บทที่ 47 การจากกันไกลจะทำให้ความรักชัดเจนมากขึ้น
หญิงสาวรีบคว้าจับแขนปริศนาที่มาสัมผัสไหล่เธอไว้อย่างรวดเร็วด้วยสัญชาตญาณพร้อมกับหันไปเตรียมเปิดฉากต่อสู้
“โว้ๆๆ นี่ฉันเอง เย็นไว้ก่อน!” เจ้าของมือที่เธอคว้าไว้นั้นไม่ใช่ผู้ร้ายแต่อย่างใด เขาคือ หยางเต๋า รุ่นพี่ของเธอนั่นเอง!
ฝูเจิ้งเจิ้งหันมองซ้ายขวาก่อนจะค่อยๆ ลากเขาเข้าไปในเงามืด “ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้คะเนี่ย!?”
“ก็ฉันติดต่อเธอไม่ได้ เลยกังวล” หยางเต๋าพูดพร้อมกับสังเกตการณ์พื้นที่รอบๆ
“ฉันบังเอิญทำโทรศัพท์หายน่ะค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามปิดบังเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เอาไว้
“ฉันรู้” เขาตอบพร้อมยกมือขึ้นเผยให้เห็นบางสิ่งบางอย่าง “นี่ โทรศัพท์ของเธอ”
เธอช็อคไปครู่หนึ่งแล้วหยิบโทรศัพท์ที่หยางเต๋าโชว์นั้นมาดูภายใต้แสงไฟสลัวจากไฟข้างถนน จากสภาพและสัมผัส เธอค่อนข้างมั่นใจเลยว่ามันเป็นเครื่องเดียวกันกับที่หยางเต๋าซื้อให้ก่อนหน้าอย่างแน่นอน และเมื่อมองดีๆ หญิงสาวยังสังเกตเห็นด้วยว่าอีกฝ่ายนั้นถือกระเป๋าของตนเอาไว้อยู่ ซึ่งทำให้ตัวเธอเองนั้นสับสนมากกว่าเดิม
“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ?” หรือว่าหยางเต๋าจะเป็นคนขโมยกระเป๋าเธอไปงั้นเหรอ!? จะเป็นงั้นไปได้ยังไงเล่า!
“มีคนเจอเจ้าสิ่งนี้ในพงหญ้า แล้วตำรวจก็โทรหาฉันจากเบอร์ที่อยู่ในโทรศัพท์นี้ เพราะงั้นฉันเลยไปรับมันมา แล้วลองเช็คดูว่ามีอะไรหายไปหรือเปล่า” เขาส่งกระเป๋าคืนให้เธอ และทันทีที่ได้กระเป๋าคืน ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบเปิดกระเป๋าตรวจดูอย่างรวดเร็ว
ทุกอย่างยังคงอยู่ครบ ไม่ว่าจะเป็นเงินสด บัตรเครดิต รวมไปถึงโทรศัพท์อีกเครื่องด้วย
โทรศัพท์อีกเครื่องที่หานซือฉีซื้อให้นั้นดับไปแล้ว เนื่องจากแบตหมด โชคดีจริงๆ ไม่งั้นล่ะก็ ตำรวจต้องเอาเจ้าโทรศัพท์เครื่องหรูนี่ไปโทรแทนแน่ๆ แล้วแบบนั้นหานซือฉีก็จะเป็นฝ่ายไปรับโทรศัพท์แทน แล้วถ้าเขาเจอโทรศัพท์เครื่องจิ๋วนี่คงได้แก้ตัวกันยกใหญ่เลย
“เจิ้งเจิ้ง ฉันเห็นเรื่องที่แชร์กันอยู่ในอินเตอร์เน็ตแล้วนะ เป็นไปได้เธอรีบเก็บของคืนนี้เลยดีกว่า แล้วพรุ่งนี้เช้าฉันจะมารับทั้งเธอแล้วก็ฝูซิงไปเอง”
“ไม่ได้ค่ะ!”
“ทำไมล่ะ? ไม่ใช่ว่าเธอเองเหรอที่ตกลงจะไปเมื่อคืน” ชายหนุ่มจ้องมองฝูเจิ้งเจิ้งอย่างต้องการคำตอบ
“ฉัน เอ่อ…” ฝูเจิ้งเจิ้งพูดตะกุกตะกัก “หานซือฉี…”
“หมอนั่นรังแกเธอเหรอ?” แววตาของหยางเต๋าลุกวาวด้วยความโกรธขึ้นมาทันที
“ม-ไม่ใช่ค่ะ! ฉันแค่ เอ่อ…ยังจ่ายหนี้เขาไม่หมด”
“เธอเป็นหนี้เขาเท่าไหร่น่ะ? เดี๋ยวฉันจะจ่ายให้เธอเอง” ในตอนนี้ เขาอยากจะพาหญิงสาวออกไปจากเมืองนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ไม่ใช่หนี้ของฉันทั้งหมดหรอกค่ะ จริงๆ มันคือเงินของสวี่เหยียน ที่ฉันบอกรุ่นพี่ไปเมื่อครั้งที่แล้วว่าสวี่เหยียนจะโดนลงโทษเพราะฉัน ดังนั้นฉันเลยต้องไปเป็นคนรับใช้ให้หานซือฉี 1 เดือนเพื่อทำให้เธอไม่ถูกลงโทษจากการหักเงินเดือน” เธอให้เหตุผลเขาไป ฝูเจิ้งเจิ้งจึงรู้สึกว่านี่น่าจะเป็นเหตุผลที่เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นข้อแก้ตัวให้เธอได้แล้ว
หยางเต๋าหรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยความผิดหวังเล็กน้อยและถามกับเธออีกครั้ง “แค่นี้เหรอ?”
หญิงสาวเองก็ถามกลับ “แล้วรุ่นพี่คิดว่ามันมีสาเหตุอื่นด้วยเหรอคะ?”
เจอคำถามนี้กลับไป หยางเต๋าถึงกับพูดอะไรไม่ออกเลย
ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะอยู่ในความมืดแต่ฝูเจิ้งเจิ้งก็สามารถมองเห็นถึงความเศร้าบนใบหน้าของหยางเต๋าได้ชัดเจน เธอไม่อยากให้เขาต้องมาทุกข์ใจเพราะเธอ ดังนั้นตำรวจสาวจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “โจวปิงและหลี่เสี่ยวเมิ่ง ทั้งสองคนนี้เพิ่งจะกลับมาที่เมือง B ได้ไม่นาน แล้วก็ฉันได้ข่าวมาว่าโจวปิงนั้นกำลังติดต่อกับพวกเพื่อนเก่าของเขา รุ่นพี่คิดว่าเรื่องนี้มันจะเกี่ยวข้องกับคดีของหลี่หมิงเมื่อ 6 ปีที่แล้วหรือเปล่าคะ?”
เอาเรื่องนี้มาพูดจะเบี่ยงประเด็นได้ไหมนะ? ฝู่เจิ้งเจิ้งคิดในใจพร้อมกับรอลุ้นปฏิกิริยาของคนตรงหน้า
“เจิ้งเจิ้ง งานของเธอในเมือง B น่ะจบลงแล้วนะ เธอไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับมันอีกก็ได้ ไม่ว่าบริษัทเว่ยหานจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดหรือไม่ แต่ทางสถานีตำรวจก็เกือบจะยืนยันแล้วว่าบริษัทแห่งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องนี้ เพราะงั้นมันก็เหลือแค่เธอตกลงยินยอมที่จะกลับเมือง A เท่านั้น” หยางเต๋าพูดเชิงอ้อนวอน ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาแทบจะอยู่ไม่ติดเพราะเป็นห่วงเธอและลูกชาย
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบพูดต่อ “ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ! ฝูซิงน่ะขอให้หานซือฉีเป็นพ่อของเขาอยู่ แถมฉันเองก็ยังอยู่ในข้อตกลงกับเขา 1 เดือน เพราะงั้นแล้วหากจู่ๆ ฉันกับฝูซิงหายตัวไปล่ะก็ ฉันกลัวว่ามันจะกลายเป็นปัญหาเอา รุ่นพี่ก็รู้ดีว่าอิทธิพลของบริษัทเว่ยหานในเมือง B นั้นกว้างขวางขนาดไหน ถ้าหากหานซือฉีสามารถตามหาพวกเราเจอได้จะทำยังไงล่ะคะ? ฉันคิดว่าฉันควรรอไปเรื่อยๆ จนโอกาสมันชัดเจนกว่านี้ก่อนถึงจะหาทางออกจากเมืองนี้ทีหลัง อาจจะใช้เวลานานหน่อยจนกว่าจะครบสัญญา แต่มันน่าจะสบายใจกว่าค่ะ”
เมื่อเห็นว่าหยางเต๋านิ่งเงียบไป เธอก็รีบอ้างเหตุผลกับเขาต่อ “จุดประสงค์เราตั้งแต่แรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาสร้างศัตรูอยู่แล้วถูกไหมล่ะคะ? เพราะงั้นเราควรหลีกเลี่ยงการกระทำที่จะก่อให้เกิดการสร้างศัตรูนะ”
หยางเต๋าถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง ไม่ว่าจะใช้เหตุผลอะไรฝูเจิ้งเจิ้งไม่ออกจากเมืองนี้ไปแน่นอน เขาจึงพูดกับเธอเป็นครั้งสุดท้าย “เจิ้งเจิ้ง ฉันเชื่อนะว่าเธอมีเหตุผลส่วนตัวของเธอ เอาเป็นว่าฉันจะรอให้เธอติดต่อมาก็แล้วกัน แล้วเราจะออกจากเมืองนี้กันทันทีเลย” พูดจบเขานิ่งมองใบหน้าสวยอีกครั้ง ก่อนจะรีบเดินฝ่าความมืดไปอย่างเงียบๆ
เธอยืนมองหยางเต๋าเดินออกประตูไปจนกระทั่งร่างของเขาลัฟบตาไป จากนั้นเธอก็ไต่เสาต้นเดิมกลับไปยังระเบียงหน้าห้องอีกครั้งและนั่งลงไปที่ม้านั่งตัวเดิม
ท้องฟ้าในคืนนี้ดูมืดมนและมีสายลมที่แข็งกร้าว ฝูเจิ้งเจิ้งเลือกที่จะไม่กลับเข้าไปในห้องทันทีเพราะเธอรู้สึกว่าลมเย็นที่พัดผ่านร่างกายนี้ มันช่วยปลุกเธอให้มีสติอยู่ตลอด
จากคำพูดที่ค่อนข้างคลุมเครือของหยางเต๋าในวันนี้ หญิงสาวมั่นใจในระดับหนึ่งเลยว่าเขาต้องรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับการกระทำของโจวปิๆงแน่ๆ แต่เขากลับบอกให้เธอเฉยเมยต่อเรื่องนี้ไปซะ ทำไมกันนะ?
บางทีเรื่องที่หยางเต๋ารู้ ก็อาจจะเป็นเรื่องที่เธออยากจะบอกเขาอยู่แล้วด้วยหรือเปล่า? การที่โจวปิงกับหลี่เสี่ยวเมิ่งปรากฏตัวในเมือง B อีกครั้ง…มันจะเกี่ยวโยงกับเรื่องห้องนิรภัยเล็กๆ นั่นไหม?
ก่อนหน้านี้ เธอมักจะโยงบริษัทเว่ยหานเข้ากับคดียาเสพติดอยู่ตลอด แต่ลืมคิดถึงเรื่องห้องนิรภัยไปเลย จริงๆ ก็แอบมีคิดบ้างตอนที่ฟังหานซือฉีและหมินจงจู่พูดกันเกี่ยวกับห้องนิรภัยขนาดเล็ก แต่ตอนนั้นตัวเธอเองกลับไม่ได้เอะใจอะไรทั้งนั้น
ฝูเจิ้งเจิ้งนวดขมับด้วยนิ้วเรียวของตนไปพลางๆ ขณะที่คิดไม่ตกกับเรื่องนี้
ทันใดนั้น ความคิดใหม่ก็ปรากฏขึ้นในหัวของเธอ ‘หรือว่าจีหมู่เซี่ยนเองก็กำลังสืบสวนเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน? ครั้งที่แล้วที่โจวปิงปรากฏตัว จีหมู่เซี่ยนก็กำลังวิ่งไล่ตามเขาอยู่บนถนนหลิวอวิ๋น แล้วเมื่อครั้งตอนที่ตัวเธอโดนลูกน้องของหลี่หมิงไล่เองก็อยู่ใกล้ๆ ถนนหลิวอวิ๋นนี่ด้วย นี่มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่านะ?’
หลังจากที่หลี่หมิงตาย กุญแจที่ใช้สำหรับเปิดประตูห้องนิรภัยเล็กๆ ก็หายสาปสูญไป บางทีคนพวกนี้อาจจะกำลังตามหากุญแจนั่นกันอยู่
เป็นไปได้ไหมว่าหลี่หมิงจะทำกุญแจนั้นตกระหว่างทางที่เขากับลูกน้องกำลังไล่ล่าเธอ? แล้วกุญแจนั่นตกอยู่ในละแวกถนนหลิวอวิ๋นนั่น?
เธอหัวเราะกับความคิดตัวเอง
หากกุญแจนั่นดันไปตกอยู่ในละแวกนั้นจริงๆ ตั้งแต่เมื่อ 6 ปีก่อน ป่านนี้มันก็คงจะหายสาปสูญไปแล้วจริงๆ หรือต่อให้มีใครสักคนเก็บมันได้ เขาคนนั้นก็คงไม่คิดว่ามันเป็นกุญแจของห้องนิรภัยเล็กๆ แน่ๆ
แต่การที่จะหากุญแจได้…เราจำเป็นต้องมีแผนที่
และแผนที่ในเรื่องนี้ ก็คือ โจวปิง!
ใช่แล้ว! เธอต้องหาตัวโจวปิๆงให้เจอ!
หญิงสาวลุกพรวดขึ้นมาจากม้านั่งด้วยความตื่นเต้น แล้วก็พบว่ามีบางอย่างกำลังลอยผ่านหน้าเธอไป และเมื่อมองดีๆ เจ้าสิ่งนี้ก็คือ หิมะ ที่ตกลงมาจากฟากฟ้า!
หิมะแรกของต้นฤดูหนาว!
อ่า… เพราะหิมะกำลังจะตกนี่เอง ลมถึงได้เย็นสบายแบบนี้ ฝูเจิ้งเจิ้งรีบกระชับเสื้อคลุมให้แน่นก่อนจะกลับเข้าไปในตัวบ้าน
ระลอกแรกของมันในช่วงต้นฤดูน่ะ หนักหน่วงและกินเวลาราวๆ 3 วันเลย ดังนั้นแล้วเมือง B คงจะได้กลายเป็นเมืองหิมะขาวโพลนตลอดช่วงนี้แน่ๆ
——————————
ด้วยหิมะที่ตกหนักขนาดนี้ การสัญจรหลักๆ ไม่ว่าจะบนทางด่วนหรือถนนหลักก็พากันหยุดชะงักไปหมด รวมไปถึงสนามบินและท่าเรือก็ต้องปิดให้บริการชั่วคราวเช่นกัน
เฉินเฉี่ยวหลานส่ายหน้าเบาๆ ขณะที่ตนเองกำลังถือผักที่มีราคาสูงกว่า 20 หยวนต่อกิโลเข้ามา ส่วนฝูเจิ้งเจิ้งก็อยู่ในอารมณ์หงุดหงิดหลังจากที่โดนสั่งกักบริเวณเด็ดขาด จะมีก็แต่ฝูซิงเท่านั้นที่มีความสุขอยู่ทุกวันที่ได้อยู่บ้าน ตลอดช่วงที่ผ่านมานี้เขาเอาแต่เล่นซ่อนหาอยู่ในบ้านและให้เฉินเฉี่ยวหลานเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังเต็มไปหมด
หานซือฉีเองก็กลับมาบ้านบ้าง สองพ่อลูกพากันไปปั้นตุ๊กตาหิมะตัวใหญ่ไว้ 2 ตัว แต่ถึงยังไงเขาก็กลับมาได้เพียงไม่นาน ก็ต้องกลับออกไปอยู่ดี
ฝูเจิ้งเจิ้งที่ยืนมองอยู่หน้าประตู สายตาของเธอมันสะท้อนถึงความหวั่นไหวขณะที่มองตุ๊กตาหิมะที่หานซือฉีปั้นเอาไว้
เรื่องราวบนอินเตอร์เน็ตของเธอก่อนหน้านี้ถูกลบทิ้งไปแล้ว บางทีนี่ก็น่าจะเป็นฝีมือของหานซือฉีด้วย เดานะ เพราะตัวเธอยังไม่มีโอกาสได้ถามเขาสักที
เธอรู้ดีว่าเรื่องที่เขาโกรธเมื่อวันก่อนนั้นไม่ใช่เพราะเรื่องข่าวลือบนอินเตอร์เน็ต แต่เป็นเพราะเธอไม่คิดถึงหรือโทรหาเขาในตอนที่เกิดเรื่องต่างหาก
มาคิดดูแล้วทำไมฉันต้องโทรหานายกันนะ? นายอยากให้ฉันเข้าไปรบกวนชีวิตของนายกับสาวสวยอย่างเฉียวเค่อเหรินมากหรือไง? หญิงสาวยืนทะเลาะกับความคิดตัวเองอยู่หน้าประตู
แต่ถึงอย่างไร เรื่องที่จู่ๆ เธอก็ได้กระเป๋ากลับคืนมานั้นก็สามารถหาเหตุผลมารองรับได้อย่างพอดิบพอดี ฝูเจิ้งเจิ้งบอกหานซือฉีไปว่ามีใครบางคนเจอมันและใช้โทรศัพท์ในกระเป๋านี้โทรกลับมาหาเธอ แม้ตอนแรกหานซือฉีจะดูสงสัยไม่น้อย แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรมากนัก
ฝูเจิ้งเจิ้งยืนรับลมหนาวอยู่แบบนั้นจนกระทั่งเสียงเล็กๆเรียกเธอให้หลุดจากห้วงความคิด
“หม่ามี๊ น้าสวี่โทรมา” ฝูซิงวิ่งเข้ามาพร้อมโทรศัพท์ของเธอในมือ
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบกดรับโทรศัพท์ในทันที จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นของปลายสาย “เจิ้งเจิ้ง สนใจอยากจะพาฝูซิงมาทางตอนเหนือของเมืองเพื่อดูธารน้ำแข็งหรือเปล่า? ฉันได้ยินมาว่ามันสวยมากๆ เลยนะ”
เพราะสภาพอากาศเช่นนี้ มันทำให้ผู้คนสัญจรไม่สะดวกนัก บริษัทเว่ยหานเองก็เลยประกาศให้เป็นวันหยุดพนักงานไปโดยปริยาย
“ทางเหนือของเมืองเหรอ?” สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวหลังจากนึกถึงคำๆ นี้ก็คือ รีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยาง ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือนั้น
สวี่เหยียนที่เตรียมข้ออ้างไว้และสำหรับฝูเจิ้งเจิ้งที่จะต้องเอาเรื่องระยะเวลามาอ้างแน่ๆ เธอเลยรีบชิงพูดก่อน “มันไม่ได้ไกลขนาดนั้น แค่ประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว ยังไงซะตอนนี้อยู่บ้านก็ไม่มีอะไรทำ ไม่สนใจออกมาเดินยืดเส้นยืดสายกันหน่อยเหรอ? เอ้อ ไม่ต้องห่วงซิงซิงนะ คุณอี้เฉิงเตรียมลากเลื่อนไว้ให้เขาแล้ว ฉันเชื่อเลยว่าเจ้าตัวเล็กจะต้องชอบแน่ๆ”
ฝูซิงเองก็ดูเหมือนจะรู้ว่ามีคนพูดถึงเขาอยู่ใกล้ๆ ฝูเจิ้งเจิ้งตลอดและ พูดอะไรบ้าง แววตาของเจ้าตัวเล็กเป็นประกายขึ้นมาทันทีหลังได้ยินคำว่า ‘ลากเลื่อน’ เขารีบตะโกนตอบในทันที “ได้เลย! พวกเราจะรีบไปตั้งแต่เช้าเลย!”
“โอเค งั้นเจอกันที่แยกนะจ้ะ ซิงซิงน้อย” ได้ยินเช่นนั้นสวี่เหยียนก็วางโทรศัพท์ไป โดยไม่รอฟังคำปฏิเสธของฝูเจิ้งเจิ้งเลยแม้แต่น้อย
ตั้งแต่ที่เธอถูกไล่ออก สวี่เหยียนและเสี่ยวอี้เฉิงก็เป็นกังวลเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเธอเอามากๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะฝูเจิ้งเจิ้งไม่สามารถพูดความจริงทุกอย่างกับพวกเขาได้ ดังนั้นเธอจึงได้แต่บอกว่าตนอยู่อาศัยในที่พักของหานซือฉีชั่วคราว ครั้นที่ได้ยิน สวี่เหยียนเองก็ทั้งกังวลและโล่งใจในเวลาเดียวกัน แต่อย่างน้อยๆ ทั้งสวี่เหยียนและเสี่ยวอี้เฉิงก็ไม่ต้องห่วงเรื่องปัจจัยขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิตของสองแม่ลูกแล้ว หรือจริงๆ ยังต้องกังวลนะ?
หลังจากโดนปลายสายชิงวางโทรศัพท์ไปแล้ว เธอจึงหันมาพูดกับเจ้าตัวแสบ “พวกเราไม่สามารถออกไปไหนได้นะ”
“ทำไมล่ะ?” ฝูซิงถามพร้อมแววตาที่หม่นหมองลง
“ป๊ะป๋าของลูกไม่อนุ…”ยังไม่ทันที่จะได้พูดจบ
ฝูซิงรีบใช้มือของตนปิดปากผู้เป็นแม่ไว้ และพูดด้วยเสียงเบา “งั้นก็แอบออกไปวันพรุ่งนี้โดยไม่ให้ย่าเฉินรู้ก็ได้”
ในตอนนั้นเอง เฉินเฉี่ยวหลานก็เดินเข้ามาพร้อมตะกร้าที่หั่นผักไว้เตรียมที่จะทำอาหารพอดี ฝูซิงจึงรีบชูดาวดวงเล็กๆ ในมือของเขาขึ้นมาทันใดเพื่อแกล้งกลบเกลื่อนเเผนของตนเอง “หม่ามี๊ มาเล่นซ่อนแอบกันอีกรอบดีกว่า!”
ฝูเจิ้งเจิ้งเข้าใจความหมายนั้นได้ทันที เธอยิ้มก่อนจะหลับตาลง “ได้! ถ้างั้นก็รีบๆ ทำสัญลักษณ์ไว้แล้วหาที่ซ่อนดีๆ ล่ะ โดนจับได้เร็วไม่รู้ด้วยนะ”
เด็กน้อยขยิบตาให้ก่อนจะรีบวิ่งไปหาที่ซ่อนด้วยความตื่นเต้น
ดาวดวงเล็กๆ ที่ฝูซิงมีนั้น เขาได้มันมาจากหานซือฉี ทุกๆ ครั้งที่ฝูซิงเล่นซ่อนแอบกับอีกฝ่าย เขามักจะใช้เจ้าสิ่งนี้ ทำเป็นสัญลักษณ์เอาไว้แบบในหนัง บางทีก็วาดเป็นสัญลักษณ์แปลกๆ ไว้บนกำแพง เพื่อนำทางให้มาเจอเขา
บ่อยครั้งที่ฝูเจิ้งเจิ้งยังแอบแซว “ถ้าลูกวาดอะไรยากๆ กว่าจะวาดเสร็จลูกจะหาที่ซ่อนไม่ทันเอานะ” นั่นเพราะตัวคนซ่อนน่ะ จะอยู่ไม่ห่างจากสัญลักษณ์เหล่านั้นหรอก แบบนี้จะยังเรียกได้ว่า “เล่นซ่อนหา” ไหมนะ?
อย่างไรก็ตาม เด็กชายกลับชื่นชอบอะไรแบบนี้มากๆ แม้ฝูเจิ้งเจิ้งจะแอบติงเขาบ่อยๆ เรื่องการทำให้กำแพงเลอะเทอะจากการขีดเขียน แต่หานซือฉีก็ไม่ได้ว่าอะไรแถมยังสั่งทำดาวติดแม่เหล็กมาให้เขาด้วย มันยิ่งทำให้ฝูซิงมีความสุขมากกว่าเดิมเสียอีก
ทางด้านเฉินเฉี่ยวหลานที่กำลังง่วนกับการนำผักมาทำอาหารก็ได้แต่แอบยิ้มเมื่อได้มองสองแม่ลูกคู่นี้เล่นซ่อนหากัน
——————————
บ้านของเฉียวเค่อเหริน ภายในเขตชางเฉิง เมืองจุนหลิน
เฉียวหยวนหาน หรือ เทศมนตรีเฉียว กำลังนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวขณะที่ยิ้มมองลูกสาวที่กำลังคุยโทรศัพท์
หลังจากที่เธอวางโทรศัพท์ไปแล้ว เขาก็ยังถามต่อด้วยรอยยิ้มที่ยังไม่จางหาย “คุยกับซือฉีอีกแล้วเหรอลูกพ่อ?”
“ไม่ได้เหรอคะ?” เฉียวเค่อเหรินบุ้ยปากก่อนจะเข้าไปหอมแก้มของผู้เป็นพ่อ
“ได้สิได้ ต้องได้อยู่แล้ว ฮ่าๆๆๆ” เฉียวหยวนหานหัวเราะเสียงดัง “พ่อไม่เคยรู้เลยว่า อะไรคือ ‘การจากกันไกลจะทำให้ความรักมันชัดเจนขึ้น’ จนกระทั่งวันนี้”
“คุณพ่อหัวเราะหนูอีกแล้วนะคะ! ฮึ่ม!” เฉียวเค่อเหรินหันหน้าแสร้งทำเป็นโกรธ
“ดูสิ เค่อเหรินน้อยโกรธพ่อซะแล้ว! อันอวี่ ขอนมสองแก้วจ้า”
แทบจะในทันทีแม่ของเฉียวเค่อเหริน เติ้งอันอวี่ เธอเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับนมร้อนสองแก้ว และพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณนี่ก็ช่างโอ๋ลูกซะจริง มานี่เร็วเค่อเหริน ดื่มนมหน่อยนะจ้ะ”
เฉียวเค่อเหรินอ้าปาก และเติ้งอันอวี่ก็ตักนมที่เริ่มอุ่นลงแล้วจัดการเป่าระบายความร้อนและป้อนลูกสาวทันที
“เห็นไหม เธอเองก็โอ๋ลูกสาวเราเหมือนกันแหละน่า ฮ่าๆๆๆ” เฉียวหยวนหานหัวเราะเสียงดังอีกครั้ง “ทำไงได้ ก็พวกเรามีลูกสาวคนเดียว หากไม่โอ๋เธอแล้วจะไปโอ๋ใครล่ะ ว่าไหม? แต่ไม่เพียงแค่พวกเราหรอกนะที่ประคบประหงมลูกเค่อเหรินขนาดนี้ เพราะพ่อเองก็หวังว่าครอบครัวของหานซือฉีก็จะประคบประหงมลูกด้วยเหมือนกัน”
หลังจากที่ดื่มนมเสร็จแล้ว เฉียวเค่อเหรินก็เอนตัวลงซบตักของเฉียวหยวนหานและพูดด้วยเสียงหวาน “คุณพ่อคะ หนูว่าจะไปทางตอนเหนือของเมืองกับซือฉีพรุ่งนี้น่ะค่ะ พวกเราจะไปดูธารน้ำแข็งกัน”
ผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างมีความสุข “ได้เลย เดี๋ยวพ่อจะเคลียร์ถนนให้คืนนี้ พรุ่งนี้พวกลูกจะได้ขับรถไปกันได้สบายๆ หน่อย”
“คุณพ่อใจดีที่สุดเลย~”
หญิงสาวดีใจโผกอดแขนของเฉียวหยวนหานแล้วหอมแก้มไปฟอดใหญ่
—————————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
แจ็คพอร์ตจะแตกไหมนะ?
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-