ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪] – บทที่ 49 รุมเร้า

ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪]

บทที่ 49 รุมเร้า

“คุณหาน มาชมธารน้ำแข็งเหมือนกันเหรอคะ?” สวี่เหยียนกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม

“เลขาสวี่เองก็มาที่นี่เหมือนกันเหรอคะ? ซือฉี เห็นไหมฉันบอกแล้วว่าวิวที่นี่สวย คุ้มค่าแก่การเดินทางแน่นอน” เฉียวเค่อเหรินรีบเอ่ยขึ้น

เมื่อฝูเจิ้งเจิ้งเหลือบมองไปยังพวกเขาอีกครั้ง เธอก็เห็นว่าเฉียวเค่อเหรินนั้นกอดแขนหานซือฉีไว้แน่นพร้อมกับรอยยิ้มที่เบิกบานราวกับทานตะวันรอรับแสงอาทิตย์

ส่วนหานซือฉีนั้นก็ยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ผ่านใบหน้าเย็นชานั้น เขาปล่อยให้เฉียวเค่อเหรินนำทางเขาไปเรื่อยๆ เท่านั้น

“อ๊ะ ซือฉี เด็กน่ารักๆ คนนั้นอีกแล้วล่ะ เขาชื่ออะไรนะ?” เฉียวเค่อเหรินหันหน้าไปมองตามเสียงของฝูซิงก่อนจะหันกลับมาถามหานซือฉี

“ไม่บอกหรอก!” ฝูซิงพูดขึ้น พร้อมกับทำแก้มป่องแสดงความไม่พอใจในแบบของเขา

สวี่เหยียนที่เห็นแบบนั้นรีบพูดขึ้นทันที “คุณเฉียว เอ่อ…เด็กคนนี้ชื่อ ซิงซิง ค่ะ”

ลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้างของเฉียวเค่อเหรินปรากฏขึ้นในทันที “ซิงซิง ช่างเป็นชื่อที่น่ารักจริงๆ สวัสดีจ้ะ ซิงซิง”

อย่างไรก็ตาม ฝูซิงไม่ได้หันไปมองเธอเลย เขากลับหันไปเล่นกับลูกหมาตัวเล็กในมือของเด็กผู้หญิงใกล้ๆ แทน

“ฝูซิง อย่าหยาบคายสิลูก ทักทายคุณเฉียวซะ” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบเข้ามาตักเตือนฝูซิงไว้ก่อน ถึงแม้ว่าเธอเองจะไม่ได้ชื่นชอบในตัวเฉียวเค่อเหรินนัก แต่เธอก็ต้องสอนให้ลูกของตนเป็นเด็กที่มีมารยาท

ฝูซิงที่กำลังเล่นอยู่กับลูกสุนัขพูดลอยๆ อย่างไม่เต็มใจ “สวัสดีครับ คุณเฉียว”

หลังจากพูดออกไปเช่นนั้น เขาก็จับมือของผู้เป็นแม่ก่อนจะหัวเราะออกมา “หม่ามี๊ ดูสิ ชุดของคุณเฉียวกับลูกหมาตัวนี้เหมือนกันเลย!”

ฝูเจิ้งเจิ้งรีบแก้ต่าง “อย่าพูดไร้สาระน่า ก็แค่สีเหมือนเท่านั้นแหละ”

ถึงอย่างนั้น คนที่อยู่ใกล้ๆ ละแวกนั้นก็ต่างพากันหัวเราะเมื่อได้ยินบทสนทนานั้น

เมื่อตระหนักได้ว่าตนเองเผลอพูดอะไรผิดพลาดไป ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบโบกมือและกล่าวขอโทษทันที “ฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะคุณเฉียว ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าแบบนั้นนะคะ…”

เฉียวเค่อเหรินที่ยืนอับอายอยู่รีบส่ายหน้าพร้อมส่งยิ้ม เธอถอดถุงมือเก็บลงไปในกระเป๋าถือ หมายจะเข้าไปหาเจ้าลูกหมาตัวเล็ก ขณะที่ถามฝูซิงไปพลาง “ซิงซิง เธอชอบเล่นกับสุนัขเหรอ? น้าก็ชอบเล่นเหมือนกัน~”

เจ้าตัวเล็กยังคงไม่ตอบคำถามเธอดังเดิม แต่ครั้งนี้เขาขยับไปยืนขวางหน้าเพื่อกันไม่ให้อีกฝ่ายสามารถยื่นมือมาเล่นกับลูกสุนัขตัวนี้ได้ด้วย

ทางฝั่งลูกสุนัขที่แม้จะโดนฝึกมาบ้างแล้ว แต่ยามที่มีคนเข้ามาใกล้ มันก็อดที่จะเข้าหาไม่ได้ สุนัขตัวเล็กกระโดดออกมาจากอ้อมแขนของเจ้าของและเห่าไปพร้อมๆ กัน

“เหวอ!?” ฝูซิงสั่นกลัวรวมไปถึงเฉียวเค่อเหรินที่ตกใจไม่แพ้กัน หญิงสาวคว้าตัวฝูซิงถอยหลังเพราะกลัวว่าลูกสุนัขตัวนั้นจะเข้ามาทำร้ายพวกเขาทั้งสอง

ทว่าเมื่อเธอถอยหลังกลับ พื้นที่มีหิมะเกาะนั้นก็ทำให้เธอลื่นไถลจนเกือบจะล้มไปด้านหลัง

“ระวัง!” ฝูเจิ้งเจิ้งที่ยืนอยู่ใกล้กับเฉียวเค่อเหรินที่สุดรีบพุ่งเข้าไปและคว้าแขนของเฉียวเค่อเหรินไว้ในทันที

เธอคิดว่าหากเธอคว้าตัวเฉียวเค่อเหรินไว้ได้ ลูกชายของเธอก็จะปลอดภัยด้วย

แต่ภายในพริบตา บางทีอาจจะเป็นเพราะความกลัวที่กำลังครอบงำเฉียวเค่อเหริน มันเลยทำให้แขนที่อุ้มฝูซิงกลับมาของเธอนั้นเกิดไร้เรี่ยวแรง แถมเธอยังถูกฝูเจิ้งเจิ้งดึงแขนไว้ข้างหนึ่งด้วย มันจึงยิ่งยากที่จะออกแรงไปจับอีกคนไว้

ทันทีที่ตัวหลุดออกมาจากการถูกรั้ง ฝูซิงก็ไหลลื่นลงไปกับพื้น ไร้ทิศทางราวกับว่าวที่สายป่านขาด และเพราะที่แห่งนี้ไม่มีรั้วกั้นใดๆ มันทำให้เขาไหลลื่นลงไปตามทางอย่างรวดเร็ว

“ฝูซิง!” ท่าทีของฝูเจิ้งเจิ้งเปลี่ยนไป เธอรีบกระโจนเข้าไปหาฝูซิงพร้อมกับยื่นแขนไปคว้าตัวเขามากอดไว้ และมันทำให้ทั้งสองกลิ้งลงไปตามเนินลาดราวกับลูกบอลที่ไหลลงปากเหว

“ซิงซิง—-”

“พระเจ้า!!”

“ช่วยด้วย! มีคนตกลงไปในแม่น้ำ!”

“ช่วยด้วย!”

ครู่หนึ่งต่อมา เสียงกรีดร้องและร้องไห้ขอความช่วยเหลือก็ดังระงมไปทั่วชายฝั่ง

หานซือฉีนั้นแต่เดิมก็ไม่ได้ยืนอยู่ห่างจากฝูเจิ้งเจิ้งและลูกชายมากนัก เมื่อเห็นท่าไม่ดี เขาก็รีบวิ่งเข้ามาแต่ดูท่ามันจะสายไปแล้ว แม้ตัวเขาจะรีบคุกเข่าลงหมายจะคว้าทั้งสองร่างนั้นไว้ มันก็ไม่สามารถไล่ตามความเร็วของทั้งสองที่ไหลกลิ้งตามแรงโน้มถ่วงได้

กลายเป็นว่าเขาทำได้แค่เพียงมองดูอีกฝ่ายกลิ้งลงเนินไปเท่านั้น

สวี่เหยียนและเสี่ยวอี้เฉิงต่างหน้าซีดไปตามๆ กัน เพราะพวกเขาเองก็ไม่ได้ต่างกับหานซือฉี พยายามจะคว้าไว้แล้วแต่ก็ยังสายไปเหมือนเดิม

ฝูเจิ้งเจิ้งที่แม้จะอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถควมคุมตนเองได้ ก็ยังคงพยายามโอบกอดให้ลูกชายของตนปลอดภัยจากแรงกระแทก แต่แล้วในขณะที่ไหลไปกลางทางนั้นเอง พวกเขาก็กระแทกเข้ากับเถาวัลย์และกระเด็นออก เถาวัลย์นั้นช่วยโน้มกิ่งไม้อ่อนๆ ให้โน้มเอนลงมากับพื้น และมันต่ำพอที่ฝูเจิ้งเจิ้งจะสามารถใช้สัญชาตญาณของเธอเอื้อมมือไปคว้ากิ่งอ่อนของต้นไม้นั้นไว้ได้

ด้วยเสียงกระแทกดังจากการที่เศษหินเศษไม้จากบนพื้นโดนเธอซัดลงไปกระแทกกับธารน้ำแข็งเบื้องล่างจนเกิดรอยร้าว กิ่งอ่อนของต้นไม้ใหญ่นี้ก็ได้ช่วยหยุดการไหลของทั้งสองคนไว้ได้ในที่สุด

ฝูซิงจับเสื้อของฝูเจิ้งเจิ้งเอาไว้แน่น เมื่อเขาแหงนหน้ามองขึ้นไปยังกลุ่มคนที่มารวมตัวกันอยู่ที่ชายฝั่ง เขาก็เอ่ยออกมาด้วยความหวาดกลัว “หม่ามี๊ ฝูซิงกลัว!”

“ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวอีกแปปเดียวก็มีคนมาช่วยพวกเราแล้ว” ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามพูดแม้ตนเองกำลังกัดฟันเพื่อใช้แรงฮึดดึงกิ่งไม้ในมือไว้ด้วยมือข้างเดียว ส่วนอีกมือหนึ่งก็พยายามโอบร่างของฝูซิงไม่ให้หลุดหายไปจากตัวเธออย่างแน่นหนา

“ขอทางหน่อยครับ! นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ! ขอทางหน่อย!” ตำรวจหลายคนใช้ศอกดันฝูงชนเพื่อเปิดทาง โดยมีจีหมู่เซี่ยนเดินนำหน้ามา เขารีบเข้าสังเกตการณ์ก่อนจะจับเชือกไว้ด้านหนึ่งส่งให้ตำรวจเหล่านั้น ส่วนอีกด้านหนึ่งก็ผูกเอวของเขาเอง ค่อยๆ สไลด์ตัวลงไปตามทางลาดที่ฝูเจิ้งเจิ้งและลูกชายเพิ่งจะไถลลงไป

“อ๊า!” เสียงร้องอีกเสียงดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนนั้น

จีหมู่เซี่ยนหยุดอยู่ใกล้ๆฝูเจิ้งเจิ้งและเอื้อมมือไปรับตัวฝูซิงมา

ทว่าเพราะฝูเจิ้งเจิ้งขยับตัวเพื่อส่งฝูซิงให้อีกฝ่าย มันเลยทำให้กิ่งอ่อนของต้นไม้ที่เธอจับไว้เกิดหลุดออกมาทั้งกิ่ง ส่งผลให้ร่างของฝูเจิ้งเจิ้งไหลตามความชันของเนินลงไปอย่างรวดเร็ว

แต่ในตอนนั้นเอง แขนที่กำยำของจีหมู่เซี่ยนก็คว้ามือของเธอไว้ได้ทันก่อนที่มันจะสายเกินไป

“จับเอาไว้แน่นๆ นะ!” จีหมู่เซี่ยนย้ำเตือนเธอด้วยเสียงที่หนักแน่นแม้มันจะเบาก็ตาม

หญิงสาวพยักหน้ารีบช้าๆ ในขณะที่คนบนฝั่งก็ส่งเสียงเชียร์และช่วยดึงเชือกที่คล้องเอวจีหมู่เซี่ยนไว้ขึ้นมาช้าๆ ด้วย

ในขณะที่พวกเขาขึ้นมาได้ถึงกลางทางแล้ว ใครสักคนในกลุ่มคนก็ตะโกนขึ้นมา “นี่มันระเบิด! วิ่งเร็ว!!”

“เหวอ!!!”

ผู้คนที่รวมกลุ่มกันในตอนแรกต่างพากันวิ่งหนีกระเจิงไปคนละทิศละทางทำให้เชือกที่เคยเหนี่ยวรั้งจีหมู่เซี่ยนไว้แน่นเกิดหลวมและไม่สามารถดึงตัวทั้งสามขึ้นไปได้ ที่แย่ไปกว่านั้นคือ หญิงสาวไร้เรี่ยวแรงที่จะดึงรั้งและจมลงไปในธารน้ำที่เย็นกว่าครึ่งตัวแล้ว!

ก่อนที่เหตุการณ์จะเลวร้ายไปมากกว่านี้จู่ๆ เชือกที่ไม่มีแรงดึงรั้งนั้นก็ถูกดึงให้กลับขึ้นไปด้านบนอีกครั้ง

ไม่นานนักพวกเขาทั้งสามก็ขึ้นมาถึงชายฝั่งได้ในที่สุด ฝูเจิ้งเจิ้งรีบเขยิบเข้าหาฝูซิงที่ขึ้นมาก่อนครู่เดียวด้วยความกังวล เธอใช้มือที่สั่นเทานั้นสัมผัสไปตามตัวของเด็กน้อยดูว่ามีบาดแแผลตรงไหนหรือเปล่า “ฝูซิง ลูกเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า?”

บางทีอาจจะเป็นเพราะความตกใจที่มันมีมากเกินไป ตัวของฝูซิงจึงสั่นไม่หยุด แถมไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลยสักคำ

ในฐานะหมอผ่าตัด เสี่ยวอี้เฉิงรีบวิ่งเข้ามาเพื่อตรวจดูอาการเบื้องต้นของทั้งสองอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “โชคดีนะ มีแค่แผลฟกช้ำนิดหน่อย”

สวี่เหยียนที่ตามมาทีหลังสุดรีบเข้าโผกอดทั้งสองเอาไว้พร้อมกับหลั่งน้ำตาออกมา “ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่เป็นไร รู้ไหมว่าพวกเธอทำฉันใจหายไปวูบนึงเลยนะ ฮือออออออ”

จีหมู่เซี่ยนนำเสื้อโค้ทเจ้าหน้าที่ตัวหนาจากเพื่อนของเขามาส่งให้ฝูเจิ้งเจิ้ง เธอลุกขึ้นช้าๆ แต่จีหมู่เซี่ยนก็โบกมือปรามการกระทำของเธอไว้ก่อน “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ตอนนี้รีบกลับบ้านไปก่อน เจ้าตัวเล็กกำลังหวาดกลัว”

“เข้าใจแล้วค่ะ…” ฝูเจิ้งเจิ้งนำเสื้อตัวหนานั้นไปห่มคลุมฝูซิงไว้พร้อมกับอุ้มเขาขึ้นมาและไปรวมกลุ่มกับสวี่เหยียนและเสี่ยวอี้เฉิง

“ตรงนั้นมีรถตำรวจจอดอยู่ ไปบอกให้เจ้าหน้าที่พาพวกคุณกลับบ้านก็ได้ แล้วก็อย่าลืมไปหาหมอด้วยล่ะ ทั้งตัวเอง แล้วก็เจ้าตัวเล็กเลย” หลังจากพูดจบ จีหมู่เซี่ยนก็รีบไปทำหน้าที่ของเขาต่อด้วยความเร่งรีบ

สถานการณ์ในตอนนี้ ถึงฝูเจิ้งเจิ้งอยากจะขอบคุณจริงๆ แต่ก็มีบางอย่างคอยกวนใจเธอและบางสิ่งบางอย่างที่ว่า ก็คือแววตาที่ดูเฉยชาไร้ความรู้สึกใดๆ ของหานซือฉีที่จ้องมองมายังพวกเธอแบบไม่ละสายตา

จีหมู่เซี่ยนที่วิ่งเลยไปไกลแล้ว จู่ๆ ก็กลับมา เขามุ่งตรงไปหาหานซือฉีและตบไหล่เขาเบาๆ ก่อนจะลาลับไปอีก

หานซือฉีหันมองตามหลังจีหมู่เซี่ยนด้วยแววตาสงสัย แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาหันกลับไปมองรถตำรวจที่ฝูเจิ้งเจิ้งนั่งกลับบ้านจนกระทั่งรถคันนั้นวิ่งลับตาไปจึงค่อยกลับไปหาเฉียวเค่อเหรินผู้น่าสงสารที่พลาดท่าล้มอยู่ใต้ต้นไม้

———————————————-

ด้วยความที่ทั้งตัวของเธอนั้นสกปรกไปด้วยน้ำและฝุ่นต่างๆ ในที่สุดฝูเจิ้งเจิ้งและฝูซิงก็กลับมาถึงบ้านในที่สุด

เฉินเฉี่ยวหลานที่มายืนรออยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าเป็นกังวลนั้นรีบเข้ามาจับตามเนื้อตามตัวด้วยความเป็นห่วงทันที หลังจากที่เธอมั่นใจแล้วว่าทั้งสองแม่ลูกนั้นไม่เป็นอะไร เฉินเฉี่ยวหลานก็รีบพาทั้งสองขึ้นชั้นบนไปทำความสะอาดร่างกายและเสิร์ฟน้ำร้อนให้อย่างรวดเร็ว

สาวใหญ่ที่ผ่านประสบการณ์การเลี้ยงเด็กมาอย่างยาวนานนั้นรู้สึกเห็นอกเห็นใจฝูซิงที่หน้าเปลี่ยนสีเป็นอย่างมาก เธอพูดออกมาเบาๆ “ทั้งๆ ที่ท่านซือฉีก็เตือนแล้วแท้ๆ ว่าให้อยู่แต่ในบ้าน แต่สุดท้ายหนูก็ยังแอบออกไปเล่นด้านนอกอีก เป็นไงล่ะ หายซนเลยหรือเปล่าเจอแบบนี้เข้าไป”

เมื่อเห็นว่าฝูซิงไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง ฝูเจิ้งเจิ้งก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปส่งสวี่เหยียนและเสี่ยวอี้เฉิงที่หน้าประตูบ้าน

สวี่เหยียนเดินผ่านทางสวนหน้าบ้านควบคู่ไปกับเสี่ยวอี้เฉิง เธอหันกลับมาหาฝูเจิ้งเจิ้งด้วยแววตาที่แดงก่ำเพราะเพิ่งหยุดร้องไห้ได้ “เจิ้งเจิ้ง ดูแลซิงซิงดีๆ นะ แล้วก็ถ้ามีอะไรให้พวกเราช่วยก็โทรหาได้ตลอดเลย”

ฝูเจิ้งเจิ้งพยักหน้า “โอเค ถ้ามีอะไรฉันจะโทรไปนะ ไม่ต้องเป็นห่วง ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือในวันนี้มากๆ”

“พวกเราไม่ได้ช่วยอะไรหรอก ไปขอบคุณตำรวจพวกนั้นเถอะ” เสี่ยวอี้เฉิงกล่าวยกย่อง

ทันใดนั้น สวี่เหยียนก็พูดขึ้นมาก่อนจะลืม “จริงๆ เธอน่าจะต้องขอบคุณคุณหานด้วยนะ! เพราะเมื่อตอนที่จู่ๆ คนก็กระจัดกระจายกัน เขาเป็นคนเดียวที่แหวกฝูงชนที่วิ่งสวนออกมาแล้วเข้ามาช่วยพวกเราดึงเชือกนั่นเลย ถ้าหากไม่ได้เขาตอนนั้นล่ะก็ บางทีพวกเราอาจจะตกลงไปในแม่น้ำนั่นกันหมดเลยก็ได้”

หานซือฉี?

ได้ยินชื่อนั้นแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่ได้รู้สึกยินดีเท่าไหร่ เพราะถ้าหากพวกเธอไม่เจอเข้ากับเฉียวเค่อเหริน…หากไม่มีเฉียวเค่อเหริน อุบัติเหตุแบบนี้ก็คงจะไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

“โอ๊ะ จริงสิ ผมเกือบจะลืมคุณหานไปเลย!” เสี่ยวอี้เฉิงเองก็ลูบหัวตนเองเพราะเพิ่งนึกอะไรออกเช่นกัน “ผมคิดว่าคุณหานน่าจะชอบซิงซิงมากเลยล่ะ ผมเห็นนะว่าเขาพยายามวิ่งเข้าไปคว้าตัวคุณเจิ้ง แต่ช้าไป แถมตอนตำรวจนำเชือกมา เขาก็พยายามจะเป็นคนลงไปกับเชือกนั้นด้วยตนเอง แต่พวกตำรวจก็กันเขาออกไปก่อน”

“เอ๋ คุณหานอยากจะลงไปช่วยเจิ้งเจิ้งกับฝูซิงเหรอ?” สวี่เหยียนพูดด้วยความประหลาดใจสุดๆ “ฉันไม่เห็นตอนนั้นเลย มัวแต่มองพวกเธอสองคนที่กำลังไหลลงไปในแม่น้ำน่ะ”

ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้ม “คงเพราะฝูซิงเรียกเขาว่าป๊ะป๋าน่ะ สองคนนี้อาจจะมีเยื่อใยต่อกันบ้างล่ะมั้ง เอาเป็นว่าตอนนี้เดี๋ยวฉันคงต้องขอตัวกลับไปดูแลฝูซิงก่อน ไว้ถ้ามีอะไรเดี๋ยวฉันจะติดต่อไปนะ”

“โอเค เอ้อ อย่าลืมหายากินด้วยนะ เธอน่ะ” เมื่อพูดจบ สวี่เหยียนก็จากไปพร้อมกับเสี่ยวอี้เฉิงทันที

หลังจากที่กลับมายังห้องของตนแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็พบว่าฝูซิงนั้นกำลังหลับอยู่ภายในอ้อมแขนของเฉินเฉี่ยวหลานไปแล้ว

เฉินเฉี่ยวหลานค่อยๆ วางร่างของฝูซิงลงไปกับเตียง และหันไปพูดกับฝูเจิ้งเจิ้ง “เดี๋ยวฉันจะไปทำชาสมุนไพรมาให้ซิงซิงนะคะ เผื่อว่ามันจะช่วยให้อาการช็อกของเขาหายไปบ้าง”

“ขอบคุณมากๆ เลยค่ะป้าเฉิน”

เธอหันไปขอบคุณก่อนจะหันกลับไปมองฝูซิงที่จู่ๆ ก็สั่นกลัวขึ้นมาแม้จะหลับไปแล้ว จิตใจของคนเป็นแม่ไม่เคยไปไหนแม้ตัวเองจะเจอเหตุการณ์เลวร้ายมาไม่ต่างกัน ฝูเจิ้งเจิ้งรีบเข้าไปกอดเจ้าตัวเล็กของเธอไว้พร้อมพูดปลอบใจ “ไม่ต้องกลัวนะจ้ะ ไม่ต้องกลัว ซิงซิง หม่ามี๊อยู่ตรงนี้แล้ว”

น้ำตาที่มันอัดแน่นมาตั้งแต่เห็นว่าเขาได้รับอุบัติเหตุจนกระทั่งเขาปลอดภัยค่อยๆ ไหลออกมา โชคดีจริงๆ ที่ฝูซิงไม่ได้เป็นอะไรไป เพราะถ้าหากคนที่กลับมาจากแม่น้ำนั่นได้มีแค่เธอ จะให้เธออยู่บนโลกนี้ต่อได้อย่างไร?

มือเรียวนุ่มค่อยๆ ลูบหน้าผากของฝูซิงอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ค่อยๆ ปลอบใจตนเองให้สงบลง

จังหวะนี้ จะภารกิจ เหนียนซี่ หานซือฉี รวมไปถึงครอบครัวของเธอ พี่ชาย ทุกสิ่งอย่าง ถูกโยนทิ้งเอาไว้ด้านหลังทั้งหมด โลกของฝูเจิ้งเจิ้งน่ะ เหลือเพียงลูกชายตัวน้อยที่นอนอยู่ตรงหน้าเท่านั้น

บางทีอาจจะเพราะความเหนื่อยสะสม ผสมกับความกลัว มันเลยทำให้ฝูซิงตัวน้อยนั้นหลับลึกไปนานกว่า 3 ชั่วโมง

ฝูเจิ้งเจิ้งค่อยโล่งอกขึ้นหลังจากเห็นว่า เวลาทำให้เขาสามารถคลายความกลัวลงได้บ้าง สังเกตได้จากรอยยิ้มบนใบหน้านั้น

เธอหวังว่าเมื่อลูกชายของเธอตื่นมา เขาจะจดจำได้แต่เรื่องที่มีความสุขในวันนี้เท่านั้น

เสียงประตูถูกเปิดออก ฝูเจิ้งเจิ้งเข้าใจว่านั่นต้องเป็นป้าเฉินที่นำชาสมุนไพรมาให้แน่ๆ เธอจึงพูดด้วยเสียงอ่อนโยนโดยไม่หันไปมอง “ป้าเฉินคะ ฝูซิงยังไม่ตื่นเลย ชาสมุนไพรนั่น…เอาไปอุ่นไว้ก่อนได้ไหมคะ?”

ทว่ากลับไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมาจากด้านหลัง เธอจึงหันกลับไปดูด้วยความประหลาดใจก่อนจะพบว่าคนที่เข้ามานั่นคือ หานซือฉี

หานซือฉีดันเธอออกไปข้างๆ และก้มลงไปดูฝูซิงอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ อุ้มร่างของเด็กน้อยที่กำลังหลับสนิทขึ้นมาดูอย่างใกล้ชิดด้วยความอ่อนโยน ทว่าน้ำเสียงที่เอ่ยถามอีกคนกลับฟังดูเยือกเย็น “ทำไมเธอถึงไม่เชื่อฟังคำสั่งฉัน?”

เพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องถาม ฝูเจิ้งเจิ้งจึงบอกคำตอบที่เตรียมไว้ด้วยเสียงเบา “เพราะฉันมีอิสระ”

“อิสระ? เพราะอิสระที่เธอต้องการ ฝูซิงถึงต้องมาบาดเจ็บแบบนี้ ตอนนี้เธอมีความสุขหรือยัง?”

เมื่อได้ยินเแบบนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที “หากไม่ใช่เพราะฉันไปเจอพวกคุณ คิดเหรอว่าฝูซิงจะได้รับบาดเจ็บน่ะ? อ้อ แล้วก็อีกเรื่องนะ ช่วยทำความเข้าใจใหม่ด้วยนะคะ ว่าฝูซิงเป็นลูกของฉัน! เมื่อไหร่ที่เขาได้รับบาดเจ็บ ฉันก็เจ็บไม่แพ้เขาหรอกนะ!!”

“เธอนี่มันหาข้ออ้างเก่งจริงๆ ” หานซือฉีเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยแววตาผิดหวังก่อนจะพูด “แบบนี้ฉันจะไว้วางใจคนที่จะมาเป็นพ่อให้ลูกของเธอได้ยังไงกันนะ?”

“คุณหานหมายความว่ายังไงน่ะ…” ฝูเจิ้งเจิ้งแสดงสีหน้างุนงง

ชายหนุ่มยื่นมือออกมาแล้วดึงแก้มนุ่มของสาวสวยตรงหน้าพลางพูดเชิงเหยียดหยาม “เธอชื่นชอบตระกูลหานของฉันจะตายไปนี่?”

————————————————————————————————-

คุยกับผู้แปล

สงสารฝูซิง แต่ตอนนี้เริ่มสนใจแล้วว่าตกลงหานซือฉีคิดยังไงกับฝูซิง เพราะเจ้าตัวก็ไม่ได้ดูรักเด็กขนาดนั้น แต่กับฝูซิงนี่โอ๋เป็นพิเศษ

-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-

ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪]

ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪]

Status: Ongoing
เรื่องราวชีวิตของคุณแม่ยังสาว ฝูเจิ้งเจิ้ง และลูกชายตัวแสบของเธอ ฝูซิง เด็กน้อยที่เฝ้าแต่จะตามหาผู้เป็นพ่อให้ได้ วันดีคืนดีเจ้าตัวน้อยดันไปเจรจาซื้อผู้ชายคนหนึ่งมาเป็นคุณพ่อของเขาเสียนี้ฝูเจิ้งเจิ้ง สาวสวยวัย 24 ปีผู้ที่วุ่นวายอยู่กับการเลี้ยงลูกน้อยอย่าง ฝูซิง ด้วยตัวคนเดียวมาตลอด ชีวิตแม่เลี้ยงเดี่ยวของเธอนั้นแม้จะยุ่งยากไปบ้างแต่ชีวิตในแต่ละวันก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี จนกระทั่งวันหนึ่งที่เธอตัดสินใจสมัครเข้าทำงานในบริษัทเว่ยฮั่น ใครจะไปคิดเล่าว่าจู่ๆ เจ้าลูกชายตัวแสบของเธอจะเก็บเงินแล้วไปหาซื้อป๊ะป๋ามาเติมเต็มให้ชีวิตแบบไม่บอกเธอเสียอย่างงั้น แถมป๊ะป๋าคนใหม่ของเขา ดันเป็นรองประธานบริษัทเว่ยฮั่นที่เธอเพิ่งจะสมัครเข้าทำงานอีก!? ตายละ แล้วแบบนี้ชีวิตฉันจะเป็นยังไงต่อไปเนี๊ย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท