสน่ห์เหลือล้นเหมือนคุณหานหรอกนะคะ ที่จะได้ไปเดตกับคนนู้นทีคนนี้ทีได้ทุกคืนน่ะ!”
“อ้าว ไม่ได้มาเดตหรอกเหรอ? แล้วยังหาป๊ะป๋าให้ฝูซิงอยู่หรือเปล่า? จะให้ป๊ะป๋าของเด็กคนนั้นเป็นพวกตาลุงบ้ากามที่เซนส์ห่วย ๆ ของเธอเรียกร้องไม่ได้นะ ทำไมไม่ลองมาปรึกษาฉันดูล่ะ?”
“ขอบคุณนะคะ แต่ฉันไม่รบกวนดีกว่า” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบตัดบทก่อนจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ เธอเก็บรองเท้าส้นสูงขึ้นมาพร้อมกับเดินกะเผลกจากไปช้า ๆ
ดูท่าเธอจะนัดพบผู้ชายคนอื่นจริง ๆ สินะ! หานซือฉีคิดในใจ
เมื่อตอนที่ชายหนุ่มขับรถผ่านมา เขาเห็นแล้วว่าฝูเจิ้งเจิ้งกำลังรีบร้อนข้ามถนนเพื่อตามผู้ชายคนหนึ่งไปอยู่ เพราะแบบนั้นเขาเลยรีบขับตามมา หมายจะเห็นว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร แต่เพราะการจราจรแถวนี้มันค่อนข้างวุ่นวาย แล้วไหนจะหาที่จอดรถอีก มันเลยทำให้เขามาไม่ทัน แต่แค่นี้มันก็เพียงพอแล้ว
ร้ายไม่เบานี่ยัยแสบ!
ชายหนุ่มยังคงเดินตามฝูเจิ้งเจิ้งพลางบ่นเธอไปด้วย “รู้หรือเปล่าว่านี่กี่โมงกี่ยามแล้ว? จำได้ไหมว่าฉันสั่งให้เธอทำอะไรหลังเลิกงาน?”
“จำได้ค่ะ ฉันต้องไปเป็นคนรับใช้ไงคะ” เธอตอบเสียงแข็ง พร้อมกับค่อนขอดชายหนุ่ม “ฉันกำลังจะไปซื้ออาหารให้คุณเดี๋ยวนี้แหละ ไม่ต้องกลัวว่าจะอดตายนะคะ”
“วันนี้เริ่มงานวันแรก ฉันจะไม่เอาเรื่องเธอที่มาทำงานสายมาคิดก็แล้วกัน แต่ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป หลังจากเลิกงานแล้ว เธอต้องไปรับฝูซิงให้ตรงเวลา จากนั้นก็ซื้อของกลับมาทำกับข้าวกินที่บ้าน ไม่งั้นแล้วฉันจะฉีกสัญญาจ้างทิ้งซะ”
การที่ชายหนุ่มบ่นไม่หยุดเหมือนแมงหวี่นั้นค่อนข้างน่ารำคาญมาก สำหรับฝูเจิ้งเจิ้ง เพราะงั้นเธอจึงบ่นเขากลับไปบ้าง “คุณหานคะ ช่วยอย่าเรื่องมากด้วยค่ะ”
“โอ๊ะ? ฉันเรื่องมากเหรอ?” หานซือฉีแกล้งตีหน้าซื่อ
“มันเป็นเพราะคุณหานนั่นแหละ ที่ทำให้ฉันต้องเสียเงินเดือนมากมายขนาดนี้! แต่ก็ได้ ฉันจะยอมรับมัน เพราะฉันกินอยู่ที่บ้านคุณหานจริง ๆ!”
“ใช่แล้ว แถมเธอยังนอน—-อยู่ที่บ้านฉันด้วย” หานซือฉีเพิ่มคำนี้เข้าไป
“คุณหาน!” หญิงสาวหยุดเขาไว้เมื่อรู้สึกว่าคำพูดนั้นมันสองแง่สองง่าม “คุณอยากจะให้ฉันเป็นคนรับใช้เพราะเรื่องของสวี่เหยียน นั่นฉันก็ตกลง ยอมทำให้ แต่คุณจะมาริดรอนอิสรภาพของฉันไม่ได้นะคะ! นั่นมันเลวที่สุด!”
“ ‘เลว’ ของเธอมันแปลว่าอะไร? ครูของฉันไม่เคยสอนคำนี้เลย”
“เชิญไปถามคุณครูหลี่เถอะค่ะ เดี๋ยวเขาก็สอนคุณเอง”
“ไม่ใช่ว่าเป็นเธอเหรอที่ชอบบอกว่าตัวเองฉลาดนักหนา? ทำไมไม่มาสอนฉันเองเล่า” หานซือฉียังคงยอกย้อนฝูเจิ้งเจิ้งต่อไปเรื่อย
หญิงสาวโมโหจนเลือดขึ้นหน้า แต่เธอก็ยังพยายามคุมอารมณ์ตัวเองเอาไว้และไม่หันไปต่อล้อต่อเถียงกับเขาให้เสียเวลา ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามก้าวเท้าให้ไวขึ้นเพื่อข้ามถนนและเพื่อหนีจากเขา
ชายหนุ่มมองตามหญิงสาวที่เดินข้ามถนนไปแล้วก็ตะโกนทิ้งท้ายว่า “เธอไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตก่อน เดี๋ยวฉันจะไปรับฝูซิงแล้ววนไปรับเธอที่นั่น ตอนนี้มันเลย 6 โมงเย็นมาแล้ว คงรู้ตัวดีนะว่าไม่ควรทำให้ลูกชายหิวน่ะ?”
เมื่อคิดได้แล้วว่านี่มันกำลังจะมืด ฝูเจิ้งเจิ้งหันมาพยักหน้ารับในทันทีก่อนจะรีบวิ่งตรงไปยังซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่แถวนั้นอย่างรวดเร็ว ส่วนหานซือฉีก็รีบไปขึ้นรถและขับออกไปรับฝูซิงตามที่ว่าไว้เช่นกัน
พูดกันตามตรง เขารู้ตัวเองดีว่าอารมณ์ไม่ดีมาตลอดทั้งวัน แต่ไม่รู้ว่าทำไม ทุกครั้งที่ได้แกล้งหรือได้มีปากเสียงกับฝูเจิ้งเจิ้ง มันกลับทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาก
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อเขาหยิบขึ้นมาดู ชายหนุ่มก็รีบโยนมันไปยังที่นั่งผู้โดยสารข้าง ๆ โดยไม่สนใจจะรับแต่อย่างใดและรีบบึ่งรถตรงไปยังโรงเรียนอนุบาลต่อ
กว่าทั้งหมดจะกลับถึงบ้าน เวลาก็ล่วงเข้าสู่ช่วงค่ำเสียแล้ว
หลังจากที่ให้ฝูซิงทำการบ้าน ฝูเจิ้งเจิ้งก็ปลีกตัวออกมายังห้องครัวแล้วง่วนอยู่กับการทำกับข้าวอยู่คนเดียว
ครึ่งชั่วโมงถัดมาจากนั้น กับข้าว 3 อย่างและแกง 1 ถ้วยก็ถูกเสิร์ฟไว้ที่โต๊ะพร้อมรับประทานเป็นที่เรียบร้อย หญิงสาวเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนก่อนจะเดินไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อเรียกทั้ง 2 หนุ่มมาทานข้าวด้วยกัน
ในตอนนั้นทั้งฝูซิงกับหานซือฉีดูเหมือนจะกำลังง่วนกับการทำการบ้านกันอยู่บนโต๊ะเล็ก ๆ ที่หานซือฉีซื้อมาให้สำหรับให้เด็กนั่งทำการบ้านโดยเฉพาะ เขายืนข้าง ๆ โต๊ะตัวนั้นและชี้ไปที่หนังสือบนโต๊ะพร้อมกับอธิบายเป็นระยะ ส่วนฝูซิงก็พยักหน้าเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง บางครั้งหานซือฉีก็จิ้มหน้าผากเจ้าตัวเล็กเบา ๆ สลับกับลูบหัว มันช่างเป็นภาพที่ดูอบอุ่นละมุนใจเหมือนพ่อลูกกันจริง ๆ ขึ้นมาทุกวัน
แม้แต่ฝูเจิ้งเจิ้งที่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ ยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่เติมเต็มเข้ามาในใจของเธอ
ภาพจำสมัยเด็กของเธอนั้นมันค่อย ๆ ลอยขึ้นมาในห้วงความคิด ภาพของพี่ชายที่ซุกซนและไม่ชอบทำการบ้าน เขามักจะโดนพ่อดุอยู่บ่อยครั้ง ในขณะที่พ่อมักจะมาช่วยสอนเธอทำการบ้านตลอด แถมเขายังคอยพูดด้วยว่า เธอนั้นเป็นเด็กดีที่สุด
คิดถึงภาพจำเหล่านั้น หัวใจของฝูเจิ้งเจิ้งก็เจ็บแปลบขึ้นมา ครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นความคาดหวังสูงสุดของครอบครัว แต่ทุกอย่างก็ต้องจบลงเมื่อเธอมีฝูซิง ถ้าหากเหตุการณ์นี้ไม่เกิดขึ้นล่ะก็ เธอคงไม่ต้องถูกไล่ออกมาจากบ้านเช่นนี้ แม้ว่าก่อนหน้านั้นพวกเขาจะเคยมอบความรักให้ลูกสาวคนนี้ขนาดไหนก็ตาม
“ยืนทำอะไรอยู่ตรงนี้น่ะ? มื้อเย็นเสร็จแล้วเหรอ?” เสียงของหานซือฉีแทรกเข้ามาในห้วงความคิด
หญิงสาวกลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง เธอพบว่าฝูซิงนั้นหายไปแล้ว และตรงหน้าเธอก็มีหานซือฉีกำลังยืนอยู่
เขาชี้นิ้วไปทางห้องน้ำก่อนจะพูด “ฝูซิงกำลังล้างมือ พวกเราจะไปรอที่โต๊ะอาหารเลยหรือเปล่า? ฉันหิวมากเลย หลังจากที่ได้กลิ่นหอม ๆ ของอาหารน่ะ”
เจ้าตัวเล็กเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมตะโกนเสียงดังขณะที่มือก็สะบัดไปมา “หอมมากกกกก หม่ามี๊ เรากินข้าวเลยได้ใช่ไหม? ท้องของฝูซิงร้องอยากจะกินแล้ว~”
“อ-อ๊ะ ได้สิ” ฝูเจิ้งเจิ้งพยักหน้าแล้วรีบเตรียมไปเสิร์ฟข้าวให้ทั้ง 2 หนุ่มทันที
หานซือฉีนั่งลงข้าง ๆ ฝูซิง สายตายังคงจับจ้องมาที่ฝูเจิ้งเจิ้งและนั่งมองการกระทำของหญิงสาวอยู่อย่างนั้น
เธอรู้ดีว่ากำลังถูกมอง เพราะงั้นจึงแกล้งทำเป็นไม่เห็นและตักข้าวให้ฝูซิงตามด้วยของตนเองต่อจนเสร็จแล้วนั่งลง โดยเธอตั้งใจที่จะไม่ตักข้าวให้เขา
เมื่อเห็นแบบนั้นฝูซิงจึงดันชามข้าวของตัวเองให้หานซือฉีพร้อมเอ่ย “ป๊ะป๋า หม่ามี๊ตักข้าวให้ป๊ะป๋าล่ะ”
“ดีมากเจ้าตัวเล็ก” ชายหนุ่มรับชามข้าวนั้นมาอย่างไม่ลังเลพร้อมกับหยิบตะเกียบมาเพื่อกินข้าว
ฝูเจิ้งเจิ้งหรี่ตามองการกระทำของลูกชายตนก่อนจะตักข้าวให้เขาอีกชามในที่สุด
เด็กน้อยรู้ดีว่าหม่ามี๊ของตนคิดจะทำอะไร ดังนั้นเขาจึงคอยขัดขวางไว้ก่อนพร้อมทั้งแสดงสีหน้าบูดบึ้งให้ผู้เป็นแม่เห็นเพื่อบอกเป็นนัยว่าเขารู้แผนการของเธอทุกอย่าง
ระหว่างนั้นเอง โทรศัพท์ของหานซือฉีที่อยู่ในห้องนั่งเล่นก็ดังขึ้นมา
“โทรศัพท์ดังแน่ะคุณหาน” ฝูเจิ้งเจิ้งบอก
“อืม” แม้จะตอบเช่นนั้น แต่หานซือฉีก็ไม่ได้เดินไปรับโทรศัพท์อยู่ดี เขายังคงช่วยตักอาหารให้ฝูซิงและปล่อยโทรศัพท์ดังต่อไปเรื่อย ๆ
จะว่าไปแล้ว เมื่อกลางวันก็มีโทรศัพท์โทรหาเขาถี่เหมือนกัน ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ฝูเจิ้งเจิ้งจึงลุกขึ้นเดินไปจะ ‘ช่วย’ หยิบโทรศัพท์ของหานซือฉีมาให้
“วางไว้ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วฉันค่อยโทรกลับ” หานซือฉีหยุดเธอไว้
“ถ้ามันเป็นสายสำคัญจะทำยังไงล่ะคะ? เพราะงั้นคุณหานกินข้าวไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันไปหยิบโทรศัพท์มาให้” แม้ชายหนุ่มจะห้ามเธอแล้ว แต่โทรศัพท์อยู่ในมือของเธอเรียบร้อยแล้ว
ตลอดเวลาที่โทรศัพท์วางบนโต๊ะอาหารนั้น เสียงเรียกเข้ายังคงดังไม่หยุด จนรู้สึกว่าหากไม่รับสักทีปลายสายคงจะไม่ยอมตัดใจแน่ ๆ
ที่หน้าจอโทรศัพท์นั้น ฝูเจิ้งเจิ้งสังเกตได้ว่ามันขึ้นเป็นชื่อของ “คุณนายหาน” เธอจึงเดาไว้ในทันทีว่าต้องเป็นสายจากแม่ของหานซือฉีแน่ ๆ ทั้ง ๆ ที่คิดว่าเขาจะต้องรับโทรศัพท์ทันทีที่เห็นชื่อ แต่กลับกลายเป็นว่าหานซือฉีทำเป็นไม่สนใจเหมือนเดิมแล้วกินข้าวต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นั่นสายจากแม่ของคุณหานไม่ใช่เหรอ? ไม่รับหน่อยเหรอคะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งถามต่อ
หานซือฉีตัดปัญหาด้วยการปิดโทรศัพท์ แต่นี่กลับกลายเป็นชนวนที่ทำให้หญิงสาวสงสัยหนักกว่าเดิม “หรือว่าแม่ของคุณหานจะมาเร่งเร้าให้แต่งงาน? ท่านจัดให้คุณหานไปดูตัวกับสาวที่ไหนก็ไม่รู้หรือเปล่า?”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงเงียบ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ได้แต่พูดในสิ่งที่เธอกำลังคาดการณ์อยู่ด้วยความตื่นเต้นที่มากขึ้น “ไม่ใช่ว่าคุณหานก็ชอบสาวสวยเป็นปกติอยู่แล้วเหรอ ทำไมถึงปฏิเสธโอกาสดี ๆ ไปล่ะคะ? หรือคุณหานไม่ชอบที่พวกเขามาบังคับให้คุณหานแต่งงาน?”
คราวนี้หานซือฉีวางช้อนลงบนโต๊ะอย่างแรง “เธอช่วยเงียบระหว่างกินข้าวได้ไหม?”
“หม่ามี๊ ปัญหาของผู้ชายก็ต้องให้ผู้ชายจัดการกันเองนะ ผู้หญิงอย่ามายุ่งจะดีกว่า” ฝูซิงที่กำลังเพลิดเพลินกับการกินอยู่นั้นเอ่ยตามหลังหานซือฉีพูด
“ฉันก็แค่ถามเอง ทำไมต้องโกรธด้วยล่ะคะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งบ่นพึมพำก่อนจะเหลือบมองไปยังฝูซิง “นี่ก็ไม่ใช่เรื่องของลูกเหมือนกันนั่นแหละ! กินข้าวไปเลย!”
ฝูซิงแลบลิ้นหน้ามุ่ย เด็กน้อยรีบกินข้าวจนหมดจากนั้นก็โชว์ชามข้าวที่ว่างเปล่าให้หานซือฉีดู “ป๊ะป๋า คิดว่าชามของฝูซิงเกลี้ยงรึยัง?”
ใบหน้าตึงเครียดในตอนนี้กลายเป็นอ่อนละมุน ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ พลางพยักหน้ายืนยันก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เกลี้ยงแล้ว ซิงซิงต้องทำให้ได้แบบนี้ทุกวันนะ”
“รับทราบ!” เด็กน้อยยกมือทำความเคารพและพูดอย่างภาคภูมิใจ “ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง สงสารชาวนา เด็กตาดำ ๆ!”
หานซือฉียกนิ้วโป้งให้แทนคำว่า ‘เยี่ยมยอด’
“ป๊ะป๋า วันนี้ฝูซิงเป็นเด็กดีมากเลยน้าา”
“ไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้ป๊ะป๋าจะไปร่วมกิจกรรมที่โรงเรียนซิงซิงแน่นอน” มันคือข้อสัญญาของสองหนุ่มที่ให้ฝูซิงทำตัวเป็นเด็กดี แล้วหานซือฉีจะยอมไปร่วมกิจกรรมที่โรงเรียนของเขา มือใหญ่สัมผัสไปกลางอกของเด็กน้อยเบา ๆ แทนคำสัญญา
ฝูซิงค่อย ๆ ปีนขึ้นไปบนตักของหานซือฉี โอบแขนเข้าไปที่คอของอีกฝ่ายและกระซิบเบา ๆ “ป๊ะป๋า แต่งตัวมาหล่อ ๆ หน่อยนะ ฝูซิงบอกเพื่อนไว้ว่าป๊ะป๋าของฝูซิงหล่อมากกกกก เพราะปกติหม่ามี๊น่ะไม่ชอบแต่งหน้าสวย ๆ หรือแต่งตัวดี ๆ เลย คงจะฝากความหวังไว้ไม่ได้”
“ฝูซิง!” ฝูเจิ้งเจิ้งขึ้นเสียง “ลูกกลายเป็นเด็กขี้แซะตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ!?”
“หม่ามี๊ ไหนบอกให้ฝูซิงเป็นเด็กซื่อสัตย์ไง? ฝูซิงก็แค่พูดความจริง” เจ้าตัวเล็กยักไหล่และหันไปหาหานซือฉีดังเดิม “ป๊ะป๋า พวกเราจะไปฝึกเดินกันต่อหลังกินข้าวเย็นเสร็จแล้วไหม?”
เขาตอบรับโดยการวางชามข้าวแล้วอุ้มฝูซิงขึ้นมา จากนั้นทั้งสองก็กลับไปยังห้องนั่งเล่นด้วยกัน
ทั้ง ๆ ที่ควรจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สองพ่อลูกขยันหมั่นฝึกซ้อมสำหรับงานกิจกรรม หากไม่ติดว่าฝูเจิ้งเจิ้งดันได้ยินเสียงกระซิบของเจ้าตัวเล็กเสียก่อน “ป๊ะป๋า หม่ามี๊น่ะไม่ถนัดอะไรแบบนี้หรอก เพราะงั้นเราไปฝึกเดินด้วยกันดีกว่า อย่างน้อย ๆ จะได้ไม่มีหม่ามี๊มาถ่วงแข้งถ่วงขา”
ไอ้เจ้าตัวแสบ!
เด็กคนนี้น่ะ เป็นเด็กช่างสังเกตและแยกแยะอารมณ์จริง ๆ ของคนอื่นได้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขารู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่ฝูเจิ้งเจิ้งโกรธจริง และเมื่อไหร่ที่เธอทำเป็นโกรธ เขาจึงเป็นเพียงไม่กี่คนที่สามารถหาวิธีพูดปลอบใจและรับมือกับอารมณ์ที่ซับซ้อนของเธอได้ หากฝูซิงรู้ว่าแม่ของตนโกรธเล่น ๆ เขาก็จะไม่หยุดป่วน แต่ถ้ารู้ว่าโกรธจริง ๆ ฝูซิงจะกลายเป็นเด็กที่ปากหวานมาก ๆ ขึ้นมาทันที
ใจจริงฝูเจิ้งเจิ้งก็อยากจะไปเล่นกับฝูซิงในห้องนั่งเล่นด้วยนั่นแหละ แต่เพราะตระหนักได้ว่าไม่มีเวลาว่างขนาดนั้นเนื่องจากป้าเฉินกลับบ้านไปแล้ว มันเลยกลายเป็นว่าเธอต้องรับภาระงานบ้านทั้งหมด แต่เอาเข้าจริง การทำความสะอาดบ้านนี้ก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น เพราะบ้านขนาดใหญ่หลังนี้ไม่ได้มีของเยอะเหมือนบ้านคนอื่น มันเลยทำให้เธอค่อนข้างจะทำความสะอาดได้สบายกว่าบ้านหลังเล็ก ๆ ที่เคยอยู่เสียอีก ไม่ต้องมาชนซ้ายทีขวาทีให้ได้เจ็บปวดไปเรื่อย
ในขณะที่เธอกำลังจัดเรียงรองเท้าอยู่ที่บริเวณประตูทางเข้านั้นเอง เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น หญิงสาวรีบยืนขึ้นหมายจะเปิดประตู แต่ทันใดนั้นหานซือฉีก็เข้ามาหยุดมือเรียวบางเอาไว้ “อย่าเปิด พาฝูซิงขึ้นไปชั้นบนซะ”
เกิดอะไรขึ้นน่ะ?
สีหน้าของฝูเจิ้งเจิ้งแสดงออกชัดเจนเลยว่าสงสัยแบบสุด ๆ
“เร็วเข้า!” แม้จะไม่ได้เสียงดัง แต่ก็รู้ดีว่าหานซือฉีกำลังออกคำสั่ง
นอกจากนั้นแล้วสีหน้าของเขาเองก็ยังดูเป็นกังวลด้วย แต่ฝูเจิ้งเจิ้งกลับไม่ได้คิดที่จะทำตามเขา แถมมันยังรู้สึกตื่นเต้นสุด ๆ ด้วย เธอพูดขึ้นด้วยความสงสัยที่จะอยู่ดูว่าใคร “ฉันยังทำความสะอาดตรงนี้ไม่เสร็จเลย พาแขกไปห้องของคุณหานแทนได้ไหมคะ?”
หานซือฉีดึงมือของฝูเจิ้งเจิ้งให้ออกห่างจากประตู เขากัดฟันและพูดด้วยเสียงเบา “ฉันให้เวลาเธอ 30 วินาทีพาฝูซิงขึ้นไปชั้นบน ไม่อย่างนั้นฉันจะไปหักเงินเดือนของสวี่เหยียน 3 เดือนทิ้งซะ!”
นี่เอาสวี่เหยียนมาข่มขู่อีกแล้วเหรอ!? เอาฝูซิงขึ้นชั้นบนก็ได้! เธอยอมจำนนในที่สุด
แบบนี้แสดงว่าสีหน้าเป็นกังวลของหานซือฉีครั้งนี้คงจะเรื่องใหญ่อยู่สินะ? หานซือเซียนเหรอ? มาทำไมกันน่ะ? หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับที่คุณนายหานโทรมา? นัดเดตดูตัวงั้นเหรอ?
ฝูเจิ้งเจิ้งคาดเดาไปเรื่อยจากข้อมูลที่มีตอนนี้
———————————————————————————————
คุยกับผู้แปล
วันนี้พูดมากนะหล่อน เหมือนพอไม่มีป้าเฉินอยู่แล้วจะใกล้เคียงกับการเป็นครอบครัวมากขึ้น
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-